Whenever I was frightened or if I ever felt alone,
I turned to the night sky and a star I call my own –
Somewhere I could run to just across the MilkyWay.
If you like I could take you. It's just a light year and a day.
And with your hand in my hand I am closer now to finding Neverland.
นิ้วเรียวออกแรงกดไปบนแป้นพิมพ์ของอุปกรณ์ไฮเทคคู่ใจตรงหน้า สลับกับอุปกรณ์อื่นๆอย่างเป็นธรรมชาติดั่งใจคิด ราวกับท่วงทำนองของดนตรีที่ตนแองกำลังสร้างขึ้น ซึ่งร้องสอดประสานเข้ากับการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างลงตัว
เฮดโฟนสีแดงถูกสวมไว้พร้อมกับการถ่ายทอดเสียงก้องกังวานจากเส้นเสียงเลเยอร์ต่างๆ ตามที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอพร้อมขับขานตามที่ผู้สร้างตั้งใจให้เป็น
เด็กหนุ่มผู้สรรค์สร้างความไพเราะขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานของตัวเองชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ประหนึ่งพ่อมดจอมขมังเวทย์ที่ปลีกตัวจากโลกภายนอก เพื่อทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการร่ายเวทมนตร์บทใหม่ในปราการที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางภูเขาสูงชัน ซึ่งไม่มีใครสามารถย่างกรายเข้ามาได้
ยกเว้นแต่เจ้าของห้องจะก้าวขาออกไปเองเป็นครั้งคราวเพื่อของเติมพลังให้กับท้องที่หิวโหย อาจจะครบสามมื้อบ้างหรือน้อยกว่าสามมื้อบ้างเป็นบางวัน ไม่ก็ออกไปทำธุระส่วนตัวครู่หนึ่งก่อนจะหายกลับเข้าไปในดินแดนลึกลับของตัวเองต่อ
พฤติกรรมที่หักโหมงานนั่นทำให้บรรดาสมาชิกในวงกว่าสิบคนแทบไม่ได้เห็นหน้าค่าตาของเขาเลยยกเว้นก็แค่ตอนประชุมประจำวันครั้งละหนึ่งชั่วโมง ที่เจ้าตัวก็ขาดประชุมมากกว่าจะมาเข้าร่วมในช่วงนี้ กับเวลาหารือเรื่องเพลงกับบรรดาสายร้องสายแร็พของวงนั่นแหละเป็นแค่ช่วงเวลาที่เขาจะปรากฏตัวออกมา แต่ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าทักท้วงอะไรมากนัก สมาชิกเลยต่างทำได้แค่ส่งกำลังใจให้ห่างๆ อย่างห่วงๆ ตลอดเวลา เท่าที่แต่ละคนจะสามารถทำได้
เวลาการทำงานมีแต่จะยืดยาวออกไปเรื่อยๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก เป็นวันที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่เจ้าตัวเห็นแสงสว่างจากวันใหม่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา การทำงานข้ามวันข้ามคืนดูเหมือนจะเป็นกิจวัตรประจำวันของ อี จีฮุน ไปโดยปริยาย
ด้วยความที่ตัวเขาเองพ่วงตำแหน่งโปรดิวเซอร์ของวงเป็นไปไม่ได้ที่เพลงแต่ละเพลงของวงจะไม่ผ่านมือของเขา ผลงานทุกชิ้นที่ได้เผยแพร่ออกไปสู่สาธารณะจะเป็นสิ่งที่เขาสามารถรับรองได้ว่าคัดสรรมาอย่างดีที่สุดแล้วแต่นั่นก็ต้องแลกมากับความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องแบกรับภาระอันใหญ่หลวงนี้ไว้บนบ่าเล็กๆของเขา
เป็นความเหนื่อยที่ทำให้หลายครั้งอดน้อยใจไม่ได้ว่าเหมือนกับตัวเองกำลังพยายามอย่างหนัก...อยู่เพียงคนเดียว
ประตูห้องทำงานของโปรดิวเซอร์ประจำวงค่อยๆเปิดออก พร้อมกับร่างของหนึ่งในสมาชิกที่ก้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ จากเจ้าของพื้นที่นั้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่จีฮุนกำลังยืดแขนออกมาทั้งสองข้างเพื่อบิดขี้เกียจและสะบัดความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวัน หรืออาจจะเป็นสัปดาห์ออกไป ก่อนจะถอดเฮดโฟนของตัวเองออกด้วยความเหนื่อยอ่อน
ตัวเลขสีแดงบนนาฬิกาดิจิตอลบอกเวลาราวห้าทุ่มกว่าๆ ถือว่าเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของค่ำคืนที่แสนยาวนานในคืนนี้เท่านั้นสำหรับจีฮุน แต่ทำไมคืนนี้ร่างกายกับหัวสมองของเขากลับว่างเปล่า หยุดนิ่งและไม่ไหวติงขึ้นมาซะอย่างงั้น อาจเป็นเพราะว่าคงใกล้จะถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้วแน่ๆ
“เพลงเป็นยังไงบ้าง” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง พร้อมกับมือของผู้มาใหม่ที่ขยี้กลุ่มผมสีชมพูหวานบนหัวทุยๆเป็นการทักทาย ซึ่งสร้างความรำคาญให้กับเจ้าของเรือนผมนั้นอย่างมากในเวลาทำงานแบบนี้ เด็กหนุ่มรีบปั้นหน้ายักษ์และหันไปหาต้นเสียงที่แอบเข้าห้องมา
“ฉันบอกแล้วไงว่าห้าม...” แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไปจนจบประโยคเจ้าตัวก็ต้องกลืนคำพูดสองสามคำสุดท้ายลงคอไป
เมื่อใบหน้าของเพื่อนในวงอีกคนเข้ามาประชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
“ตัวเองอย่าเหวี่ยงใส่เราสิ” เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์เป็นฝ่ายผละออกมาก่อน น้ำเสียงขี้เล่นและแสนกระเง้ากระงอดดังเจื้อยแจ้วเป็นเสียงที่ได้ยินที่ไรจีฮุนก็ไม่เคยโกรธลงสักที ยิ่งเห็นปากได้รูปบนใบหน้าแขกผู้มาเยือนเบะคว่ำลงเหมือนเด็กตัวน้อยที่โดนผู้ปกครองดุเข้า ยิ่งทำให้จีฮุนรู้สึกผิดขึ้นมามากกว่าเดิม
“เออ ไม่โกรธก็ได้ ทีหลังอย่าเข้ามากวนตอนทำเพลงอยู่นะซูนยอง” เจ้าของห้องรีบหันกลับไปยังหน้าจอเพื่อซ่อนริ้วแดงๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เมื่อครู่จากสายตาของอีกคน
เป็นความคิดที่เจ้าตัวแทบจะหัวเราะคิกออกมา ทั้งๆที่ขนาดดวงตาอีกคนก็ไม่ค่อยจะต่างกับตัวเองเท่าไหร่
“คือที่จริง ฉันอยากดูหนังแต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่หอเลยสักคนเดียว มาดูเป็นเพื่อนกันหน่อยดิ” เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งไม่ว่าเปล่า เด็กหนุ่มชูแผ่นดีวีดีหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมาด้วยหน้าตาหน้าสงสารสุดขอบโลก จนจีฮุนได้แต่กลอกตาไปมากับคนตรงหน้า ที่ไม่รู้วันนี้จะมาไม้ไหนอีก
“คิดว่าฉันว่างมากใช่ไหม นายควรเอาเวลาดูหนังไปทำตัวให้เป็นประโยชน์กับการคัมแบ็คครั้งนี้ดีกว่า” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ก่อนจะหันหลังกลับไปทำงานที่ค้างของตัวเองต่อ โดยไม่สนใจคนขี้ตื้อที่ยังคงออดอ้อนอยู่ข้างตัว
ในหัวได้แต่คิดว่าทำไมไม่มีใครสนใจจะจริงจังกับอนาคตของวงเลยแม้กระทั่งคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุดอย่างซูนยอง
แต่ให้ตายเถอะจีฮุนกำลังรู้สึกเหมือนไฟในตัวเองกำลังจะมอดหมดลงไป ไม่เหลือความคิดสร้างสรรค์ดีๆ จะเอาไปทำเพลงต่อไม่ว่าจะพยายามคิดแค่ไหน วันนี้เขาไม่สามารถทำเพลงได้เพิ่มจากเมื่อวานได้ดีเท่าไหร่เลยทำไมเป็นแบบนี้
“นายกำลังใช้ร่างกายเกินขีดจำกัดนะรู้ตัวไหม ฝืนทำไปก็ไม่ได้ทำให้การแต่งเพลงออกมาดีเลย” จู่ๆ เสียงตะแง้วๆ ข้างหูก็หายไป กลายเป็นน้ำเสียงจริงจังของอีกคนที่ดังขึ้นมาแทน
จีฮุนเหลือบตามองคนข้างๆ สายตาขี้เล่นเมื่อครู่หายไปแล้ว เขารับรู้ได้ถึงความห่วงใยของเพื่อนร่วมวงคนนี้ได้คนที่คอยสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคน และเป็นคนที่เข้าใจตัวเขามากคนหนึ่ง อาจจะเข้าใจจีฮุนมากกว่าตัวเขาเองก็ได้
ตอนนี้จีฮุนแน่ใจกับตัวเองแล้วว่าซูนยองยังคงเป็นคนที่เขาเชื่อใจได้เสมอ
“วันนี้จะได้ดูหนังแล้ว ในที่สุดซูนยองก็พาจีฮุนคนดื้อมาดูหนังด้วยกันได้แล้ว” เสียงตะโกนลั่นไปทั่วห้องนั่งเล่นมาจากเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่ชูมือทั้งสองข้างขึ้นไปจนสุด ประหนึ่งนักกีฬาได้รับเหรียญทองโอลิมปิก แถมทำลายสถิติโลกลงได้ พ่วงด้วยรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม
คนลากจีฮุนออกมาจากห้องทำงานได้รีบวิ่งตื๋อวิ่งไปปิดไฟเพื่อเพิ่มบรรยากาศให้เหมือนกับในโรงหนังมากขึ้น ขณะนี้ห้องนั่งเล่นมีเพียงแค่แสงสว่างจากจอโทรทัศน์ แต่จีฮุนยังคงเห็นแววตาระยิบระยิบมาจากดวงตาเรียวของอีกคนที่ทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆ ท่าทางจะดีใจจริงๆ ที่เขายอมออกมาจากห้องทำงานสักที
จีฮุนส่ายหัวพลางอมยิ้ม สองมือควานหาหมอนนุ่มๆมานอนกอดระหว่างดู หนังกำลังจะเริ่มฉายในไม่อีกกี่นาทีข้างหน้า บนโซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่นถูกจับจองด้วยหัวหน้าของกลุ่มร้องและหัวหน้ากลุ่มเต้นที่กำลังจะเดินทางออกไปยังห้วงอวกาศดินแดนลี้ลับที่เต็มไปด้วยความสวยงามที่น่าค้นหา
จีฮุนรู้จักหนังเรื่องนี้ เพราะนอกจากจะเป็นหนังที่กวาดรางวัลมามากมายจากเวทีใหญ่ระดับโลกอย่างออสการ์ซึ่งเป็นการการันตีคุณภาพแล้ว ก็มีสองพี่น้องซูนยองและชานที่รักการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง คงไม่ได้เสียเวลาในการทำเพลงทำไหร่ถ้าได้มาเติมแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ที่ทุกเสียงล้วนตอบว่าควรค่าแก่การดูสักครั้งในชีวิต ด้วยเนื้อเรื่องที่กล้าท้าทายความคิดของผู้รู้ในทุกศาสตร์ทุกแขนง โดยเฉพาะด้านฟิสิกส์และดาราศาสตร์ ไม่แน่ไฟในการทำงานอาจจะกลับมาลุกโชนเหมือนเดิมก็เป็นได้
เพราะหนังที่เป็นตำนานขนาดนี้ ถ้าได้ดูจบสักครั้งคงไม่เสียทีที่ได้เกิดมา แต่ต้องย้ำว่าถ้าได้ดูจบ เหตุผลก็คือเรื่องวิทยาศาสตร์จ๋ากับจีฮุนคนนี้ไปด้วยกันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อีกอย่างร่างกายเขาโหยหาการพักผ่อนอย่างเต็ม จึงมีโอกาสสูงมากที่เขาจะไม่สามารถถ่างตาดูได้จนจบ
ตัวหนังเริ่มเรื่องจากครอบครัวชาวไร่ที่คนเป็นพ่อคืออดีตวิศวกรและนักบินอวกาศขององค์กรนาซ่า ชายวัยกลางคนสะดุ้งตื่นจากความฝันมาพบกับลูกสาวตัวน้อยที่มาหาพ่อพร้อมบอกว่าตัวเองโดนผีหลอก เรื่องราวในช่วงแรกของหนังดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ครอบครัวชาวไร่ธรรมดาเด็กหญิงที่พบเจอกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่มีใครในครอบครัวเชื่อเธอ ตามด้วยฉากการไล่ล่าโดรนจากอุปกรณ์ไฮเทคที่ครอบครัวของตัวเอกทำขึ้นเอง
เอาเป็นว่าเนื้อเรื่องในตอนต้นแอบน่าเบื่อสำหรับจีฮุนที่คาดหวังกับตัวหนังไว้ซะหรูหราอลังการ ว่าจะพาตัวเขาทะยานสู่ห้วงอวกาศ พร้อมการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นเลยตั้งแต่เปิดเรื่อง
ดวงตาปรือของคนตัวเล็กใกล้จะปิดเต็มที แต่การรับรู้ของจีฮุนจับคำพูดของคนเป็นพ่อเรื่องกฎของเมอร์ฟี่ได้ เป็นภาษิตที่ผู้คนชอบอ้างถึงบ่อยครั้งในความหมายเชิงลบเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่หวังเอาไว้หรือผิดพลาด
ในกรณีของเขาตอนนี้ก็เช่นกัน เขาควรที่จะแต่งเพลงไปได้มากกว่านี้แล้ว แต่กับมาเสียเวลากับการพักผ่อน
แต่เหมือนคนข้างๆ สามารถอ่านใจของเขาออก จีฮุนในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของอีกคนที่ขยับเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ประคองลำตัวของตัวเองลงไปนอนหนุนที่หน้าตัก ร่างเล็กที่อ่อนเพลียเต็มทียอมนอนลงไปแต่โดยดี ไม่มีท่าทีขัดขืนเหมือนสถานการณ์ปกติที่ผ่านมา ทั้งยังจัดท่านอนของตัวเองให้สบายยิ่งขึ้นบนตักของอีกคนที่สบายอย่างเหลือเชื่อ ไม่ต่างจากเตียงนอนที่จีฮุนโหยหา
หลังจากนั้นไม่นานเขารู้สึกได้ถึงเสียงกระซิบข้างหู เสียงนั้นแผ่วเบา แต่กลับทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
“อย่ากังวลไปเลยนะ กฎของเมอร์ฟี่ไม่ได้ต้องการจะสื่อแต่เรื่องร้ายหรอก แต่แปลว่า อะไรก็ตามที่สามารถเกิดขึ้นได้ ก็จะเกิดขึ้นในที่สุด ฉันเชื่อแบบนั้นนายจะต้องทำเพลงคัมแบ็คของเราได้ออกมาดีอย่างสุดความสามารถแน่นอน” จีฮุนรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ได้สู้อยู่แค่คนเดียว เพราะสมาชิกทุกคนในวงต่างพยายามทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด ไม่ใช่แค่เพื่อการคัมแบ็คในครั้งนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถงเรื่องความมั่นคงของวงในอนาคตด้วยเช่นกัน
“เชื่อมั่นในตัวเองสิ เหมือนที่เราทุกคนในวงเชื่อในตัวนายนะจีฮุน” เจ้าของเสียงหยิกแก้มน่ารักๆ นั่นอีกหนึ่งทีด้วยความหมั่นเขี้ยว
อุณหภูมิบนใบหน้าและใบหูของตัวเองกำลังพุ่งขึ้นสูงอย่างหยุดไม่อยู่ ทำให้เจ้าตัวต้องแกล้งข่มตาหลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะถ้าเขาลืมตาขึ้นไปตอนนี้คงจะต้องสบกับดวงตาอ่อนโยนอีกคู่ที่กำลังมองลงมาที่เขาเช่นกัน นั่นคงเป็นสถานการณ์ที่จีฮุนทำตัวไม่ถูกแน่ๆ
“อือ...ขอบใจนะซูนยอง” นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่จีฮุนพูดออกมา เสียงนั้นแผ่วเบาเสียจนตัวเขาเองยังแทบจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าอีกคนจะได้ยินมันไหม หรืออาจจะเป็นเพียงแค่ความคิดที่จีฮุนแค่คิดในใจก็เป็นได้
แต่อีกคนก็ใช้ร่างกายของตัวเองแทนคำตอบว่าเขารับรู้ถึงคำขอบคุณนั้นแล้ว เมื่อคนตัวเล็กที่กำลังนอนอยู่สัมผัสได้ถึงท่อนแขนของซูนยองที่โอบเอวไว้หลวมๆ พร้อมกับฝ่ามือที่ค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรือนผมสีชมพู ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนการปลอบประโลมจากพ่อกับแม่ตอนที่ยังเป็นเด็ก ทั้งความอบอุ่นและปลอดภัยจนเหมือนจีฮุนได้กลับบ้านของตัวเอง
สถานที่ที่จีฮุนเรียกว่า เนเวอร์แลนด์
เมื่อร่างเล็กออกมาจากห้องนอนก็พบว่าที่หอว่างเปล่าเช่นเดิมสมาชิกคนอื่นคงจะออกไปซ้อมตามสถานที่ของตัวเองกันตามตารางหมดแล้ว และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากจะรบกวนการหลับใหลของเขาเลย
หลังจากจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย เป้าหมายแรกของจีฮุนไม่ใช่ที่ห้องทำงานของตน แต่เป็นการตรงดิ่งไปที่ห้องซ้อมเต้นของบริษัท สถานที่ที่ทีมเต้นกำลังฝึกซ้อมกันอยู่
เมื่อสมาชิกในทีมทั้งสี่คนเห็นผู้มาใหม่ หัวหน้าทีมอย่างซูนยองก็เป็นคนแรกที่โบกมือทักทายให้เขาอย่างทุกที ดวงตายิ้มหยีของซูนยองที่ส่งมาให้เขายังคงทำให้ตัวเขารู้สึกหัวใจเต้นแรงได้ทุกครั้ง
แต่กับสมาชิกสามคนที่เหลือเนี่ยสิหลังจากทักทายกันแล้ว กลับแอบลอบอมยิ้ม หัวเราะกันคิกคักอย่างมีพิรุธ
“เอ้ออออออ ผมลืมหนังสือคัดจีนที่วันนี้จะต้องส่งไว้ที่หออ่ะพี่ซูนยอง อีกอย่างยังคัดไม่เสร็จด้วยอีกตั้งหลายหน้า เดี๋ยวผมกลับหอแปปนะพี่ จะพาพี่จุนฮุย แล้วก็พี่มยองโฮไปช่วยปั่นการบ้านด้วย” เสียงของชาน น้องชายคนเล็กดังขึ้นอย่างรู้งาน ก่อนจะรีบร้อนเก็บของกันอุตลุดทั้งชานและจุนฮุยพี่ชายชาวจีนคนโต
จะมีก็แต่มยองโฮที่ยังคงยืนยิ้มเก้ๆ กังๆ ไม่เข้าใจความหมายที่ชานพูดเมื่อครู่ จนจุนฮุยต้องรีบไปกระซิบแปลเป็นภาษาจีนให้อีกคนเข้าใจ
“จริงด้วยๆ ต้องรีบไปช่วยชานคัดจีนก่อนนะครับพี่พวกเราไปก่อนนะครับ”มยองโฮโบกมือลาก่อนจะรีบวิ่งตามสองคนที่วิ่งออกไปจากห้องซ้อมก่อน
ตอนนี้ห้องซ้อมเต้นก็เหลือเพียงแค่จีฮุนกับเพื่อนร่วมวงอีกคนก็เท่านั้น โดยจีฮุนเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน
“...เมื่อคืนขอโทษนะที่เผลอหลับไปก่อน เลยดูหนังไม่จบ” เมื่อพูดถึงหนังที่ซูนยองตั้งใจชวนมาดูถึงขนาดยอมเสี่ยงตายเข้าไปในห้องทำงานของจีฮุน แต่ตัวเขาเองดันเหนื่อยเกินไปที่จะดูซะได้ จีฮุนสังเกตเห็นสีหน้าของอีกคนเปลี่ยนไปซูนยองไม่พูดอะไร ได้แต่ยู่ปากออกมาเหมือนเด็กกำลังงอน
“เอาไว้ฉันทำเพลงคัมแบ็คเราเสร็จแล้วมานั่งดูกันใหม่นะ สัญญาจะไม่หลับ แถมจะทำป็อปคอร์นมาให้ด้วย” เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยังคงไม่ตอบ แต่กลับสาวเท้าเข้ามาหาจีฮุนเรื่อยๆ
รู้ตัวอีกทีหลังของเขาก็ชนกับกระจกห้องซ้อมเสียแล้ว เมื่ออีกคนเห็นดังนั้นก็กางแขนทั้งสองออกมากั้นไม่ให้คนตัวเล็กหนีไปไหน ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“ตกลงนายติดดูหนังสองคนกับฉันนะจีฮุน แล้วก็...อันที่จริงแล้วฉันดูหนังเรื่องนี้มาก่อนแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวนะ...จำไม่ผิดนายเคยไปดูกับชานมาแล้วใช่ไหม แล้วจะมาตื๊อให้ฉันดูทำไมล่ะ” คราวนี้เป็นจีฮุนที่ทำหน้างอนบ้าง พวงแก้มใสทั้งสองพองลมออกมามือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเท้าสะเอวไว้ ส่วนอีกข้างกำลังชี้ไปที่เด็กหนุ่มผมสีสว่าง แต่ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนกำลังงอนอยู่ ไม่บ่อยครั้งนัก แล้วก็มีไม่กี่คนหรอกที่คนอย่างจีฮุนจะง้องแง้งและทำตัวแง่งอนใส่แบบนี้
“อย่าโมโหสิ นายไม่เข้าใจอีกเหรอเนี่ย”ซูนยองยื่นทั้งสองมือมาหยิกแก้มแรงๆ
“นายหักโหมตัวเองเพื่อพวกเรามากเกินไปแล้ว นายควรพักผ่อนบ้าง พวกเราทุกคนอยากเป็นห่วงนายมาก โดยเฉพาะฉัน” ประโยคสุดท้ายทำเอาอวัยวะขนาดทำกำปั้นของจีฮุนทำงานอย่างหนัก จะห้ามไม่ให้เต้นแรงยังไงก็ไม่ได้ซูนยองที่มีแววตาจริงจังกำลังมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกคนเพื่อส่งความรู้สึกที่ปากของเขาไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ทั้งหมด
“รู้หรือเปล่าว่าถ้านายไม่ยอมนอนพักเลยโกรทฮอร์โมนจะไม่ทำงาน ตัวก็จะไม่สูง ฉันทนเห็นเจ้าหนูชานตัวสูงกว่าคนเป็นพี่ไม่ได้หรอก” แต่ประโยคต่อมาก็แทบจะทำให้จีฮุนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แทน เล่นจี้ใจดำกันขนาดนี้
“ปากแบบนี้น่าตีสักที” จีฮุนแหวออกมาเสียงดัง
ไม่ว่าเปล่าคนตัวสูงกว่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จีฮุนหลับตาลงรอรับสัมผัสจากคนตรงหน้าโดยไม่ขัดขืน แต่ทว่า
“โดนหลอกอีกแล้ว ล้อเล่นน่า” จีฮุนลืมตามองคนตรงหน้าที่กำลังยิ้มออกมาเหมือนทุกครั้งเวลาที่แกล้งเขาได้ เจ้าของดวงตาที่เหมือนกับพระจันทร์เสี้ยวคู่นั้นที่คอยส่งความรู้สึกต่างๆมาให้ตลอดหลายปีตั้งแต่เป็นเด็กฝึกหัดที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เดบิวต์เมื่อไหร่ ซูนยองคนที่เป็นเหมือนเพื่อน เหมือนครอบครัว และเป็นเหมือนบ้านของเขา
“ขอบใจนะซูนยอง” จีฮุนกล่าวออกมาจากใจจริงก่อนจะยิ้มออกมาให้อีกคน ที่ดูเหมือนว่ายังตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทันหน้าตาตื่นๆ ของอีกคนเรียกเสียงหัวเราะคิก จากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดี
“เดี๋ยวนะๆ เมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้นฉันตามไม่ทันเลย...ขออีกทีได้ไหมอ่า” รอยยิ้มร้ายกลับมาบนใบหน้าของซูนยองอีกครั้ง คราวนี้จีฮุนใช้มือหยิกลงไปที่แขนของคนไม่รู้จักพออย่างแรงจนส่งเสียงร้องโอดโอยออกมาลั่น
“โอ๊ยยยย เจ็บนะตัวเอง เวลาเขินก็ชอบทำร้ายคนอื่นแบบนี้ตลอดอ่ะ” จีฮุนยกยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจแต่ก็ไม่วายโดนเด็กหนุ่มผมบลอนด์คนเดิมช่วงชิงความหอมจากพวงแก้มไปอีกตอนเขาเผลอ
“ย่าห์ ได้คืบจะเอาศอกเลยนะควอนซูนยอง!!” แต่ก่อนที่จีฮุนจะกระหน่ำตีไปที่อีกคนที่ทำหน้าตาทะเล้นใส่ ก็มีเสียงดังมากจากหมู่คนขีดเส้นใต้ตัวหนาๆ ว่าหมู่คน ประมาณสักสิบเอ็ดคนได้ เสียงจ้อกแจ้กนั่นดังมาจากประตูห้องซ้อม
“วี๊ดวิ้วๆๆๆ โหยอะไรกันเนี่ยสองคนนี้ เมื่อคืนยังสวีทกันไม่พออีกเหรอจ๊ะ” เสียงแหบห้าวแบบนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากซึงชอล หัวหน้าวงตัวดี
“ต่อไปนี้พี่ซูนยองไปนอนกับผมไม่ได้แล้วนะเดี๋ยวผมโดนฆ่าหมกห้องน้ำ อิอิอิอิอิอิอิ” เสียงกวนโสตประสาทแบบนี้ แน่นอนต้องดังมาจากซอกมินที่กำลังประสานเสียงกับซึงกวานอย่างออกรส
“เมื่อคืนเห็นนะ ตอนพวกเรากลับมาจากซ้อม นอนกอดกันกลมบนโซฟาห้องนั่งเล่น พระเจ้า ผมจะเป็นคนแรกที่ร้อง อี๋ยยยยยยยยยยยยย์” ฮันโซล ผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงเอามือปิดหน้าตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะยังเห็นดวงตากลมโตใสๆ คู่นั้นจ้องแป๋วอยู่
"Sunday morning, rain is falling...Steal some covers, share some skin..." จีซูกับจองฮันก็ไม่วาย ร้องเพลงแซวขึ้นมาจนคนตัวเล็กหน้าขึ้นสีระเรื่อ
“งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้ผมคนนี้นะพี่นะ หัวแหลมสุดอะไรสุด” เด็กแสบตัวต้นเรื่องพูดขึ้น
แต่สมาชิกกว่าสิบคนที่ยืนออกันอยู่หน้าประตูห้องซ้อมก็ต้องกระเด็นเข้ามาในห้อง พร้อมกับความวุ่นวายโหวกเหวกยกใหญ่ เพราะเด็กหนุ่มที่พ่วงตำแหน่งตัวสูงที่สุดในวงอย่างมินกยู ดันไปยืนอยู่ข้างหลังสุดแถมยังไม่ได้ยินว่าพูดอะไรกัน เลยเบียดเข้ามา ผลก็คือความโกลาหลแบบที่เห็นตรงหน้า จนจีฮุนกับซูนยองได้แต่ยืนหัวเราะกันงอหาย
นี่แหละคือครอบครัวของเขา ครอบครัวที่ประกอบไปด้วยคนนับสิบที่ต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง อาจจะไม่ได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ก็เป็นครอบครัวท่ี่ดีที่สุดที่เขาจะมีได้ เพราะการมีกันละกันแบบนี้ ทำให้ทุกคนได้เติมส่วนที่ขาดหายร่วมกันกับคนอื่นในวง และสามารถทำให้พวกเขาเป็นครอบครัวที่เป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด โดยไม่เสียความตั้งใจแรกและความฝันของเขาไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ
Fin ❤
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in