วันนี้กรุงเทพอากาศเย็นกว่าปกติ ทั้งที่ใครก็บอกว่าเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดของปี
วันนี้เราแทบไม่ได้มองท้องฟ้าเลยด้วยซ้ำ มันสดใสรึเปล่านะ
วันนี้เราตื่นเพราะแดดที่ส่องเข้ามาที่ห้อง ใครจะไปทนไหว
วันนี้เรากินนมกับคอนเฟล็กเป็นข้าวเช้า กินได้ครึ่งเดียวก็เททิ้งแล้วกินยาตาม
วันนี้มันก็แค่วันปกติ วันธรรมดาวันหนึ่ง เดี๋ยวก็ผ่านไป
สิบเอ็ดปีแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน
อยู่ ๆ เราก็คิดถึงใครบางคน
คนที่เราไม่ได้เจอนานมาก
คนที่เราอยากเจอมาก
คนที่เราอยากเล่าทุกอย่างให้ฟัง
คนที่เราอยากงอแงใส่
คนที่เราอยากร้องไห้ต่อหน้า
คนที่เราทำให้เราเกลียด
คนที่ทำให้เรารักมากในเวลาเดียวกัน
ย้อนไปสิบเอ็ดปีที่แล้ว
เราคือเด็กประถมคนหนึ่ง ไม่ได้เก่งอะไรมากมายแต่ก็อยู่ห้องคิงส์ที่ใคร ๆ พากันบอกว่าเด็กห้องนี้มีดี
การไปโรงเรียนคือ routine การไปเรียนพิเศษก็เช่นกัน เราเรียนพิเศษทั้งเลข ภาษาอังกฤษ แล้วก็ดนตรีไทย เราอยู่ชมรมดนตรีไทยด้วย ทุกเย็นหลังเลิกเรียนเราจะพุ่งตัวไปที่ห้องดนตรีไทยเพื่อรอซ้อมกับเพื่อน พลางชะเง้อออกไปนอกหน้าต่าง รอแม่มารับกลับบ้าน ทุกอย่างเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่พ่อกับแม่เลิกกัน เราชินชากับการถูกลืม ถูกทิ้งไว้ที่โรงเรียนจนมืดค่ำ เราไม่ได้คิดอะไรมากเท่าไหร่
จนมีวันที่เรารู้สึกว่า เราเสียใจมาก เราทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
แม่ไม่ได้มารับเรากับน้องที่โรงเรียนแต่เป็นตาที่มารับ แม่เราป่วยมาได้ซักพักแล้ว แม่กำลังให้คีโมอยู่ที่โรงพยาบาล
ก่อนหน้านี้เรารับรู้แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร เรารู้ทุกอย่าง ตั้งแต่วันที่แม่ไปตรวจที่ศูนย์มะเร็งแห่งชาติ เราก็ไปกับแม่ด้วย วันที่ผลตรวจออกเราก็อยู่กับแม่ วันที่แม่ไปให้คีโม แม่ยังขับรถไปโรงพยาบาลเองด้วยซ้ำ แม่เราเข้มแข็งมาก แม่เราผ่านอะไรมามาก แต่เราไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของแม่เลย เราสนใจแต่ตัวเอง จะอ้างว่าความเป็นเด็กเรายังมีอยู่ ซึ่งมันก็จริง เราโกรธที่แม่ถักเปียให้เราไม่เป็น เราโมโหเวลาแม่เมาไม่ได้สติ นั่งอาเจียนอยู่ที่พื้น วันที่แม่เมาแล้วไปสักรูปผีเสื้อที่ไหล่ขวา วันที่แม่เมาแล้วไปนอนตรงระเบียงหน้าบ้านให้ยุงกัด เราก็จำใจไปนอนข้างแม่ เราเกลียดมากเวลาที่แม่สูบบุหรี่ในห้องนอน หรือวันทีี่แม่เมาจนไปล้มหัวแตกริมสระน้ำแถวบ้าน เย็บมาหลายเข็ม สังเกตจากคราบเลือดเปื้อนเสื้อพร้อมถุงยาจากโรงพยาบาล ยายกับเพื่อนแม่เป็นคนพาแม่กลับมาบ้านด้วยสภาพที่เราเห็นแล้วทั้งสมเพชแล้วก็สงสาร วันรุ่งขึ้นยายยังเอาเสื้อนั้นมาแช่น้ำ ซักให้คราบเลือดจางด้วยซ้ำไป หลายครั้งที่เรางอแงให้แม่พาไปว่ายน้ำที่สระแถวบ้านแต่โดนไม้แขวนเสื้อตีก้น เราร้องไห้ ได้แต่นึกในใจว่าทำไมแม่ใจร้ายจัง แค่พาเรากับน้องไปว่ายน้ำ แค่นี้ไม่ได้เหรอ อย่างน้อยพาไป แม่เองก็ได้สั่งข้าวกับเบียร์สองสามขวดกินอยู่แล้ว ทำไมแม่ต้องตีเราด้วย หรือบางวันที่พ่อมารับเราไปซื้อของ แม่ก็พูดว่า ถ้าทำแบบนี้อีก ไม่ต้องมาคุยกันเลยนะ เราไม่เข้าใจแล้วก็เสียใจมาก ทำไมแม่ต้องพูดแบบนี้กับเราด้วย ตอนนั้นเราคิดได้แค่นั้นจริง ๆ
ตั้งแต่แม่ป่วย เรารู้แค่ว่าเป็นระยะที่สอง ยังไงก็ต้องหายแหละ ไม่ได้เตรียมใจหรือเผื่อใจไว้เลย แต่ละวันที่ผ่านไป ช่วงเวลาครึ่งปีที่เแม่เข้าออกโรงพยาบาลเดือนละหนเพื่อไปให้คีโม เราทำตัวปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันที่แม่ผ่าตัดเรายังไปโรงเรียนปกติแล้วก็ไปหาแม่ตอนเย็น เจอแม่นอนดูทีวี สาย drain ห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด เดี๋ยวแม่ก็หาย เราเชื่อแบบนั้น ช่วงพักฟิ้น แม่กลับมาบ้าน ไม่ได้ไปทำงานแม่มีคนดูแล ซึ่งก็คือเพื่อนแม่ (หรือแฟนแม่ที่เป็นผู้หญิง) แม่เรารักคนนี้มาก แม่ร้องไห้ได้เป็นวรรคเป็นเวรเพราะคน ๆ นี้ แม่เขียนโน้ตไว้ในสมุดตัวเอง บ่นตัดพ้อไปต่าง ๆ นานา แม่เรากำลังหาที่พึ่งซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่เรา ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนส่วนเกินในชีวิตแม่เหมือนกัน แม่ชอบไปนอนอีกบ้าน แม่เข้ากับคนที่แม่รักได้ดี แม่ดูมีความสุข หลายครั้งที่เราอ้อนให้ตาไปส่งเราที่บ้านนั้น ล็อตไวเลอร์ตัวใหญ่เห่าเสียงดัง เราเองก็กลัวมาก จนแม่เปิดประตูบ้าน เดินลงมาล่ามโซ่ ใส่ตะกร้อครอบปาก แล้วเดินมาเปิดประตูให้เราเข้าไป รู้สึกเหมือนเป็นคนขัดความสุขแม่ขึ้นมาซะงั้น เรากับคนที่แม่รักก็ดูไม่มีปัญหาอะไร เราแค่รู้สึกว่า เขาคงอยากอยู่กับแม่สองคนมากกว่ามีเราอยู่ด้วยนั่นแหละ แต่ก็นะ เราอยากอยู่กับแม่ ทำไมเราจะอยู่กับแม่ไม่ได้ ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด อิจฉา ส่วนเกิน ตัวปัญหา หลายความรู้สึกมาก
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เราสังเกตได้ว่าหลายอย่างเปลี่ยนไป แม่เริ่มซูบผอม จากที่ผอมอยู่แล้วยิ่งผอมไปกันใหญ่ ผมร่วงจนต้องใส่วิกไปทำงาน ในทางกลับกัน เราต้มน้ำโพแทสเซียมได้ เราทำอาหารง่าย ๆ อวดให้แม่ดูได้ (แต่แม่ก็ไม่กินอยู่ดี) รสชาติมันคงห่วยแตกละมั้ง เราเห็นแม่กินยาเป็นกำ ๆ ทั้งยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ หรืออาหารเสริมราคาเม็ดละเกือบร้อย ตากับยายพร้อมทำทุกอย่างเพื่อดูแลแม่ให้ดีที่สุด ถึงแม้จะเป็นการกู้หนี้ยืมสินมาก็ตาม เดือนนี้แม่ตกบันไดแล้วบ่นว่าปวดหลัง ตั้งแต่วันนั้นแม่ก็ได้นอนโรงพยาบาล ตาพาเราไปหาแม่แต่ก็ยังเข้าไปหาไม่ได้อยู่ดีเพราะต้องรอให้ยาหมดก่อนถึงจะเข้าไปได้ เราทำได้แค่ชะโงกหน้าโผล่ไปตรงช่องกระจกสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ โบกมือให้แม่เห็น xxมาแล้วนะ และดูเหมือนคราวนี้แม่จะต้องอยู่โรงพยาบาลนานกว่าปกติ
ตั้งแต่วันนั้น โรงพยาบาลคือบ้านหลังที่สองของเรา ตอนเช้าตาจะมารับที่ตึกพิเศษของโรงพยาบาลแล้วกลับบ้านไปอาบน้ำ กินข้าว เตรียมตัวไปโรงเรียน ตกเย็นตามารับที่โรงเรียน กลับบ้าน กินข้าวเย็น อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้วพาไปส่งที่โรงพยาบาล เป็นแบบนี้หนึ่งเดือนเต็ม โชคดีที่ตอนนั้นเป็่นช่วงสอบไล่ปลายภาคของชั้นปอหกพอดี สอบเสร็จก็เลยได้มาเฝ้าแม่ นอนตากแอร์ ดูการ์ตูน กินข้าวที่แคน ทีนล่างตึก เดินเล่นไปทั่วโรงพยาบาลจนชิน คุณป้าพยาบาลก็ชอบเรียกเราออกไปคุย ถามนู่นนี่ บอกวิธีลูบหลัง ไม่ให้น้ำท่วมปอดแม่ เราก็หยักหน้าหงึก ๆ แต่ไม่เคยทำตามซักครั้ง จนครึ่งเดือนหลังแม่เริ่มทรุด ไม่อยากอาหาร ให้น้ำเกลือเยอะขึ้น บ่นว่าปวดหลัง ปวดตัว ขอฉีดมอร์ฟีนเป็นว่าเล่นจนเราเริ่มสงสารแม่เพราะแม่เบลอจากฤทธิ์ยา แม่ลงจากเตียงไปเปิดตู้เย็น ทำท่าจะทุบก้อนน้ำแข็ง ชงน้ำหวานกิน เราก็งง แม่ไปนั่งทำอะไรที่พื้นเป็นเด็กไปได้ ไม่เห็นมีน้ำแดง ไหนน้ำแข็ง แม่เราไม่มีสติแล้วในตอนนั้น พอดีกับรุ่นน้องที่ห้องยามาเยี่ยม พี่เขารีบเข้ามาถามว่าแม่ทำอะไร มีอะไรให้ช่วยไหม แล้วพยายามพูดให้แม่ได้สติแล้วดึงตัวกลับขึ้นเตียง ตอนนั้นเราทำได้แค่มอง ถ้าพี่คนนั้นไม่เข้ามา เราจะทำอะไร เราช่วยอะไรแม่ได้บ้าง ก็คงไม่...
วันสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกัน
เรากลับบ้าน เปลี่ยนชุดเตรียมไปนอนกับแม่ที่โรงพยาบาลเหมือนทุกวัน ซักพักมีสายเข้าจากยาย ตายื่นมือถือมาให้เรา ยายบอกว่ารีดเสื้อให้แม่หน่อย เอาเสื้อที่แม่ใส่ไปทำงาน กระโปรงด้วย ตอนนั้นแหละเราเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าแม่จะไม่อยู่กับเราแล้ว วางสายเสร็จก็รีบไปหยิบเสื้อกับกระโปรงมารีด รีดแบบให้เรียบที่สุดเท่าที่เด็กอายุสิบสองขวบจะทำได้นั่นแหละ หลังจากนั้นก็ดิ่งไปโรงพยาบาล ระหว่างทางไปตึก ตาเดินข้างเรา บอกว่าต้องทำใจแล้วนะ ต้องเข้มแข็ง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พอไปถึงห้อง แม่ก็นอนหายใจแผ่ว ให้ออกซิเจน หลับตาอยู่แล้ว ยายกับน้าอยู่ข้าง ๆ น้องเรานอนหลับอยู่ที่โซฟา ยายเลื่อนเปิดบานกระจกแทนที่จะเปิดแอร์ ลมเย็นพัดเข้ามาในห้องเป็นระยะ เราไปนั่งจับมือแม่ บีบมือ ก้มหน้า เราเริ่มร้องไห้ น้ำตาไหลไม่หยุด ร้องไห้จนร้องไม่ออก จนถึงวินาทีสุดท้ายที่แม่หายใจ
ไม่มีใครบอกว่าจากนี้ต้องทำยังไง
ไม่มีใครบอกว่าต้องกินยาเม็ดยังไง
ไม่มีใครบอกว่าต้องต้มเส้นมะกะโรนีกี่นาที
ไม่มีใครบอกว่าต้องวาดรูปการ์ตูนน่ารัก ๆ ยังไง
ไม่มีใครบอกว่าต้องกินยาตัวไหนเวลาไอ หรือเป็นไข้
ไม่มีใครบอกว่าหลังจากแม่ไม่อยู่แล้ว เราจะทำอะไรต่อไป
ความคิดถึงที่ไปไม่ถึง
It's rough and it's tough at the same time when I'm totally lost and didn't see you being around here anymore.
I miss you.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in