Song: Inspirative - ระฆังลม
Note: เรื่องสุดท้ายจากที่เราแต่งเพื่อแลก ส.ค.ส. 2018แล้วค่ะ
—
‘Dear Farrier’
แม้เนิ่นนานเพียงใดยาวนานเท่าไร
ยังมีแต่เธอจมลึกในความทรงจำ
—
‘คอลลินส์’นั่งเหยียดขาอยู่บนชายหาดเป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่ทราบได้เหม่อมองออกไปไกลจนสุดสายตาเสียงซู่ซ่าของเกลียวคลื่นที่สาดซัดเข้าหาฝั่งดังไม่หยุดทว่าสองหูกลับไม่รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อยคำกล่าวที่ว่าทะเลไม่เคยหลับใหลนั้นเป็นจริงเสมอสายลมพัดเอากลิ่นเค็มของมันให้ลอยมาปะทะใบหน้า เส้นผมสีอ่อนปลิวไสวไปตามแรงลมที่จริงเขาชอบความเงียบสงบ ชอบภูเขาสูงใหญ่ชอบมองสีเขียวขจีของใบไม้มากกว่าน้ำทะเลสีคราม
ตอนนี้...คอลลินส์ก็ยังคงชอบภูเขาอยู่
เขาไม่ได้เปลี่ยนมาปันใจให้กับทะเลแต่อย่างใด
แต่ที่ยังอยู่...คงเป็นเพราะเขากำลังรอคอยใครบางคนเท่านั้นถึงแม้ที่ริมชายหาดจะได้ยินเสียงคลื่นซัดสาด...ไม่เคยเงียบทว่ากลางทะเลที่แสนกว้างใหญ่กลับสงบนิ่ง คอลลินส์ชอบทะเลบริเวณใกล้ชายหาดเพราะอย่างน้อยเขาก็สามารถคาดเดาอะไรได้ง่ายกว่าใต้ทะเลลึก...ที่ไม่รู้ว่าด้านล่างจะลึกเท่าใดไม่รู้ว่ามีอะไรรอคอยอยู่ และมันจะมืดสนิทไร้แสงไหมถ้าหากว่าด่ำดิ่งลงไปจนถึงจุดที่ลึกที่สุด...ว่ากันว่าจิตใจของมนุษย์ก็เปรียบเสมือนทะเลที่ไม่มีใครสามารถหยั่งถึงได้แม้จะสามารถลงไปถึงส่วนลึกในจิตใจได้แล้วก็ตาม ใช่ว่าจะมองเห็นอะไรในนั้นเสียหน่อย
ทุก ๆ ปีเขาจะกลับมาที่นี่...กลับมาเพื่อรอเจอใครบางคน
ใครคนนั้นที่ทำให้คอลลินส์เปิดหัวใจ...ชอบท้องทะเลสีคราม
“ไง” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น ก่อนที่ผู้มาใหม่จะทิ้งตัวนั่งลงข้างกายคอลลินส์หันไปฉีกยิ้มกว้างให้คนที่ตนกำลังรอคอยพร้อมเอ่ยทักทายกลับไปบ้าง
“สวัสดีแฟร์ริเออร์”
“รอนานไหมเนี่ย?”‘แฟร์ริเออร์’ เอ่ยถามพร้อมส่งรอยยิ้มแสนอบอุ่นมาให้
“ไม่รู้สิ ตอนมาถึงก็ไม่ได้ดูนาฬิกาเหมือนกัน”
“อย่างนั้นหรือ...”
“ช่าย~ แต่รอไม่นานหรอก”เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“อืม—ถ้าอย่างนั้นสบายดีไหม? เป็นอย่างไรบ้าง?” ใครอีกคนยังคงเหมือนเดิม อบอุ่น...เหมือนแสงแดดในยามเช้าคอยเป็นห่วงเป็นใย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับคอลลินส์ก่อนเสมอ
“ฉันสบายดีน่า ว่าแต่นายเถอะ—สบายดีเช่นกันนะ?”
“เช่นกันครับผม” รอยยิ้มอบอุ่นถูกส่งมาให้อีกครั้งนั่นทำให้เขาอดยิ้มตามไม่ได้เลย
“อยู่ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“ก็เหมือนเดิม...เงียบสงบ อากาศค่อนข้างเย็น”
คอลลินส์พยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ
“แต่ฉันไม่เหงาหรอกน่า มีเพื่อนตั้งเยอะแยะ วัน ๆ เจอผู้คนตั้งมากมายแถมยังมีเสียงคลื่นให้ฟังตลอดเวลาประหนึ่งเป็นเพลงบรรเลงขนาดนี้”แฟร์ริเออร์พูดติดตลก เรียกรอยยิ้มของคอลลินส์อีกครั้ง
เขากับแฟร์ริเออร์รู้จักกันมานานมาก...นานจนแทบจำไม่ได้แล้วว่ารู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่เวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่าในตอนที่เจอกันครั้งแรกเขาทั้งคู่ยังคงเป็นเด็กประถมคอลลินส์ถูกครอบครัวพามาเที่ยวทะเลในช่วงปิดเทอม เขามีบ้านพักตากอากาศที่นี่แต่แท้จริงแล้วภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดที่อยู่ทางตอนเหนือจึงไม่แปลกที่จะรู้สึกคุ้นเคยและชอบภูเขาลำเนาไพรมากกว่า แดดร้อนแผดเผาบวกกับความเหนียวเหนอะหนะของสายลมทำให้เจ้าของผิวขาวอมชมพูรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านไม่ชอบใจ ไหนจะเหล่าญาติ ๆพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องที่ต่างวัยการมาเที่ยวทะเลครั้งนี้ก็เลยกลายเป็นความน่าเบื่อไปได้ง่าย ๆ
‘เฮ้ นายน่ะ!’
‘นายทำอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ?’
ในตอนนั้นคอลลินส์เห็นเด็กชายคนหนึ่งวิ่งไปบนชายหาดผ่านหน้าตนเองจึงนึกสงสัยว่าใครอีกคนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ท่าทางแปลกประหลาดเหมือนกำลังก้ม ๆเงย ๆ วิ่งไล่อะไรสักอย่างทำให้เขาเลิกเตะทรายเล่นแล้วหันไปวิ่งตามคนที่เหมือนจะอายุไล่เลี่ยกันแทน
‘นายมองไม่เห็นปูหรือ มาช่วยกันจับเร็วเข้า’
ถึงในตอนแรกจะแอบจิปากอย่างขัดใจแต่สุดท้ายก็ไปวิ่งไล่จับปูกับเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันเด็กผู้ชายรูปร่างสูงดูมีกล้ามเนื้อกับผิวสีแทนที่เป็นเอกลักษณ์ดูก็รู้ว่าเป็นคนในท้องถิ่นอย่างแน่นอน ฝูงปูตัวเล็กวิ่งไปบนผืนทรายที่เปียกแฉะเพราะน้ำทะเลซัดเข้าหาฝั่งจากที่สวมใส่รองเท้าแตะภายหลังคอลลินส์กลับสะบัดมันทิ้งเนื่องจากทำให้วิ่งลำบากเด็กชายสองคนวิ่งไปพร้อม ๆ กันจนในที่สุดก็จับปูตัวเล็กได้
‘โอ๊ย! ในที่สุดก็จับได้สักที’
‘นายเคยจับปูไหม?’
‘ลองดูสิ มันไม่ทำร้ายนายหรอกน่า’
‘มนุษย์ต่างหากที่ใจร้ายกว่าปูที่ปูมันหนีบเพราะมันป้องกันตัวจากภัยอันตรายไง ฉันแค่อยากจับเล่นเฉย ๆเดี๋ยวก็ปล่อยมันไปแล้ว’
‘นายชื่ออะไร? ฉันแฟร์ริเออร์นะ’
เราทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่วันนั้น...ใครอีกคนทำให้การมาเที่ยวทะเลของคอลลินส์ไม่น่าเบื่ออีกต่อไปแฟร์ริเออร์เป็นลูกชายของชาวประมงในหมู่บ้านใกล้เคียงถึงแม้ในความเป็นจริงเขาจะเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใครแต่เมื่อได้รู้จักกับเพื่อนใหม่อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปตลอดกาลเขาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดใจตอนที่ครอบครัวพามาเที่ยวบ้านพักตากอากาศในวันหยุดอีกต่อไปแล้วใจกลับเฝ้าคอยให้ช่วงปิดเทอมเวียนวนกลับมาถึงไว ๆ แทนเพราะอยากมาเจอกับแฟร์ริเออร์
‘ฉันว่านายเหมือนภูเขามากกว่า’
‘หืม...ฉันเนี่ยนะ?’
‘ช่าย~’
‘ฉันไม่เข้าใจ เกิดมาทั้งชีวิตฉันยังไม่เคยได้ไปเที่ยวภูเขาเลยนะ’
‘เชิงเปรียบเทียบสิ ก็ภูเขาน่ะ...สงบนิ่งจะตาย มีแต่ความเงียบสงบ มั่นคงน่าเชื่อถือ...แถมยังอยู่ที่เดิมตลอดเลยด้วยฉันกลับมาเที่ยวบ้านพักตากอากาศเมื่อไหร่ นายก็ยังอยู่ที่เดิมตลอด’
‘ตลกน่าคอลลินส์ ไม่คิดว่าฉันเหมือนทะเลบ้างเลยหรือ? ทะเลมันก็ไม่ได้ย้ายไปไหนเหมือนกันนะยังอยู่ที่เดิมเสม—’
‘แต่เกลียวคลื่นที่ซัดสาดเข้ามามันไม่เหมือนเดิมสักหน่อยมันไม่ใช่น้ำทะเลเดิม—ฉันเพิ่งเรียนมา การหมุนเวียนของน้ำทะเล กระแสน้ำอุ่นน้ำเย็นโอยให้ตายเถอะ! รู้แบบนี้ตั้งใจเรียนวิชาภูมิศาสตร์ให้มากกว่านี้ดีกว่า!’
แฟร์ริเออร์หัวเราะร่าให้กับท่าทางหงุดหงิดของคอลลินส์
‘ที่ฉันจะบอก...คือภูเขามันมั่นคงเสมอนายจะรู้ได้อย่างไรว่าภายใต้ท้องทะเลสีครามมีอะไรซ่อนอยู่เห็นมันสงบนิ่งแบบนั้น...แต่เวลาพายุมาล่ะก็...ฮึย แค่คิดก็ขนลุกแล้ว’
‘คอลลินส์คิดแบบนั้นหรือ?’
‘อื้อ...แต่บางครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะว่าทะเลมันก็ช่วยปลอบประโลมใจได้…นายน่ะเป็นทั้งทะเลเป็นทั้งภูเขาของฉันเลยนะแฟร์ริเออร์อันที่จริงไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน...ขอแค่ได้อยู่ด้วยกัน ขอแค่รู้ว่านายจะยังคงอยู่...แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ’
ในตอนนั้นไม่มีอะไรต้องขลาดเขินกัน เขาทั้งคู่เปิดใจคุยในทุกเรื่อง ๆไม่มีการปิดบังใด ๆ คิดแบบไหน รู้สึกอย่างไรก็บอกกันตลอดเติบโตและรอคอยการได้พบกัน ตอนเด็ก ๆ คอลลินส์อาจจะต้องรอมาเที่ยวพร้อมครอบครัวแต่เมื่อเจ้าตัวอายุมากขึ้นพ่อกับแม่ก็ปล่อยให้เขามาเที่ยวด้วยตัวเองเนื่องจากทางบ้านค่อนข้างมีฐานะพอสมควรจึงได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว ต่างจากแฟร์ริเออร์ที่ต้องช่วยงานประมงเสมอจึงไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวบ้านเกิดของคอลลินส์ที่ว่ากันว่ามีภูเขาป่าไม้และความเงียบสงบสักที
“คอลลินส์ไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“หืม—ฉันหรือ? วุ่นวายเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยล่ะถึงจะถามกี่ครั้ง ๆ ก็มีให้แค่คำตอบเดียวเนี่ยแหละ”
“ฮะ ๆ...” แฟร์ริเออร์หัวเราะเบา ๆ “ดีแล้วน่า...จะได้ไม่เหงา”
“เหงาสิ...ทำไมจะไม่เหงากันล่ะ”
“...”
‘อยู่ที่นั่นโคตรเหงาเลยว่ะ เจอแต่เพื่อนร่วมห้องเดิม ๆ...น่าเบื่อ’
‘ถ้าเหงาก็มาหาฉันสิ...ฉันอยู่ตรงนี้ที่เดิมเสมอเลยนะคอลลินส์’
บทสนทนาและภาพเหตุการณ์เก่า ๆมักจะไหลย้อนกลับมาหาคอลลินส์เสมอเมื่อเขากลับมาที่นี่...ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตามเถอะไม่เคยชินกับความรู้สึกนี้สักที
“ฉันก็กลับมาที่นี่ทุกปีนะแฟร์ริเออร์...แล้วเมื่อไหร่จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปล่ะเนี่ย”
แฟร์ริเออร์ยิ้ม “ฉันอยู่ตรงนี้เสมอ...เหมือนที่เคยบอกไง”
คอลลินส์เม้มปากแน่น
กับของบางสิ่ง—เพียงแค่เราเห็นก็ทำให้คิดถึงใครบางคนได้กับบางสถานที่ก็เช่นกัน ทุกครั้งที่เขาคิดถึงทะเล มองเห็นหาดทรายมองเห็นปูและเกลียวคลื่น คิดถึงภูเขาต้นไม้ สีเขียวขจีในฤดูใบไม้ผลิ...คอลลินส์ก็จะมองเห็นภาพแฟร์ริเออร์ในนั้น
เขาคนนั้นที่เป็นเหมือนภูเขาที่มั่นคง เงียบสงบพึ่งพิงได้เสมอ เป็นเหมือนทะเลที่คอยปลอบประโลมใจด้วยเสียงคลื่นหาดทรายที่นุ่มชื้นคอยรองรับโอบกอดร่างกายของเขาเอาไว้ในยามร้อนกาย
“ฉันคิดถึงนายเสมอเหมือนกันนะแฟร์ริเออร์” คอลลินส์พูดเสียงเบามือเรียวกำช่อดอกสแตติสสีม่วงเอาไว้แน่น ดอกไม้...ที่มีความหมายว่าความรู้สึกดี ๆจะคงอยู่ตลอดไป ดังเช่นความรู้สึกของคอลลินส์ที่มีต่อแฟร์ริเออร์
“คุณปู่ค้า~”เสียงร้องเรียกดังเจื้อยแจ้วจากด้านหลังไม่ได้ทำให้คอลลินส์หันกลับไปมองแต่อย่างใดก่อนที่เด็กหญิงวัยห้าขวบจะวิ่งมาโถมร่างกอดคอเขาจากด้านหลังเต็มแรง
“โคล~ ทำแบบนี้กับคุณปู่ไม่ได้นะปู่แก่แล้ว เดี๋ยวกระดูกหักจะทำอย่างไรกัน?”
“คุณพ่อแฟร์ริเออร์ให้หนูมาพาคุณปู่เข้าไปในบ้านค่ะคุณพ่อเตรียมอาหารใกล้เสร็จแล้ว~ เราจะได้ทานมื้อเย็นกันนะคะ” เด็กหญิงฉีกยิ้มกว้างคนแก่กว่าจึงเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมนิ่มอย่างแผ่วเบา
“บอกคุณพ่อว่าเดี๋ยวปู่ตามเข้าไปนะ”
“โอเคค่ะ! รีบ ๆ เข้าบ้านนะคะคุณปู่ โคลหิวแล้ว~”ว่าแล้วเด็กหญิงก็วิ่งกลับเข้าบ้านไป
คอลลินส์วางช่อดอกไม้ไว้บนผืนทรายพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปยังแผ่นหินที่สลักชื่อใครบางคนเอาไว้...‘แฟร์ริเออร์’คนที่เขารอคอยพบเจอมานานแสนนาน...คนที่ทำให้คอลลินส์กลับมา ณ ที่แห่งนี้คนที่คิดว่าเขาจะยังคงอยู่ตลอดไป...คิดแบบนั้นจนไม่ได้นึกถึงว่าในวันหนึ่งเราอาจต้องลาจากกันไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย
พายุที่โหมกระหน่ำพาใครบางคนให้หายออกไปจากชีวิตของเขาตลอดกาล
พาใครบางคนจากไปยังที่ ๆ ไกลแสนไกล
ที่ ๆ มืดมิด...เงียบสงบ...หนาวเย็น...และลึกที่สุด
พายุในฤดูมรสุมที่พัดแรงทำให้ใครบางคนพลัดตกจากเรือประมงและดำดิ่งไปสู่ก้นบึ้ง...ของทะเลที่เคยเป็นสีครามทะเลที่เคยสงบนิ่ง ทะเลที่เคยปลอบประโลมใจทะเลที่ช่วยบำบัดให้ใครต่อใครสามารถกลับมามีพลังชีวิตอีกครั้ง...และมันก็สามารถพรากชีวิตของใครไปได้เช่นกัน
หลายสิบปีที่แล้ว...เขากลับมาที่นี่ แต่ก็ไม่เจอใครอีกคน
ไม่ทันได้บอกลา...ไม่ทันได้ทำอะไรทั้งนั้น
‘ถ้าวันหนึ่งฉันตายไป...ที่ ๆ ฉันอยากอยู่ไม่ใช่บนสวรรค์หรอกนะฉันอยากจะลองด่ำดิ่งไปใต้ท้องทะเลดู อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะลึกสักแค่ไหนข้างล่างนั้นจะเป็นอย่างไร’
‘จะบ้าหรือไงแฟร์ริเออร์ถ้าอยากรู้แค่นั้นเดี๋ยวฉันไปเปิดหาในเว็บไซต์ให้นายก็ได้’
ในหนึ่งชีวิตของมนุษย์ย่อมผ่านเหตุการณ์อะไรมากมายความทรงจำและประสบการณ์เป็นสิ่งที่ได้รับกลับมามันคือผลพลอยได้...ที่ถึงแม้ในบางครั้งเราอาจจะไม่ได้ต้องการมันมีผู้คนมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต บางคนยังอยู่บางคนจากไป...แต่พวกเขาไม่เคยพาสิ่งเหล่านั้นไปด้วยทิ้งความทรงจำทั้งดีและร้ายเอาไว้ในชีวิตของคนที่ยังคงอยู่คอลลินส์รู้...รู้ดีว่าวันเวลามันต้องผันผ่านไปทุกวันเหมือนเข็มนาฬิกาที่หมุนก้าวเดินไปด้านหน้า ไม่มีสิ่งใดที่จะยังคงเดิมอยู่ได้
แต่มีบางสิ่งที่ยังคงอยู่กับเขา
ใครบางคนที่จมลึกในความทรงจำ
ภาพของเรา สิ่งที่เคยเกิดขึ้น และความรู้สึกของเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงคอยย้ำเตือนให้เขาปฏิบัติตัวเช่นเดิมกลับมายังสถานที่แห่งเดิม แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรแม้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายจะแปรเปลี่ยนไป...ถึงแม้ว่าคอลลินส์จะยอมทำตามหน้าที่...มีครอบครัวเล็กๆ ตั้งชื่อลูกชายเป็นชื่อใครคนนั้น ชื่อของคนที่ยังคงอยู่ในความทรงจำแท่นหิน...ถูกสร้างเอาไว้ที่เดิม ที่ ๆ เรามักจะมาเจอกันประจำแม้ว่าใต้ผืนทรายจะไม่มีร่างกายนั้น...แต่เขาก็ยังรู้สึกได้
แฟร์ริเออร์ยังคงอยู่เสมอ
มีคนเคยบอกว่าภาพถ่ายจะยังคงอยู่...แม้คนในภาพไม่อยู่อีกแล้ว
ความทรงจำก็เช่นกัน...ยังคงอยู่...แม้ว่าคนในความทรงจำจะไม่อยู่อีกแล้ว
คิดถึงเรื่องที่เราเคยคุยกันนะแฟร์ริเออร์ คิดถึงคนที่คอยรับฟังคอยลูบหลังเวลาโมโห คิดถึงคนที่เคยนั่งอยู่ข้างกาย คิดถึงเรื่องของเราสิ่งที่เคยคิดว่าจะทำด้วยกันมีอีกมากมาย...ที่นั่นหนาวมากไหมนายจะคิดถึงอ้อมกอดที่อบอุ่นของฉันบ้างไหม จะคิดถึงดวงอาทิตย์ คิดถึงหาดทรายสีขาวคิดถึงบ้านพักตากอากาศหลังสีขาว คิดถึงเสียงของคลื่นที่ซัดสาดคิดถึงปูทะเลที่วิ่งไปมา...คิดถึงฉันบ้างไหม...คิดถึงคอลลินส์คนนี้บ้างไหม
“ฉันคิดถึงนาย”
“รอก่อนนะ...อีกไม่นาน...ฉันจะไปหานายแล้ว”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in