เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I'll try...overreachpeach.
วันของคนงี่เง่า | a poor nisit girl
  • "เป็นอะไรอีกอะ"

    "มันขนาดนั้นเลยเหรอ"
    "แค่นี้เอง ไม่ได้เหรอ ก็ไม่ได้ลำบากมากป่ะ"
    "มึงก็พูดแต่แบบนี้แหละ"
    "แกเหนื่อยอะไรอะ"



    ประโยคที่เราเจอบวกสองอาทิตย์ที่ผ่านมากับการเปลี่ยนยา กว่าจะ tune ตัวเองได้ มีสมาธิขึ้นมาหน่อยนี่ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน โพสต่อจากนี้อาจจะดูงง อ่านแล้ววน อ่านแล้วย้อนแย้ง หลายความรู้สึกปน ๆ กันไป ทั้งวันก่อนหาหมอ ปัญหาที่เจอ และวันที่นัดหมอ เราพยายามฮึบ หาอะไรทำ จนมาจบที่โพสนี้ 



    วันก่อนหาหมอ (21/03)



    อีกวันที่ต้องบอกตัวเองให้ฮึบมาก ๆ เรานัดเพื่อน ไปกรอกข้อมูลที่คณะ จบด้วยกินข้าวมื้อแรกสี่โมงเย็นก็นั่นแหละ พอกลับถึงห้อง เพื่อนอีกกลุ่มก็ชวนไปหาอะไรกิน เราบอกปัดไปว่า ไม่กินได้ไหม ปวดท้อง เพิ่งกินข้าวมาเอง แต่สุดท้ายเราก็ตอบตกลงไป ตลอดสองชั่วโมงกว่ามันทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นใครก็ไม่รู้ เป็นอะไรแย่ ๆ ให้คนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา เราไม่มีอารมณ์กิน ไม่มีอารมณ์จอยกับ conversation ของเพื่อน เพื่อนบอกว่ากินไม่ได้เลยเหรอ ไม่ต้องหารก็ได้ คือเราไม่ได้จะสื่อแบบนั้น เราแค่ไม่มีอารมณ์กิน เราบอกว่าถ้ากินแล้วจะปวดท้อง เพื่อนบอก มันขนาดนั้นเลยเหรอวะ กระเพาะทะลุปะ เห้อมม เนี่ย ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตอนนั้นยังไง มันแย่อะ เรายิ้ม เราหัวเราะแทบจะไม่ไหว เราอยากอยู่เงียบ ๆ เราอยากหนีออกไปจากตรงนั้น ตลอดเวลาที่อยู่ตรงนั้นมันคือการฝืนมาก เราหงุดหงิดกับทุกอย่าง หงุดหงิดกับคำพูดของเพื่อน โทนเสียงหรือคำพูดอะไรที่ไม่เข้าหู เรารำคาญหมด หลังกินข้าวเสร็จ (เรานั่งดูเฉย ๆ) เพื่อนไปกินของหวานต่อ เราก็ยิ่งหงุดหงิด ไหนจะเลือกร้าน เลือกเมนู หรืออะไรก็ตาม การเดินเอื่อย ๆ ไปร้าน หรือคุยเรื่องคนนั้นคนนี้ ทุกอย่าง เราหงุดหงิดมาก ๆ แต่มันก็ไม่ได้ไง เราพยายามอยู่ เราไม่ได้เป็นอะไร หยุดคิดเรื่องไร้สาระซักที อยากหยุดรำคาญ หยุดงอแงกับตัวเองเหมือนกัน มันเหนื่อย เหนื่อย เหนื่อยมาก ๆ จนไม่อยากอยู่ จบที่นั่งกินของหวานแล้วแยกย้ายกันกลับด้วยความรู้สึกที่ไม่โอเคเท่าไหร่ 



    วันเจอหมอครั้งที่สอง (22/03) 



    เราไม่ได้เตรียมตัวอะไรไป ไม่รู้ว่าจะต้องถามอะไรหมอ แค่กะจะไปบอกหมอว่ากินแล้วไม่เห็นดีขึ้นเลย พะอืดพะอม แล้วก็ฝันไม่ดีเรื่อย ๆ ทุกวัน ถึงเวลานัดได้คิวที่แปดเหมือนเดิม รอเกือบสองชั่วโมงเหมือนเดิม แอร์ในห้องก็หนาวชะมัด นั่งรอไปสั่นไป คำพูดแรกที่หมอพูดกับเราตอนเปิดประตูเข้าไปนั่งคือ เป็นยังไงบ้าง ยาหมอพอจะช่วยอะไรได้ไหม เราตอบไวมากแบบไม่ต้องคิดเลย ไม่ค่ะ หมอถามต่อว่ามันยังไง ทำไม เราบอกไปว่ากินแล้วฝันไม่ดีแต่ก่อนหน้านี้ก็ฝันไม่ดีอยู่แล้ว หมอเลยบอกว่าไม่ได้เป็นที่ผลข้างเคียงของยา มีสองสามวันที่เรากินแล้วตื่นตีสามตีสี่มากินอีกรอบ หมอบอกว่าอาจจะเพราะว่ายาที่หมอให้มันยังน้อยไป หมอพูดชิวมาก หมอหันไปมอง note ที่แปะอยู่บอกว่าที่นี่มียาตัวไหนบ้าง หมอบอกต้อง design ให้ใหม่เพราะยาที่นี่มีน้อย เราก็นั่งเงียบไปพักหนึ่ง 



    "แล้วก็"...

    เราพูดยังไม่ทันจบ

    "ว่ายังไงคะ"

    หมอถาม



    เราบอกหมอไปว่าช่วงนี้เราหงุดหงิดมาก ทุกอย่างทำให้เราโมโหไปหมด  เราบอกว่าเมื่อวานเราไปเจอเพื่อนมา เพื่อนคุยเรื่องงาน และอีกมากมายแต่ทุกอย่างทำให้เราหงุดหงิด หมอบอกว่าที่คุณหงุดหงิดเพราะ pms รึเปล่า เราบอกว่ายังไม่ใช่ช่วงนี้ หมอถามอีกว่าจุดที่กระตุ้นความรำคาญของคุณคือเรื่องหางานใช่ไหม นี่ก็ตอบว่าใช่ หมอบอกว่า อ่อ เรื่องงาน เพราะเป็นเรื่องที่คุณก็กลุ้มกับตัวเองอยู่แล้ว เพราะงั้นสิ่งที่เพื่อนพูดมันเหมือนแทงใจดำ หมอบอกว่าถ้าไม่มีใจดำให้แทง คุณก็จะไม่รู้สึกแบบนี้ใช่ไหม 
    ถ้างั้นเราอยากคุยเรื่องนี้กันไหมหรืออยากกินยาเฉย ๆ หมอก็ไม่ว่า... ตอนนั้นรู้สึกว่าทำไมหมอดีจัง หมอไม่ยัดเยียด หมอรับฟัง หมอให้เราเลือก หมอพูดดีกับเรามากถึงมากที่สุด เราตอบว่าขอกินยาเฉย ๆ อาจจะเพราะเราเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นเอง เลยทำให้เราหงุดหงิด รำคาญไปทั่ว หมอบอกก็ใช่ไง แต่ทัศนคติเรื่องหางาน มันคงมีอะไรค้างคาใจ เพื่อนเขาพูดมาคุณเลยขึ้น ใช่ไหม เราบอกว่าจริง ๆ ก็ไม่ได้อะไรเพราะเตรียมส่งเอกสารแล้ว แค่รำคาญ หมอถามต่ออีกว่าแล้วจุดที่กระตุ้นความรำคาญคืออะไรเพื่อนได้แล้ว คุณยังไม่ได้ หรือว่าเขาเองก็ดูวุ่นวาย



     
    "ใช่ เพื่อนพูดถึงเรื่องงาน เราต้องรีบหางาน ทำแบบนั้น แบบนี้ บวกกับที่บ้านที่ถามว่าเมื่อไหร่จะกลับบ้าน มันยิ่งทำให้รู้สึกว่า ทุกคนจะเอาอะไรกับเราหนักหนา อย่ายุ่งได้ไหม 
    ขออยู่เฉย ๆ แปปหนึ่งไม่ได้เหรอ"



     
    ยังพูดไม่จบน้ำตาก็ไหลออกมาแบบไม่ได้ตั้งตัว นี่คิดในใจ กูร้องไห้อีกแล้ว ไม่ได้นัดหมอเพื่อมาร้องไห้นะเว่ย เรารีบเอามือปาดน้ำตาที่ไหลอาบสองข้างแก้มอย่างไว แต่หมอไวกว่าคือดันกล่องคลีนเน็กซ์มาให้ตรงหน้าแล้ว ต่อจากนั้นเราเริ่มสะอื้น พยายามไม่ร้อง หมอเสริมอีก เหมือนพูดแทนว่า ทำไมเขาต้องการอะไรจากเราเยอะแยะใช่ไหม แล้วมีช่วงที่จริง ๆ เราอยากให้เขาต้องการเราบ้างไหม เราตอบว่า ตอนนี้ไม่ แล้วเมื่อก่อนล่ะ หมอจี้ ฮือ เราตอบไปว่าอาจจะ ด้วยเสียงสั่นและเบามาก เดี๋ยวนี้เฉยละ ขอแค่อย่ายุ่งก็พอ หมอเสริมอีก หมอจำได้ว่าคราวก่อนที่คุยกับคุณ คุณมีปัญหาเรื่องญาติด้วยใช่ไหม แล้วคุณก็รำคาญมาก ไม่อยากกลับไป แล้วเราจะไม่กลับไปได้ตลอดเหรอ ที่หมอสงสัยก็คือแล้วมันจะผ่านพ้นไปได้ยังไง ใกล้จบรึยัง เราบอกว่าจบแล้ว เพิ่งไปรับ transcript เมื่อวาน หมอบอกว่างั้นก็ไม่ใช่นิสิตแล้วสิ ต้องเรียกบัณฑิตละ หลังจากนี้คุณก็จะอยู่กรุงเทพต่อ หางาน หมอเข้าใจถูกปะ แล้วก็ขี้เกียจกลับบ้าน ใช้ชีวิต แต่ญาติก็จะจิกมาเรื่อย แล้วงี้ทำไง ไม่รับโทรศัพท์ได้ไหม เราบอกว่าใช่ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตอบ ไม่ได้คุย หมอบอกว่ายังงี้ก็เหมือนหนีไปเรื่อย ๆ อะไรที่... เอ่อ หมอเปลี่ยนคำถามดีก่า (หมอพูดแบ๊วเว่อ)




    "ถ้างั้น ถ้าต้องหนีไปเรื่อย ๆ มันก็เหนื่อยนะ มันถึงจุดไหนที่เราจะหยุดหนีอะ"



     (หมออออออออออออออ จะร้องไห้อีกแล้วเนี่ย) เช่นหันไปบอกว่าตัดญาติกันไปเลย เราบอกก็คงไม่ แต่หมายถึงว่าถึงจุดหนึ่งเขาจะหยุดจิกคุณไปเอง เราบอกว่า เราไม่คิดว่าเขาจะหยุดจิก ญาติก็ยังอวยลูกเรียนหมอ เรียนปอโท นู่นนี่นั่น ส่วนของเราก็เป็นแค่เรียนจบ เขาบอกว่าเราต้องภาวนา สวดมนต์ หมอบอกว่าตรงนั้นมันงี่เง่า เรารำคาญ (ตอนนั้นรู้สึกตัวเองโมโหมาก) แต่หมอหมายถึงว่าเราจะวางตัวยังไง ไม่งั้นเราก็จะเหมือนหลบเลี่ยงไปเรื่อย ๆ เราบอกว่าเวลาไปเจอญาติ เราก็เงียบ ๆ ค่ะ ๆ ไป ต้องรอเขาตายว่างั้นถึงจะโล่ง เราตอบว่าใช่ หมอถามว่าเคยโมโหมาก ๆ อยากด่าปะ (หมอ psychi หรือหมอดูอะ ฮืออออ) เราตอบอยาก ถ้าด่าแล้วจะเป็นยังไง เราบอกว่าเขาก็คงรับไม่ได้ มองเราเป็นคนก้าวร้าวแบบนี้ หมอบอกว่าก็ปล่อยไปแต่สิ่งสำคัญคือเขาเลิกยุ่งกับคุณ เราบอกว่าไม่ได้เพราะว่าเขาช่วยอยู่ ถ้าไม่มีเขา บ้านเราก็แย่เหมือนกัน ถ้ายังงั้นถึงจุดนี้คุณก็ต้องยอมไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม เลี่ยงได้ก็คือเลี่ยง ที่เหลือก็คือทน




    "งั้นคุณมีความสุขกับอะไรบ้าง"
    หมอเปลี่ยน topic ไวจนเรางง



    "เอาเป็นว่าไม่ต้องเกี่ยวกับญาติ อยู่กรุงเทพ เที่ยวไหน กินอะไร หรือทำอะไร"
    "ก็นั่นน่ะสิ"



    เราตอบหมอด้วยเสียงเบามากแบบไม่มีหางเสียงใด ๆ แต่ก่อนเราชอบวิ่งมาก ปีที่แล้วเราเข้า gym เกือบทุกวัน หมอบอกว่าแล้วตอนนี้ล่ะ ไปดูไหม หรือจะไปสวดมนต์ ภาวนาตามที่ญาติบอก เราบอกว่าไม่ หมอบอกว่างั้นก็ต้องเอาซักทางจะกีฬาก็กีฬาไปเลย เรารีบบอกหมอว่า ก่อนหน้านี้เราลงวิ่ง midnight run ไปแต่ทุกอย่างมันเฟลมาก มันไม่เหมือนเดิม หมอถามว่าอยากให้มันเหมือนเดิม มันต้องเป็นยังไง เราบอกว่าตอนวิ่งที่ gym เราโอเคมาก แต่พอครั้งนี้ เราเข้าเส้นชัยเกือบสุดท้าย หมอบอกว่ามันก็ยิ่งทำให้คุณไม่อยากทำ แต่คุณก็รู้ว่าถ้ายิ่งไม่ทำมันก็ยิ่งตก ตอนนั้นคือเรารู้ทุกอย่าง เรารู้ว่าต้องทำยังไง เราพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม เราพยายามเอา routine ของตัวเองแบบเดิมกลับมา หมอจะรู้ไหมว่าเราพยายาม เราพยายามอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากให้เหมือนเดิมมันก็ต้องกลับไปทำใหม่ กลับไปฟิตเนอะ กลับปะ หรือเอาไว้ก่อน เราว่าหมอพยายามจะเข้าใจ เสนอทางเลือก หรือบอกทุกอย่างที่มัน possible ให้เราทำ แต่เราตอบว่า ไม่ ไม่ แล้วก็ไม่ 



    "แต่ก็ไม่เห็นต้องว่าตัวเอง" หมอพูด 



    "หมอว่าเราเร็วที่จับผิดตัวเองเก่ง หงุดหงิดง่าย แล้วยิ่งพออารมณ์พื้นเราไม่ดีอยู่แล้วมันยิ่งทำให้เรายิ่งไวมากขึ้นมากขึ้น" 



    "แล้วเพื่อนก็จะบอกว่า หายไปไหน หนูก็อยากหายเหมือนกัน" เราพูดแทรก



    "หายไปเลย" หมอพูดต่อ



    "ไม่รู้อะ" เราตอบแบบสนิทเว่อ เป็นไงล่ะ ไม่มีหางเสียงใด ๆ



    "งั้นหมอเปลี่ยนยาดีก่า" 



    น่ะ แบ๊วอีกแล้วหมอออออ หมอเปลี่ยนยาให้ หมอบอกว่าสำหรับคนอารมณ์เร็วกินตัวนี้ดีกว่า จากนี้คงมาได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่เขายังไม่ตัดชื่อหนูออก งั้นเดือนหน้าเจอกัน นี่ไง หาหมอครั้งที่สอง เริ่มก็งง จบก็งง หมอตัดบทได้เร็วมาก คุมเวลาได้ดีมาก ทุกนาทีที่ผ่านไป เรารู้สึกเหมือนอยู่ใน comfort zone ตลอดเวลา เรากล้าพูดสิ่งที่เราไม่กล้าพูดกับคนอื่น หลายอย่างที่มันดูงี่เง่า ดูไร้สาระ มันดู matter ขึ้นมาเมื่อเราพูดต่อหน้าหมอ หมอไม่บังคับ หรือว่าทำให้เรารู้สึกกดดันมากกว่าเดิมเลย ขอบคุณนะคะ 





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
nekoco_ (@nekoco_)
เราว่าคุณเขียนหนังสือดีนะ

หมอของคุณเก่งอ่ะ พูดจาดีกว่าหมอเราเยอะ5555

หารพ.อะไรหรอ
overreachpeach. (@debbyjudycooper)
@nekoco_ ขอบคุณมากนะคะ^^ หมอภุชงค์ค่ะ ปล. พอดีเพิ่งได้เข้ามาอัพเดท ขอโทษด้วยนะคะที่ตอบช้าไปเป็นเดือนเลย