เพลโต นักปรัชญากรีกผู้มีอิทธิพลอย่างมากต่อปรัชญาตะวันตกจนถึงปัจจุบัน เคยกล่าวถึงทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับโลกอีกใบโลกที่มีความสมบูรณ์แบบและเป็นแม่พิมพ์ของโลกที่มนุษยชาติกำลังอาศัยอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้ว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถค้นพบดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้เท่ากับโลกใบนี้ก็ตาม แต่แนวคิดของเพลโตเชื่อว่ายังมีโลกอีกโลกหนึ่งที่อยู่เหนือจากโลกมนุษย์ของเราขึ้นไป โลกที่เปรียบเสมือนกับโอเอซิสสีน้ำเงินท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิด โลกแห่งสัจจะแท้ที่ไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นนิรันดร์
World of forms
ผู้คนทุกเพศ ทุกวัยในหลากหลายอาชีพต่างเบียดเสียดกันออกมาจากขบวนรถไฟฟ้าใต้ดินที่แน่นขนัดในช่วงเวลาวุ่นวายที่สุดของวัน ถึงแม้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ทุกชีวิตยังคงเดินทางออกจากบ้านเพื่อทำภารกิจของตัวเองกันตลอดเวลา ไม่ต่างจากวันเรียนหรือวันทำงาน ทุกฝีเท้าก็ต่างก้าวให้ยาวและเร็วขึ้น เพื่อจะได้ถึงที่หมายของตนเอง บ้างก็กระชับเสื้อกันหนาวตัวหนาให้ร่างกายอุ่นขึ้นเมื่อต้องเดินออกไปปะทะกับลมหนาวภายนอก บ้างก็กำลังคุยโทรศัพท์อย่างออกรส แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนต่างจดจ่ออยู่กับหน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเอง พลางเร่งเดินโดยไม่สนใจคนรอบข้าง ต่างคนต่างมีกริยาท่าทางของตัวเองท่ามกลางบรรยากาศอันแสนวุ่นวายของเมืองใหญ่
มีก็แต่เพียงเด็กหนุ่มในชุดคลุมยาวสีดำดูแปลกตากำลังยืนตระหง่านกลางฝูงชนที่เดินขวักไขว่ หากคนที่เดินผ่านไปมาอย่างรีบเร่งหยุดเพื่อสังเกตสิ่งรอบข้างซักครู่ จะพบว่าใบหน้าคมของเขาคนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ เสื้อสีขาวพร้อมเนคไทสีดำที่สวมใส่อยู่ด้านในยับย่น เหมือนคนที่เพิ่งผ่านการต่อสู้มา ดวงตาคู่นั้นดูสับสนและเลื่อนลอย ราวกับกำลังเฝ้ามองหาใครซักคนที่จะช่วยนำทางให้เขาออกไปจากวังวนของคลื่นมนุษย์ตรงนี้เสียที
ใครซักคนที่เขากำลังตามหา
อีกด้านหนึ่ง เด็กนักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายก้าวเดินออกมาจากขบวนรถที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารจนแทบไม่หลงเหลืออากาศให้หายใจ หลังจากการเรียนพิเศษที่แสนจะหนักหน่วงและงานชมรมที่โรงเรียน ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาทันทีที่ตัวเขาได้รับกลิ่นอายของอิสรภาพอีกครั้ง พลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่ชี้บอกเวลาเย็นมากแล้ว ทำให้ขายาวรีบก้าวเดินไหลไปตามผู้คน นับเป็นการเดินทางที่ทรหดทุกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าวิธีชีวิตคนเมืองบีบบังคับทางอ้อมทำให้เขาต้องปรับตัวให้ได้
จนกระทั่งเขาได้เดินผ่านหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยืนหันหลังให้ ทั้งๆที่ทุกคนต่างรีบเดินกันให้วุ่น เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองคนแปลกประหลาดคนนั้นก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าตามคนอื่นไป แต่ตัวเองก็สังเกตและรู้สึกได้ว่าคนๆนั้นท่าทางไม่สู้ดีเอาเสียเลย
บางที เขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่านะ
เด็กหนุ่มนึกในใจ ก่อนจะส่ายหัวไล่ความคิดนั้นออกไป แต่เพราะอะไรบางอย่าง ทำให้เขาอดหันกลับไปมองด้วยความเป็นห่วงปนรู้สึกผิด ทั้งๆที่รู้ว่ามีคนกำลังต้องการความช่วยเหลือ แต่ตัวเองไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ตอนนี้คงสายเกินไปแล้วที่เขาหันหลังกลับและเดินแหวกฝูงชนจำนวนมหาศาลเพื่อไปหยิบยื่นความช่วยเหลือ
เพี้ยงเสี้ยววินาทีที่เขาได้สบตากับสายตาของเด็กหนุ่มมัธยมปลายคนหนึ่ง ดวงตาที่เคยสิ้นหวังของเด็กหนุ่มท่าทางอิดโรย กลับเปล่งประกายแวบวับออกมาอีกครั้งด้วยความดีใจรอยยิ้มกว้างผุดขึ้นมาและละทิ้งความเจ็บปวดทางร่างกายไว้เบื้องหลัง
“องค์ชายมินฮยอน...”
หลังจากหันหลังกลับไปมองเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนคนหลงทางนั่นแล้ว เขาเองก็หวังว่าจะมีเจ้าหน้าที่หรือพลเมืองดีเข้าไปช่วย
ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินใครบางคนเรียกชื่อของเขาจากด้านหลัง
แต่เป็นสรรพนามที่แปลกไป
“องค์ชายมินฮยอน!”
คนถูกเรียกหันกลับไปทางต้นเสียง ก่อนจะได้รับรู้สิ่งอื่นใด เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ก็วิ่งเข้ามาคว้าตัวของเขาไปกอดเต็มแรงเกิดเป็นความชุลมุนย่อมๆ ตามมาด้วยสายตาที่งุนงงและเสียงอื้ออึงของทุกคนในบริเวณนั้น
“ในที่สุดก็ได้เจอองค์ชายแล้ว...” เด็กหนุ่มแปลกหน้าที่มาพร้อมกับพฤติกรรมที่แปลกกว่ากระซิบที่ข้างหูเขาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะทิ้งน้ำหนักร่างกายทั้งหมดไว้ที่ไหล่กว้างของอีกคน พร้อมกับหมดสติไป
“เฮ้ย นี่มันอะไรกันเนี่ย” ตอนนี้สมองของมินฮยอนไม่สามารถคิดอะไรอย่างอื่นได้แล้วนอกจากการพาร่างไร้สติออกไปจากที่นี่โดยด่วนเป็นอย่างแรก เขาค่อยๆพยุงร่างของใครก็ตามที่เขาไม่รู้จักมาก่อน แต่ดันเรียกชื่อเขาได้ถูกขึ้นรถกลับหอด้วยการเรียกใช้บริการแท็กซี่แทนการขึ้นรถประจำทางที่ราคาถูกกว่าเท่าตัว
ขณะอยู่บนรถ สมองของมินฮยอนยังคงประมวลผลไม่หยุดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาเป็นใคร มาจากไหนแล้วรู้จักชื่อของเขาได้อย่างไร แถมมีการเรียกสรรพนามว่าองค์ชายอีก นี่ไม่ใช่รายการซ่อนกล้องหรือว่ามีโรคจิตมาแอบติดตามเขาอยู่ใช่ไหม
แต่ความเคลือบแคลงทุกอย่างก็หยุดลง เมื่อเขาได้เห็นถึงรอยฟกช้ำมากมายตามใบหน้าอีกคนที่กำลังผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ ใครกันที่ใจร้าย กล้าทำกับคนๆนี้ได้ลงคอ มินฮยอนเอื้อมไปจับแขนของอีกคนขึ้นมาให้อยู่ในท่านอนที่สบายขึ้น แขนเสื้อที่เลิกขึ้นมาเล็กน้อยเผยให้เห็นถึงบาดแผลมากมายภายใต้เสื้อคลุมยาวสีดำ
จิตใต้สำนึกของความโอบอ้อมอารีและมีเมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ที่ครอบครัวเขาได้บ่มเพาะมาโดยตลอดเริ่มทำงาน คนอย่างเขาทนเห็นคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือด้วยสายตาที่เฉยชาและละเลยไปไม่ได้ มินฮยอนทำไม่ลง โลกนี้ยังต้องการความรักที่เพื่อนมนุษย์ควรมีให้กัน มินฮยอนเชื่อมั่นอย่างนั้น
แต่มินฮยอนเริ่มไม่แน่ใจว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่วันนี้รูมเมทของเขาอย่างคัง ดงโฮไม่ได้กลับมานอนที่ห้อง เพราะต้องอยู่ซ้อมกีฬา อาจจะดีในแง่ที่ว่าเขาไม่ต้องมานั่งตอบคำถามจากเจ้าหนู
จำไมเกี่ยวกับคนแปลกหน้าคนนี้ที่มินฮยอนกำลังพาเข้าห้องของตัวเอง แต่มินฮยอนก็พบว่าเจ้าคนตัวเล็กที่กำลังแบกขึ้นหลังอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่งานง่ายเหมือนที่คาดเดาไว้เลย
หลังจากทุลักทุเลกับการพาร่างที่หนักอึ้งเกินจริงของอีกคนลักลอบเข้ามาในห้องได้สำเร็จโดยที่ไม่มีใครสังเกต โซฟาตัวโปรดก็ได้กลายเป็นที่พักชั่วคราวของผู้มาใหม่ไปเสียแล้ว เจ้าของห้องถอดเสื้อโค้ทตัวยาวของอีกคนออกซึ่งภาพที่เห็นก็ยิ่งทำให้เขาต้องจัดการทำแผลให้โดยเร็ว ก่อนจะรีบจัดการวางกระเป๋าเป้ที่เต็มไปด้วยหนังสือวิทยาศาสตร์เล่มหนามากมายโดยเฉพาะหนังสือดาราศาสตร์และข้าวของอื่นๆของตัวเองลง พลางเหลือบมองร่างเล็กที่กำลังนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนโซฟาแล้วก็อดคิดไม่ได้ถึงสิ่งที่อีกคนเรียกเขา
“บางที เจ้านี่อาจจะสายตายาวจนเห็นป้ายชื่อของฉันเหรอแต่ป้ายชื่อเขียนแค่ ‘ฮวัง มินฮยอน’ เฉยๆนี่ไม่ได้มีคำว่าเจ้าชายหรือองค์ชายอะไรซักหน่อยนี่นา”
ดวงตาของเด็กหนุ่มลึกลับค่อยๆปรือขึ้นมา ก่อนจะรีบลุกขึ้นมาในท่าป้องกันตัว พลางมองไปรอบๆห้องที่ไม่คุ้นเคย...แต่ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากนัก เขาลดมีดสั้นในมือของตัวเองลง สายตาที่ดุร้ายเมื่อครู่ด้วยสัญชาติญาณป้องกันตัวกลับอ่อนโยนขึ้น เพราะห้องที่เขากำลังอยู่เต็มไปด้วยหนังสือและรูปภาพเกี่ยวกับดวงดาวอวกาศรวมไปถึงมนุษย์ต่างดาวที่ตกแต่งอยู่ทุกบริเวณ เหล่านี้เป็นสิ่งที่องค์ชายของเขาให้ความสนใจที่สุด
ที่นี่เป็นที่ปลอดภัย เขารู้สึกได้
ผู้มาใหม่ตัดสินใจเดินสำรวจห้องที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตรงรี่ไปนอนยังโซฟาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เป็นของเด็กหนุ่มเจ้าของห้องซึ่งมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลและกะละมังใส่น้ำอุ่น ร่างสูงค่อยๆนั่งลงข้างโซฟาแล้วเริ่มการปฐมพยาบาล เขาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้กับอีกคนอย่างเบามือที่สุด เมื่อมินฮยอนลองสังเกตใบหน้าเด็กหนุ่มปริศนาตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์
ก็ค้นพบว่าใบหน้าของตัวเองดันร้อนขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ทราบสาเหตุ มันร้อนจนใกล้ระเบิดไปเหมือนกับการระเบิดของบิ๊กแบงที่เป็นจุดกำเนิดของการเกิดโลกทำให้มินฮยอนต้องกลั้นใจเช็ดให้เสร็จๆไปโดยเร็ว
มินฮยอนหันกลับไปชุบน้ำเพิ่ม แต่เมื่อหันกลับมาอีกทีก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อคนที่นอนหลับอยู่บนโซฟาตื่นขึ้นมาแล้ว ดวงตากลมโตรับกับเครื่องหน้าที่ดูดีขึ้นหลังจากได้ทำความสะอาดอยู่ใกล้เสียจนทั้งคู่สามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เบารดกัน ใบหน้าขาวขึ้นสีอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะพอวางสมมติฐานไว้ได้แล้วว่าคนตรงหน้าคงจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาบางอย่างในตัวเขาแน่นอน
“...ตกใจหมด” แต่อีกคนบนโซฟากลับฉีกยิ้มออกมา ก่อนจะก้มหน้างุดเพราะความเจ็บปวดจากบาดแผล
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับองค์รักษ์ที่ได้องค์ชายมินฮยอนมาปฐมพยาบาลให้” คนถูกเรียกชื่อด้วยศัพท์แสงแปลกๆราวกับหลุดมาจากละครย้อนยุครู้สึกสับสนมาก ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยที่จู่ๆเด็กนักเรียนมัธยมปลายปีสามธรรมดาอย่างเขาถูกเรียกว่าเป็นเจ้าชาย หรือว่าคนๆนี้จิตไม่สมประกอบโครโมโซมคู่ที่ยี่สิบเอ็ดขาดหายไปจนทำให้ร่างกายและสมองผิดปกติหรือเปล่านะ
“เลิกเรียกว่าองค์ชายเถอะ พูดแบบปกติธรรมดาก็ได้” ทันทีที่บุรุษพยาบาลจำเป็นกำลังเตรียมสำลีชุบยาแดงให้อยู่พูดประโยคนี้ออกมา
ประโยคที่ให้เรียกแค่ชื่อ แทนที่จะเรียกว่าองค์ชายมินฮยอนแบบที่เขาพูดไปเมื่อครู่และการที่ให้องค์รักษ์ที่เป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็กๆพูดกันแบบปกติเหมือนมีภาพซ้อนทับของเจ้าของคำพูดนี้ คนที่หน้าตาท่าทางรวมไปถึงอุปนิสัยเหมือนกับคนตรงหน้ามาก จนดูราวกับว่าเป็นคนเดียวกัน
“ขอโทษนะ ฉันไม่เคยรู้จักนายมาก่อนจริงๆ”
“เกิดอะไรขึ้น องค์ชายมินฮยอนอยู่ที่ไหนล่ะ ที่นี่ที่ไหนกัน”ท่าทางร้อนรนและแววตาสั่นระริกของอีกคน ทำให้มินฮยอนกับเสียใจที่พูดออกไปแบบนั้นแต่ด้วยความสัตย์จริง เขาไม่รู้จักกับเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนี้จริงๆ ไม่มีแม้แต่เห็นหน้ามาก่อนด้วยซ้ำ
“ฉันชื่อว่าฮวัง มินฮยอนเป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาและไม่ได้เป็นเจ้าชายด้วยเอ่อ...ตอนนี้เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 บนดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่เรียกว่าโลกดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่สามเป็นดาวเคราะห์หินขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาลทางช้างเผือกชัดเจนแจ่มแจ้งไหม” หน้าตาน่ารักสำหรับมินฮยอนของคู่สนทนาตรงหน้าซีดเผือดราวกับได้ยินว่าโลกถูกลดอันดับเป็นเพียงดาวเคราะห์แคระเหมือนดาวพลูโตก็ไม่ปาน
“เป็นไปไม่ได้...” สมองที่เหนื่อยล้าจากการเหตุการณ์ทั้งหมดกำลังประมวลผลอย่างหนัก นี่อาจจะเป็นเพราะกับดักที่ฝ่ายตรงข้ามสร้างไว้ตอนต่อสู้กัน ทำให้ตัวเขามาปรากฏตัวบนโลกที่อยู่เบื้องล่างโลกที่มีทุกอย่างเหมือนกับโลกที่เขาอยู่อย่างกับแกะ เพียงแต่ทุกอย่างมีที่ทางและความเป็นไปที่แตกต่างกันอย่างที่ควรจะเป็นบนโลกแต่ละใบ
ไวเท่าความคิดเด็กหนุ่มปริศนารีบลุกขึ้นมาทันทีเพื่อออกตามหาองค์ชายของตน แต่มือของเจ้าของห้องกลับคว้าเพื่อฉุดให้นั่งลงเหมือนเดิมอย่างง่ายดาย
“นี่ สมองกระทบกระเทือนหรือเปล่า ทำไมจะเป็นไปไม่ได้เพราะวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันได้ว่าโลกเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่นายกับฉันก็คนเหมือนกันก็ถูกแล้วนี่” มินฮยอนบรรจงเช็ดแผลบนใบหน้าอีกคนที่ทำหน้าเหยเกทุกครั้งที่บาดแผลสัมผัสกับตัวยาบนสำลี
“ฉันต้องกลับไปเดี๋ยวนี้ องค์ชายกำลังอยู่ในอันตราย” น้ำเสียงจริงจังที่ทำเอาคนปฐมพยาบาลจำเป็นนิ่งไปครู่นึง ก่อนจะเอ่ยปากถามคำถามที่ตนเองกังขามากที่สุดตั้งแต่ยังเดินตั้งไข่
“หรือว่า...นายมาจากดาวดวงอื่นที่ไม่ใช่โลก”
คนถูกถามพยักหน้าเบาๆ แววตาแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต้องกลับไปปกป้องอีกคนในอีกโลกหนึ่งที่มีหน้าตาและลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกับคนตรงหน้าบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้มากๆ
“ฉันมีชื่อว่า ‘เจอาร์’ องค์รักษ์ประจำตัวองค์ชายมินฮยอน รัชทายาทแห่งโลกของแบบ”
‘โลกของแบบ’ โลกสมมติที่นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงแนวคิดของนักปรัชญากรีกที่เก่าโพ้นสมัยซึ่งเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกเกิดจากแม่พิมพ์จากโลกของแบบที่เป็นเสมือนต้นกำเนิดให้กับทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้
แนวคิดนี้กลายเป็นแค่อุดมคติเช่นเดียวกับวัลแคน (Vulcan) ชื่อดาวเคราะห์ในจินตนาการที่เชื่อว่าเป็นบริวารดวงหนึ่งของดาวอาทิตย์มีวงโคจรอยู่ภายในวงโคจรของดาวพุธ ทฤษฎีดาววัลแคนนี้เคยเชื่อกันมากในช่วงศตวรรษที่ 19 แต่ในปัจจุบันเชื่อว่าไม่มีแล้ว
นี่มินฮยอนกำลังประจันหน้ากับคนสติไม่สมประกอบเหมือนที่บางคนชอบอ้างว่าตัวเองถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป หรือไม่ก็พูดเป็นตุเป็นตะว่ามาจากโลกอนาคต ทั้งหมดนี้ไร้สาระสิ้นดีในความคิด
ของมินฮยอนที่ถูกหล่อหลอมด้วยวิทยาศาสตร์มาตลอดชีวิต ดูเหมือนว่าเรื่องของหุ่นยนต์จักรกลอัจฉริยะในภาพยนตร์ไซไฟที่เขาชื่นชอบยังจะดูเป็นเรื่องจริงที่น่าเชื่อถือได้และกำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันมากกว่าเรื่องโลกของแบบอะไรนั่นซะอีก
“นายจะบอกว่านายมาจากที่นั่นสินะ”
เขาพยายามกลั้นหัวเราะจนหน้าขึ้นสีเรื่อ เจอาร์เห็นท่าทางประหลาดของอีกคนก็เลิกคิ้วขึ้นสูงจนในที่สุดมินฮยอนก็สามารถควบคุมตัวเองได้
“ถ้าฉันจะบอกว่าไม่เชื่อล่ะ อย่ามาหลอกกันซะให้ยาก”
แววตาท้าทายของมินฮยอน ดวงตาคู่เดียวกันกับองค์ชายของเขา ทำให้เจอาร์ต้องเลือกทำสิ่งที่ตัวเองใช้ปราบองค์ชายให้ลดความดื้อดึง
เจอาร์ค่อยๆคืบคลานเข้ามาประชิดเรื่อยๆ พร้อมกับแววตาเจ้าเล่ห์ที่คาดเดาอะไรไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขาเอื้อมมือมาจับบ่าของมินฮยอนเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน มินฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะระเบิดอีกครั้งเมื่อโสตสัมผัสรับรู้ได้ถึงเสียงกระซิบข้างหู
“นายกำลังจะว่าฉันบ้าใช่ไหมล่ะ เอ...แล้วต้องทำยังไงนายถึงจะเชื่อดีนะ...”
ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันเรื่อยๆ จนซอกมินฮยอนคนหัวแข็งเป็นฝ่ายยอมแพ้เขารีบผละออกจากแรงดึงดูดของคนตรงหน้า พร้อมกับความร้อนผ่าวบนใบหน้าความร้อนที่คาดว่ามีอุณหภูมิสูงถึงหลายร้อยล้านองศาเซลเซียส เช่นเดียวกับเปลวของแฟลร์ (Flare) ที่เป็นปรากฏการณ์บนผิวของดวงอาทิตย์
ให้ตายเถอะ นี่มันไม่ใช่วิธีขู่ให้คนกลัวหรอก มันเป็นการออดอ้อนในสายตาของมินฮยอนมากกว่า แล้วมันก็ทำให้มินฮยอนต้องยอมนั่งฟังต่อแต่โดยดี
“ฉันยอมแพ้ แต่...อย่าหวังว่าฉันจะเชื่อนายนะวิทยาศาสตร์เท่านั้นคือสิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุด”
“วิธีนี้ไม่ว่าใช้กับมินฮยอนคนไหนก็ได้ผล!”
“ทำคุณบูชาโทษที่สุดเลยจริงๆ” มินฮยอนพูดพลางหยิบเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายเปลี่ยนเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเป็นแบบนี้ แค่นั่งคุยกันเฉยๆ ทำไมมินฮยอนถึงรู้สึกเหนื่อยได้ขนาดนี้ หรือเป็นเพราะสายตาจากดวงตากลมโตคู่นั้น ไหนจะรอยยิ้มหวานที่ยังคงส่งมาให้เขาตลอด รอยยิ้มที่สว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงดาวที่สว่างที่สุดอย่างดาวอีตากระดูกงูเรือ(Eta Carina) ที่อยู่ห่างจากโลกไป 6,400 ปีแสงเสียอีก
แต่รอยยิ้มของเจอาร์ก็ปรากฏได้ไม่นาน เพราะเขารู้ดีว่าหน้าที่เขากำลังบกพร่องในหน้าที่
องค์ชายมินฮยอนตัวจริงกำลังรอคอยการกลับไปของเขาอยู่บนโลกข้างบน เขาจะต้องหาทางกลับขึ้นไปปกป้ององค์ชายให้เร็วที่สุด ทันทีที่ร่างกายของเขาพร้อม
“...อย่าเป็นอะไรนะ”
เสียงก๊อกแก๊กดังมาจากห้องครัวพร้อมกลิ่นหอมของอาหารมื้อเย็นที่เจ้าของห้องกำลังเตรียมหลังจากเปิดศึกทางอุดมการณ์ย่อมๆกับผู้มาใหม่ที่บอกว่ามาจากอีกโลกหนึ่ง มินฮยอนในชุดผ้ากันเปื้อนสีเหลืองง่วนอยู่กับของหน้าเตาข้าวต้มแบบง่ายๆ แต่อร่อยเทียบชั้นระดับภัตตาคารหรู สูตรที่แม่เขาถ่ายทอดมาที่เขามักจะทำเวลาอากาศหนาว หรือเมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสบาย ที่ตอนนี้ค่อยๆเดือดอยู่ในหม้อขนาดกลาง
แต่นี่ดูจะเป็นการทำอาหารที่มินฮยอนรู้สึกสูญเสียสมาธิไปมากที่สุด ยิ่งกว่าตอนทำอาหารไป ติวสอบวิชาดาราศาสตร์ให้กับดงโฮไปเสียอีก ใบหน้าของมินฮยอนรู้สึกร้อนผ่าวแปลกๆแทบจะทุกครั้งเวลาที่หันไปสบตาเจ้าคนตัวเล็กที่แอบยืนมองดูเขาอยู่เงียบๆด้วยรอยยิ้มบางในชุดนอนตัวเก่งที่เขาหวงแหนเท่าชีวิต ชุดนอนลายออฟติมัส ไพร์มที่เจอาร์ใส่ได้เกือบพอจะดีถ้าไม่ติดที่ขากางเกงลงไปกองอยู่นิดหน่อยกับช่วงไหล่ที่ตกลงไปพอสมควร ถ้าไม่ใช่ว่ามินฮยอนกำลังจะเป็นหวัดเพราะอ่านหนังสือจนไม่ได้นอนมาหลายคืน บางทีอาจจะเป็นเพราะความร้อนจากเตาแก๊สที่ถ่ายเทมาสู่ใบหน้าของเขาก็เป็นได้
“เอ่อ...ฉันจะมาขอบคุณนายที่ช่วยฉันเอาไว้ ก่อนที่จะหาทางกลับขึ้นไปบนโลกของฉัน” เจอาร์พูดขึ้นหลังจากเงียบไปสักพัก
“หมายความว่าไง จะกลับไปบนโลกของนายตอนนี้เนี่ยนะ” มินฮยอนวางทัพพีลง พร้อมกับหันไปประจันหน้ากับอีกคน
“ฉันจะต้องกลับไปทำหน้าที่ของฉัน ปกป้ององค์ชายให้เร็วที่สุด”
“นายนี่เก่งแต่เรื่องบู๊สินะ อย่าใช้แต่กำลัง ลองคิดให้ดีร่างกายไม่พร้อมแบบนี้อย่าว่าแต่จะไปปกป้องใครเลย ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ค่อยจะไหวทบทวนดูสิจะให้ใครปกป้องใครกันแน่” มินฮยอนเริ่มร่ายยาวพร้อมอ้างอิงทั้งหลักเหตุและผลรวมไปถึงความน่าจะเป็นต่างๆที่จะเกิดขึ้นต่อการตัดสินใจแต่ละแบบของเจอาร์
“แต่...” เจอาร์ยังคงพยายามเถียง ทั้งๆที่ในใจรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่เคยชนะ ไม่ว่าจะเป็น
องค์ชายมินฮยอนในโลกไหนก็ตาม ในครั้งนี้ก็เหมือนกัน
“ไม่มีคำว่าแต่ กว่าร่างกายนายจะฟื้นตัวมากกว่านี้ นายต้องกินต้องพักเอาแรง ไม่อย่างนั้นต่อให้นายกลับไปได้ในตอนนี้ ใจนายสู้แต่ร่างกายไม่ตอบสนองแล้ว ทุกอย่างไม่ยิ่งแย่ไปมากกว่านี้เหรอ” มินฮยอนเชื่อว่าตัวเขาอีกคนบนโลกอื่น คงเอาตัวรอดได้สบายอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
“ที่นายพูดก็มีเหตุผล” แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกมาอีกร่างกายที่ตรากตรำของเขาก็ส่งเสียงคำรามออกมา
จ๊อกกกกกก
“ร่างกายนายกำลังสนับสนุนความคิดของฉันนะ เติมพลังก่อนแล้วค่อยกับไปตะลุมบอนกับพวกนั้นบนโลกของนายให้สิ้นซากไป” เจอาร์พยักหน้าน้อยๆพร้อมกับยู่ปากเหมือนเด็กออกมาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะเอามือเกาผมยุ่งๆของตัวเองด้วยความเก้อเขิน
“องค์รักษ์โลกของแบบต้องน่ารักขนาดนี้เลยเหรอ” มินฮยอนรีบหันไปง่วนอยู่กับอาหารตรงเตาทันทีที่เห็นท่าทางน่ารักของอีกคน
องค์ชายมินฮยอนนี่โชคดีจังเลยนะ
“นายว่าไงนะ”
“อ๋อ แค่บอกว่าถ้าขึ้นไปบนโลกของนายด้วยชุดนอนแบบนี้ คงไม่ค่อยสะดวกที่จะสู้เท่าไหร่มั้ง” มินฮยอนพูดยิ้มๆ ก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนของตัวเองออก พลางผงกหัวเป็นนัยว่าอาหารเย็นพร้อมรับประทานแล้ว
มื้ออาหารมื้อแรกบนโลกเบื้องล่างในชีวิตขององค์รักษ์ผ่านไปอาจเป็นเพราะความอร่อยและความหิวโหยที่เกิดขึ้น เจอาร์เจริญอาหารเป็นพิเศษชนิดที่ว่าเล่นเอาพ่อครัวถึงกับตะลึงปนกับพอใจในการตอบรับที่ดีของผู้อาศัยชั่วคราวคนนี้จนยิ้มออกมาไม่หุบ
หลังจากช่วยกันเก็บล้างทุกอย่างเรียบร้อย ถึงแม้มินฮยอนจะพยายามห้ามไม่ให้อีกคนช่วยเนื่องจากสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย แต่ด้วยจิตอาสาอย่างแรงกล้าของเจอาร์ที่อยากจะช่วยตอบแทนบุญคุณที่อุตส่าห์ช่วยชีวิตของตนไว้ มินฮยอนจึงได้แต่คอยมองอยู่ไม่ไกลสายตาตัวเอง
วันใหม่กำลังจะมาถึง แต่แสงไฟดวงน้อยจากโคมไฟที่ถูกเปิดทิ้งไว้ยังคงให้แสงสว่างเนื่องจากเจ้าของห้องกำลังนั่งอ่านหนังสือเรียนอย่างขะมักเขม้นบนโต๊ะอย่างที่ทำมาตลอดหลายปี มินฮยอนละสายตาจากสูตรคำนวณทางดาราศาสตร์ตรงหน้า เพื่อหันไปมองผู้อาศัยชั่วคราวที่ผล็อยหลับไปก่อนหน้านี้นานแล้วจากความเหนื่อยล้าที่ต้องเผชิญตลอดทั้งวัน เหตุผลหลักคงเป็นเพราะการเดินทางจากโลกหนึ่งสู่โลกอีกใบคงจะทำให้ปรับตัวยังไม่ได้ เช่นเดียวกับอาการเมาเวลาหรือเจ็ตแล็กที่มักเกิดขึ้นเวลาเดินทางข้ามเส้นเขตเวลาหรือในที่นี้อาจจะเป็น...มิติที่ต่างกันมาก
“เป็นไปได้เหรอที่จะมีโลกอีกใบ...ที่มีตัวฉันอีกคนบนนั้น” เสียงพึมพำแผ่วเบาจากริมฝีปากได้รูปเอ่ยขึ้นกับตัวเอง เขาไม่สามารถปักใจเชื่อสิ่งที่เจอาร์พูดมาทั้งหมดได้เลย
แต่ความคิดทุกอย่างก็ต้องหยุดลงเมื่อจู่ๆ ลมหายใจที่เคยสม่ำเสมอของเจอาร์ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างมากดทับเอาไว้คิ้วขมวดมุ่น ใบหน้าเริ่มแสดงอาการเจ็บปวดออกมาทีละน้อย
.
.
.
.
.
.
.
“เอสคุปส์ฝากจัดการที่เหลือด้วยนะ”
สิ้นเสียงกร้าวที่ออกคำสั่งให้กับมือขวาของตน องค์รักษ์ก็เร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์คันงามออกไปยังตรอกซอกซอยเล็กๆ เพื่อหลบหลีกการประทะและลดโอกาสที่จะทำให้องค์ชายของเขาที่ซ้อนอยู่ด้านหลังได้รับบาดเจ็บ ทุกอย่างเหมือนจะอยู่ในการควบคุมของเขาและลูกทีมที่เข้มแข็งจนกระทั่งเสียงดังสนั่นจากระเบิดดังขึ้นไล่หลังมาเป็นระยะๆ ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันทีเลยว่าเขาคิดผิด
พวกเขา...กำลังติดกับดัก
เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งตรงหน้า แรงระเบิดทำให้คนทั้งคู่กระเด็นออกจากรถ แต่อีกสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลมากไปกว่านั้น เมื่อระเบิดลูกนั้นคือฝุ่นควันสีแดงจางขนาดมหึมาล้อมรอบตัวเขาและองค์ชายแห่งโลกของแบบไว้ มันคือวัตถุต้องห้ามที่ใช้ได้แค่ในการขนย้ายสิ่งต่างๆที่เป็นแม่พิมพ์ของโลกนี้ส่งลงไปยังโลกมนุษย์เบื้องล่างเท่านั้น
“องค์ชายมินฮยอนหนีไป มันคือชาดย้ายมวลสาร” สีของพายุควันเริ่มทวีความเข้มขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่นะเจอาร์!” สิ้นเสียงขององค์ชาย เอสคุปส์ก็พยายามฝ่ากลุ่มควันมรณะเข้ามาช่วยออกไปทว่าสามารถช่วยออกไปได้แค่เพียงคนเดียว ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เจอาร์ต้องการมาตลอดในการทำหน้าที่ของเขาไม่ว่าจะเวลาไหน เมื่อไหร่ องค์ชายมินฮยอนต้องมาก่อนเสมอ
“ปลอดภัยแล้วนะครับองค์ชาย”
กลุ่มควันสีแดงฉานโอบล้อมตัวของเขาไว้ก่อนจะหายวับไปต่อหน้าต่อตาทุกคนบริเวณนั้น เสียงหวีดร้องอย่างเจ็บปวดขององค์ชายที่พยายามสะบัดหนีจากองค์รักษ์คนอื่นๆเพื่อวิ่งเข้ามาหาเขายังคงดังสะท้อนอยู่ในความทรงจำของเจอาร์อย่างชัดเจน
“เจอาร์!!!”
.
.
.
.
.
.
.
“เจอาร์!!” มินฮยอนรีบผละออกจากโต๊ะหนังสือเพื่อลงมาดูอาการของเจอาร์ที่เหมือนคนกำลังฝันร้าย
เขาค่อยๆเขย่าไหล่ของอีกคนเพื่อเรียกสติ แต่ไม่เป็นผล จนกระทั่งมินฮยอนต้องตัดสินใจโน้มตัวลงไปโอบกอดอีกคนอย่างอ่อนโยน เหมือนที่แม่ของเขาทำทุกครั้งเวลาที่เขาทุกข์ใจจนเก็บเอาไปฝันร้าย จนกระทั่งทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ ดวงตาขององค์รักษ์หนุ่มลืมขึ้นช้าๆในอ้อมกอดของอีกคน
“ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ฉันเชื่อว่าองค์ชายมินฮยอนจะต้องปลอดภัย”
นอกจากกอดของแม่แล้วก็ไม่มีใครที่มินฮยอนรู้สึกอบอุ่นได้ขนาดนี้ฝ่ามือของมินฮยอนค่อยๆลูบแผ่นหลังอย่างปลอบประโลม พร้อมกับบางสิ่งบางอย่างภายในร่างกายที่กำลังเต้นระรัวอยู่ที่อกด้านซ้ายราวกับว่าอะดรีนาลีนในร่างกายของเขาหลั่งออกมาอย่างท่วมท้น มินฮยอนเริ่มหายใจหอบทันทีที่ตระหนักได้ว่า
อะดรีนาลีน เป็นฮอร์โมนตัวแรกที่ทำงานทันทีที่สมองรับรู้ว่าเรากำลังตกหลุมรัก
“...ขอบใจนะ”
“ฉันก็แค่ทำแบบที่แม่ทำให้เท่านั้นเอง ...นายคงจะคิดถึงองค์ชายมินฮยอนมากเลยสินะ เขาคงสำคัญกับนายมาก”
“ใช่แล้วล่ะ...เป็นเพียงคนเดียวที่ฉันสามารถตายแทนได้” เจอาร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบทุกครั้งที่เขาเอ่ยถึงประโยคทำนองนี้ก่อนจะปรับน้ำเสียงเป็นปกติที่สุด แล้วกวักมือเรียกอีกคนมาดูอะไรบางอย่าง
“เอางี๊ ถ้านายยังไม่เชื่อเรื่องโลกที่ฉันอยู่ล่ะก็ฉันมีหลักฐานมาให้ดู คราวนี้นายเชื่อเรื่องโลกของแบบแน่ๆ” เจอาร์หยิบรูปขึ้นมาจากกระเป๋าชุดนอนของมินฮยอน เขาใส่อยู่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เขามักจะพกรูปนี้ไว้เสมอราวกับเป็นเครื่องรางสำคัญที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว มินฮยอนนั่งลงข้างๆแต่โดยดี ก่อนจะรับรูปมาพลิกดู
มินฮยอนสังเกตได้ถึงคนในรูปที่คาดว่าเป็นองค์ชายนั่งอยู่ข้างกันกับเจอาร์คนในรูป คนๆนั้นมีรูปร่างหน้าตา รวมไปถึงนิสัยเหมือนตัวเขามากตามคำบอกเล่าของเจอาร์ ทั้งคู่อยู่ในชุดนักเรียนที่เหมือนจะคล้ายกับโลกที่เขาอาศัย แต่แน่นอนแหละว่ามินฮยอนไม่เคยใส่เครื่องแบบนักเรียนแบบนี้ อีกทั้งเขาแน่ใจว่าไม่เคยเจอกับเจอาร์หรือคนหน้าเหมือนเจอาร์มาก่อนหน้านี้เลย ทั้งนี้รวมไปถึงไม่เคยถ่ายรูปกับคนที่มีหน้าตาคล้ายกับเจอาร์ด้วย
"รูปนี้เอสคุปส์ เพื่อนองค์รักษ์เหมือนกันเป็นคนถ่ายไว้ได้น่ะ ฉันชอบที่องค์ชายมินฮยอนในรูปดูอบอุ่นและดูสบายๆ ซึ่งมีให้เห็นได้ไม่บ่อยนักสำหรับคนที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท"
มินฮยอนเริ่มกระจ่างในข้อสงสัยเรื่องตัวตนของเขาอีกคนบนโลกที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้เบื้องบนโลกของแบบอาจจะมีจริงก็เป็นได้ ในขณะเดียวกันก็เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นกับตนเองตลอดเวลาที่อยู่กับเจอาร์ จากสายตาขององค์ชาย ตัวเขาอีกคนที่อยู่อีกโลกหนึ่ง
แค่เจอเจอาร์ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อหัวใจมินฮยอนได้ขนาดนี้ แล้วความรู้สึกขององค์ชายรัชทายาทที่มีให้กับเจอาร์จริงๆจะท่วมท้นขนาดไหนนะ มินฮยอนจะเอาหน่วยมาตราวัดไหนมาวัดความมหาศาลนั้นดี
“เป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย...”
“เปิดใจหน่อยสิบางทีวิทยาศาสตร์ไม่สามารถหาคำตอบให้นายได้หมดทุกเรื่องหรอกนะ หัดใช้ใจของนายสัมผัสบ้าง สัมผัสความหล่อของฉันสิ เท่กว่าองค์ชายมินฮยอนอีกใช่ไหมล่ะ” เจอาร์ทำหน้าตาทะเล้น
“ไม่มีทาง มินฮยอนในโลกไหนๆก็หล่อสุด” เจอาร์ยกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ ทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ทีนี้จะเพิ่มดาวเคราะห์ที่เหมือนกับโลกของนายลงบนระบบสุริยะจักรวาลของนายได้หรือยัง” เจอาร์ชี้ขึ้นไปบนเพดานห้องที่มินฮยอนเนรมิตให้เป็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ เมื่อไฟในห้องดวงสุดท้ายดับลง จักรวาลขนาดย่อมๆจะเปล่งแสงในตัวเองออกมากล่อมให้เขาเข้าสู่ห้วงนิทราในทุกคืน
“...ขอคิดดูก่อนดีกว่าเพราะฉันเป็นคนไม่ปักใจเชื่ออะไรง่ายดายนักหรอก” มินฮยอนกล่าวยิ้มๆทั้งที่ในใจตัวเองเริ่มเชื่อว่าสิ่งที่เจอาร์พูดเป็นเรื่องจริง แม้ว่ามันจะน่าเหลือเชื่อมากเกินไปก็ตาม
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องต่างๆของกันและกันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะล้มตัวลงนอนในที่ของตัวเองอีกครั้ง มินฮยอนนอนบนโซฟา เพื่อให้เจอาร์ได้นอนบนเตียงของตัวเอง แม้คนตัวเล็กจะคัดค้านเสียงแข็งในตอนแรกก็ตาม แต่ก็โดนมินฮยอนดุให้นอนบนเตียง เพื่อชาร์ตพละกำลังให้กลับมาเหมือนเดิมไวๆจากการนอนพักอย่างเต็มที่
สายตาของทั้งสองยังคงจับจ้องไปที่ดวงดาวต่างๆบนเพดานที่เรืองแสงอยู่ท่ามกลางความมืดไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนกระทั่งเจอาร์ได้กระซิบประโยคหนึ่งออกมาก่อนจะเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันท่ามกลางแสงดาวพร่างพราว
“ฉันจะรบกวนนายแค่วันนี้พรุ่งนี้ฉันจะต้องกลับไปยังที่ๆฉันจากมา...ขอบคุณมากนะมินฮยอน”
ร่างบนเตียงถูกปลุกขึ้นมาโดยแสงอาทิตย์อันอบอุ่นของเช้าวันใหม่ มินฮยอนตื่นขึ้นมาก็พบว่าอีกคนไม่อยู่เสียแล้ว แต่เสียงที่ดังออกมาจากครัวก็ทำให้เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที
“ตื่นเช้าจัง” มินฮยอนที่เดินขยี้ตาเข้ามาด้วยความงัวเงียทักทายอีกคนในชุดโค้ทสีดำยาวแบบเดิมกับที่พวกเขาได้เจอกันครั้งแรกกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ
“อรุณสวัสดิ์ ตอบแทนที่ช่วยฉันเอาไว้” เจอาร์หันหลังกลับมาพร้อมกับจานอาหารเช้าน่ารักในมือและรอยยิ้มสดใส รอยยิ้มที่ทำให้มินฮยอนสับสนในตัวเองเจอาร์อีกครั้งว่าทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์จอมบู๊ล้างผลาญจริงๆไหม เพราะทุกอย่างที่คนๆนี้เป็นขัดกับภาพลักษณ์ทุกอย่างขององค์รักษ์ที่มินฮยอนเข้าใจมาโดยตลอดยกเว้นก็แต่หัวใจที่กล้าแกร่งที่มีต่อองค์ชาย
องค์ชายมินฮยอนนี่น่าอิจฉาจริงๆ
“ขอบใจนะเจอาร์ เพราะนายฉันถึงเปิดใจให้กับหลายๆสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่ามันอาจจะดูไม่สมเหตุสมผลในทางวิทยาศาสตร์เท่าไหร่ แต่ฉันก็รู้สึกดีที่ได้พบเจอกับนายบนโลกใบนี้” เจอาร์ได้แต่ยิ้มออกมา เพราะยิ่งมองคนตรงหน้าก็ยิ่งเหมือนองค์ชายมินฮยอนที่เขารู้จักมาโดยตลอดมากขึ้นเท่านั้น
เป็นไปได้ที่ว่าความสัมพันธ์ของทุกสิ่งบนโลกของแบบสามารถส่งผลกระทบต่อโลกมนุษย์เบื้องล่างได้เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของเจอาร์และองค์ชายมินฮยอนบนโลกใบนั้น
เพียงแต่ว่ามินฮยอนยังหาเจอาร์บนโลกใบนี้ไม่เจอเท่านั้นเอง
ส่วนโอกาสที่จะได้เจอกันหรือไม่นั้นตัวเขาเองก็ไม่อาจตอบได้
ช่วงเวลาที่แสนเร่งด่วนของวันกำลังดำเนินไป สถานีรถไฟใต้ดินอันเป็นสถานที่หลักเพื่อหลีกเลี่ยงการคมนาคมที่แสนคับคั่งอัดแน่นไปด้วยผู้คนทุกเพศทุกวัยที่เบียดเสียดเข้าไปในตู้โดยสารของรถไฟแต่ละคันที่เข้ามาจอดเทียบชานชาลา เด็กหนุ่มนักเรียนมัธยมปลายพร้อมกับเด็กหนุ่มอีกคนวัยไล่เลี่ยกันในชุดที่แตกต่างกันออกไปกำลังเดินสวนทางกับคลื่นมนุษย์ที่หลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ
วิธีกลับไปยังโลกข้างบนที่เจอาร์บอกไว้เป็นวิธีของพวกพ่อค้าตลาดมืดหรืออาชญากรที่มักจะแอบหลบหนีลงมายังโลกมนุษย์เบื้องล่าง นั่นคือการไปปรากฏตัวอีกครั้งในที่ๆตัวเองมาถึงครั้งแรก ซึ่งต้องเป็นสถานที่ที่พลุกพล่าน วุ่นวายมากพอที่จะทำให้มิติของเวลาเกิดช่องโหว่จึงจะสามารถอาศัยช่วงเวลานั้นกลับขึ้นไปข้างบนได้โดยไม่ต้องอาศัยชาดย้ายมวลสารอันเป็นสิ่งของต้องห้ามบนโลกของแบบ
“ได้เวลากล่าวลากันแล้วนะ” เจอาร์รั้งมือของมินฮยอนเอาไว้ก่อนจะหันมาบอกลาอีกคนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะต้องกลับไปหาองค์ชายของตัวเองจริงๆ
“กลับไปอย่างปลอดภัย ปกป้องฉันอีกคนบนโลกใบนั้นให้ได้ ฉันเชื่อใจนายเจอาร์”
“เชื่อมือฉันเถอะ ขอให้นายได้เจอกับเจอาร์บนโลกของนายซักทีนะ” ประโยคสุดท้ายที่ทำให้มินฮยอนถึงกับกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ เป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถหาเหตุผลภายใต้ของรอยยิ้มตัวเอง แต่นั่นถือเป็นคำอวยพรที่เขาอยากได้มากที่สุดอย่างปฏิเสธไม่ได้
“หวังว่านายจะพาองค์ชายมินฮยอนมาหาฉันบ้างที่นี่นะ”
สิ้นประโยคสุดท้ายเป็นเวลาเดียวกันกับรถไฟใต้ดินเปิดประตูออกมาถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องจากกันไปใช้ชีวิตในโลกของตัวเอง เจอาร์ยิ้มให้กับมินฮยอนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ประตูรถไฟใต้ดินจะปิดลง ร่างขององค์รักษ์ก็หายไปก็ฝูงชนเบื้องหน้าเพื่อกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
เป็นอีกวันที่แสนคึกคักของโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ เพราะเป็นวันที่นักเรียนทุกคนจะต้องเลือกลงชมรมของตัวเองตามความสนใจหรือความถนัด ซุ้มของแต่ละชมรมถูกจัดอย่างวิจิตรพิสดารเพื่อเชื้อเชิญให้เพื่อนนักเรียนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชมรม เช่นเดียวกับชมรมดาราศาสตร์ของมินฮยอน นักเรียนระดับหัวกะทิของโรงเรียนที่ต้องแบกภาระอันหนักอึ้งในการดำรงตำแหน่งประธานชมรมไว้พร้อมกับสมาชิกชมรมที่แสนจะเพียบพร้อมจำนวนมาก
...เพียงสามคน
สมาชิกชมรมคนแรก คือ อารอน เด็กเนิร์ดที่มาแลกเปลี่ยนจากลอสแอนเจลิส ผู้สมัครเข้าชมรมด้วยเหตุผลที่อยากจะใช้เก็บลงพอร์ตโฟลิโอเวลาไปสมัครงานกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือองค์กรนาซ่าในอนาคต
อีกด้านหนึ่งของซุ้มที่เงียบเหงา ชเวมินกิ เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักประจำชมรมที่กำลังง่วนกับการเรียงลำดับดาวเคราะห์ มินกิเป็นคนประเภทที่ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ ถ้าไม่นับรวมนิสัยประหลาดสี่มิติที่ทำให้หลายๆคนไม่สามารถเข้าถึงตัวเขาได้ มินกิตัดสินใจเข้าชมรมเพราะอยากติดต่อกับยานแม่ เทอมที่แล้วเคยพยายามจะหนีไปอยู่ชมรมลี้ลับ แต่เมื่อตัวเองลองเข้ามาอยู่ชมรมนี้ดูก็เริ่มคิดว่าชมรมดาราศาสตร์ของมินฮยอนผู้น่าเชื่อถือมีแนวโน้มทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงได้มากกว่า เขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะย้ายชมรม
ถัดมาข้างๆกัน คิม มินกยู น้องเล็กสุดของชมรมดาราศาสตร์ที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ปกติสุดและพึ่งพาได้มากที่สุดในบรรดาพี่ๆทั้งหมดกำลังติดตั้งยานอวกาศที่เขาทำเองกับมืออยู่หน้าซุ้ม
ทั้งหมดนี้คือสมาชิกที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ของชมรมดาราศาสตร์ที่เดิมมีห้าคนตามที่โรงเรียนกำหนดไว้ เป็นจำนวนสมาชิกมาตรฐานที่เพียงพอจะให้เปิดชมรมต่อไปได้ แต่เมื่อรุ่นพี่ออกไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยชมรมดาราศาสตร์จึงอยู่ในขั้นวิกฤตที่ต้องหาสมาชิกมาให้ได้อย่างน้อยหนึ่งคน
มินกิกำลังบ่นพึมพำอยู่คนเดียวระหว่างติดภาพดาวเคราะห์ลงบนผ้าสีดำตัวแทนของกาแล็กซีทางช้างเผือก
“อวกาศ อวกาศ อวกาศ อวกาศ....”
“มินกิกำลังพูดอะไรอยู่เหรอ” เสียงเจื๊อยแจ้วของอารอนดังขึ้นหลังจากที่แอบมองพฤติกรรมของรุ่นน้องชมรมอยู่นานแล้ว
“...ท่องอวกาศ อยากท่องอวกาศด้วยกันไหมฮะ” หลังจากคำเชิญไปท่องอวกาศด้วยกันถูกประกาศออกมา มินกิก็ฉีกยิ้มยิงฟันขาวให้อารอนแทบจะเป็นลมล้มทับยานอวกาศผลงาน
มาสเตอร์พีซแสนภูมิใจของมินกยู
“โอ๊ย พี่ทำอะไรระวังหน่อยสิ สนใจยานอวกาศของผมก่อน ผมจะได้รีบไปจีบเอ๊ย ไปชวน
จอน วอนอูเข้าชมรม” มินกยูแหวขึ้นมาเสียงดังก่อนจะทำหน้าเคลิ้มฝันทันทีที่พูดถึงเพื่อนร่วมรุ่นซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของหลายชมรมมาก แน่นอนว่ามินกยูเองก็แอบปลื้มตั้งแต่แรกเห็น
“นี่ก็แห้วมาหลายเทอมแล้วนะ ยูจะมีปัญญาเหรอ” อารอนพูดมาอย่างหน่ายๆ
“คราวนี้ ถ้าผมวอนอูพามาไม่ได้จะเลี้ยงข้าวพี่ตลอดเทอมเลยคอยดูสิ! ไม่รู้จักคิม มินกยูคนนี้ซะแล้ว คราวนี้ผมเอาจริง” มินกยูทำหน้าตาจริงจังก่อนจะหันไปฮัมเพลงกับยานอวกาศของตัวเองต่อ
เสียงท่องอวกาศของมินกิดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสมาชิกชมรมทั้งสามคนพากันท่องอวกาศกันดังระงมทั้งซุ้ม
“อวกาศ อวกาศ อวกาศ อวกาศ....”
เสียงดังจนทำให้ชเวซึงชอล ประธานชมรมลี้ลับพร้อมกับยุน จองฮัน ประธานชมรมขนมหวานสองชมรมคู่แข่งตลอดกาลของชมรมดาราศาสตร์ในศึกชิงชเว มินกิถึงกับส่งคนมาประเคนสาสน์ถึงหน้าซุ้ม
“ช่วยเงียบๆไปได้ไหม!!”
และแล้วหลังจากการรอคอยที่แสนยาวนาน ซุ้มลึกลับชวนให้น่าค้นหาของชมรมดาราศาสตร์ก็มีผู้มาเยือนเด็กหนุ่มหน้าตาไม่คุ้นเคยสำหรับสมาชิกสามช่าเลย เพราะเป็นนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาในภาคเรียนนี้
แต่สำหรับมินฮยอนแล้วกลับเป็นความรู้สึกคุ้นเคยมาก เมื่อเขาสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในซุ้มด้วยแววตากระตือรือร้นกับดวงดาวต่างๆที่ถึงแม้จะเป็นเวลากลางวันแต่กลับทอแสงระยิบระยับได้อย่างสวยงาม
ทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายพลันทำงานขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย อวัยวะที่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทำร่างกายกำลังทำงานอย่างหนักทั้งเต้นตึกตักราวกับจะออกมาข้างนอก รวมไปถึงสูบฉีดเลือดไปที่พวงแก้มใสให้ขึ้นสีในทันทีที่ดวงตาของผู้มาใหม่กับประธานชมรมประสานเข้าหากัน
ทันใดนั้นเองคำพูดของเจอาร์ที่ฝากให้กับมินฮยอนก็ดังก้องเข้ามาในหัว
“ขอให้นายได้เจอกับเจอาร์บนโลกของนายซักทีนะ...”
“สวัสดี...ฉันชื่อ ‘คิม จงฮยอน’ มัธยมปลายปีสามห้องบียินดีที่ได้รู้จักนะ” ผู้มาใหม่แนะนำตัวให้กับสมาชิกทุกคนในชมรมด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรพร้อมกับหยิบใบสมัครไปเขียนโดยไม่รีรอ
เหตุผลที่มาสมัครชมรมนี้ : ...โชคชะตาล่ะมั้ง =]
เห็นทีมินฮยอนต้องเพิ่มดาวเคราะห์อีกดวงลงบนระบบสุริยะจักรวาลบนเพดานห้องนอนของเขาอย่างแน่นอนแล้ว
Fin ❤
แฮร่!!! จบกันไปแล้วกับฟิคมินเจ เจมิน (?) อะไรก็ตามที่เป็นมินฮยอนกับจงฮยอน อิ_อิ ที่จริงเป็นฟิคแปลงในชื่อเดียวกันที่เคยลงไว้ในเด็กดีค่ะ เป็นครอสโอเวอร์จินบังทันกับคิโด แต่ช่วงนี้เครซี่บูกิจงฮยอนมากค่ะ ฮื่อออ คนอะไรทำไมเห็นแต่คำว่าน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารักน่ารัก เลยทำมาสนองนี้ดตัวเองล้วนๆ อยากได้จงฮยอนมั่งต้องทำไงดีคะพี่มินฮยอน ฟฟฟฟฟฟ เป็นทอล์กที่ไม่มีสาระใดๆค่ะ มีแต่ความหวีด เขินนนนนนน
สุดท้ายนี้ ขอบคุณมากนะคะที่แวะเข้ามาอ่านกัน เยิ๊ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ <3
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in