เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รวมเรื่องสั้นHatred
เยี่ยมบ้าน
  • เรื่องสั้น

                  แม้จะเป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้วแต่อากาศร้อนที่ตกค้างมาตั้งแต่ตอนบ่ายก็ยังทำให้ฉันต้องหยุดยืนใต้เงาของอาคารที่พักอาศัยเพื่อซับเหงื่อที่ไหลท่วมใบหน้าตามปกติแล้ว ห้าโมงเย็นของวันศุกร์แบบนี้ ฉันคงกำลังเดินทางกลับบ้านอยู่เป็นแน่

                  ฉันลดมือที่ถือผ้าเช็ดหน้าลงในขณะที่จับจ้องไปยังอาคารที่พักอาศัยที่เป็นเป้าหมายของการเดินทางในวันนี้พลางสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อเตรียมใจ หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน

                  "ครูทิพย์คะๆ"

                  ฉันถูกเรียกให้หยุดบนทางเดินของอาคารเรียน เมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบว่าเป็นเพื่อนครูด้วยกันฉันส่งยิ้มให้เธอก่อนจะเอ่ยออกไปว่า "อ้าว มีอะไรเหรอคะครูฝ้าย"

                  ครูฝ้ายเป็นเพื่อนร่วมงานที่มีอายุมากกว่า 4-5 ปีและยังเป็นรุ่นพี่ที่จบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่เนื่องจากเจ้าตัวยืนกรานให้เรียกว่า 'ครูฝ้าย' มากกว่า 'พี่ฝ้าย' ฉันจึงเรียกเธอแบบนี้

                  "เรื่องธีรเดชจากห้องเราน่ะค่ะ…" ครูฝ้ายกำลังพูดถึงธีรเดชที่เป็นนักเรียนห้องม. 5/2 ซึ่งพวกเราทั้งสองคนเป็นครูประจำชั้นอยู่และตอนนี้เด็กหนุ่มที่กำลังถูกพูดถึงก็

                  "เรื่องที่ธีรเดชไม่มาโรงเรียนเกือบสองสัปดาห์แล้ว"

    ....

                  ถ้าหากให้พูดถึงธีรเดช คงพูดถึงเขาได้แค่ว่าเขาเป็นเด็กเงียบๆ เด็กหนุ่มไม่เคยสร้างปัญหาแต่ก็ไม่ได้โดดเด่น เด็กหนุ่มไม่เคยมีปัญหาชกต่อยไม่เคยโดนจับได้ว่าสูบบุหรี่หรือโดดเรียน เท่าที่ลองสอบถามจากเพื่อนๆที่ดูสนิทกับเขา เด็กหนุ่มก็ไม่ได้มีปัญหาทางบ้านอะไร

                  ในตอนนี้ทางโรงเรียนจึงไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไรดีเมื่อธีรเดชขาดเรียนไปเกือบสองสัปดาห์อีกทั้งเมื่อติดต่อไปที่บ้านก็ไม่มีการตอบรับ ราวกับว่าเขากับครอบครัวหายตัวไปเสียเฉยๆ

                  จากการประชุมครูเมื่อสัปดาห์ก่อนมีความเห็นให้ฉันและครูฝ้ายซึ่งเป็นครูประจำชั้นเป็นผู้ไปติดต่อสอบถามทางบ้านธีรเดชเพื่อหาสาเหตุโดยที่พวกเรานัดกันว่าจะไปเยี่ยมบ้านของเด็กหนุ่มในวันศุกร์ที่จะถึงนี้

    ​...

                  "เกี่ยวกับเรื่องที่เราจะไปเยี่ยมบ้านวันศุกร์นี้น่ะค่ะ…" ครูฝ้ายเกริ่นขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย "คือว่าพี่ติดธุระด่วนวันนั้น ถ้ายังไงพี่ฝากครูทิพย์ด้วยได้มั้ยคะ…"

    ​…

                  นี่เป็นสาเหตุที่วันนี้ฉันต้องมาที่ที่พักของเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว

                  ที่พักของธีรเดชเป็นแฟลตที่ตั้งอยู่ในย่านชุมชนที่มีคนพลุกพล่าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนฉันตัดสินใจว่าจะยืนเตรียมใจสักพักก่อน ฉันเพิ่งจะเป็นครูมาได้ประมาณสองปีแถมนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ได้เป็นครูที่ปรึกษาการมาเยี่ยมบ้านนักเรียนเพียงลำพังครั้งแรกจึงเป็นเรื่องน่าหนักใจอย่างมากฉันกลัวว่าจะเผลอทำตัวเสียมารยาทหรือทำอะไรไม่ถูกไม่ควรลงไป

                  หลังจากยืนคิดวางแผนสิ่งที่ควรทำและควรพูดสักพักฉันจึงตัดสินใจก้าวเข้าไปติดต่อกับหญิงวัยกลางคนที่ดูแล้วน่าจะเป็นผู้ดูแลซึ่งนั่งอยู่ที่เคาเตอร์ชั้นล่างของอาคารที่พัก

                  "เอ่อ… ขอโทษนะคะ…" ผู้ดูแลหันมาแล้วส่งสัญญาณเป็นเชิงให้รอโดยไม่ได้พูดอะไร เมื่อฉันลองมองดูดีๆ แล้วจึงเห็นว่าเธอติดสายโทรศัพท์อยู่ ออกจะเสียมารยาทถ้าจะรบกวนเธอตอนนี้ฉันจึงเดินออกมารอที่ด้านหน้าเคาเตอร์และจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นฆ่าเวลา ตอนนั้นเองที่สายตาของฉันกวาดไปพบสิ่งนึงที่ทำให้ฉันหยุดนิ่งตะลึงงัน

                  ดวงตาหลายสิบคู่จับจ้องตรงมายังฉัน มันจับจ้องมาอย่างไม่ลดละ จนเหมือนว่าฉันกำลังประจัญหน้ากับเจ้าของแววตามากมายที่มองมาตรงนี้

    ในที่สุดฉันก็มองมันออก

    มันคือบอร์ดประชาสัมพันธ์ติดผนังธรรมดาๆที่มีประกาศแจ้งสัตว์เลี้ยงหายติดอยู่จนเต็ม

                  หมา แมว นก หมา หมา แมว ฯลฯภาพของสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นอัดแน่นอยู่เต็มบอร์ด อัดแน่นจนดูเหมือนว่าฉันถูกสัตว์เลี้ยงหลายสิบตัวกำลังจับจ้องมา

                  "ติดต่อเรื่องอะไรเหรอคะ" เสียงเรียกดังมาจากด้านหลังทำให้ฉันตกใจจนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อหันไปฉันจึงเห็นว่าผู้ดูแลวางสายโทรศัพท์ไปแล้วและในตอนนี้เธอก็มองมาที่ฉันด้วยใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม

                                                                        

                  "อ้อ คุณครูมาหาน้องธีนี่เอง" หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นเช่นนั้นหลังจากสอบถามธุระ"จะว่าไปป้าก็ไม่เห็นน้องธีกับแม่มาสักพักแล้วจริงๆด้วยนะคะ" หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นเช่นนั้นในขณะที่รื้อหาของอะไรบางอย่างบนเคาน์เตอร์สักครู่นึงเธอจึงหยิบเอาเอกสารชุดนึงออกมา มันคือใบรายชื่อของผู้พักอาศัย

                  "ธีรเดช ธีรเดช… นี่ไง เจอละ" ผู้ดูแลชี้ไปที่ชื่อหนึ่งบนเอกสาร "ธีรเดชชาญประกอบ ห้อง 417 ชั้น 4 เลยค่ะ"

                  ฉันเดินขึ้นบันไดตามที่ผู้ดูแลบอก ค่อยๆซ้อมสิ่งที่จะพูดในหัวระหว่างที่ก้าวเท้าไปยังห้องพักของลูกศิษย์ในขณะที่ยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องนักเท้าก็พาฉันมาหยุดยังหน้าประตูห้อง 417

                  เบื้องหน้าฉันคือประตูบานพับเก่าๆติดหมายเลขห้องที่สีทองเริ่มลอกจนเห็นเนื้อพลาสติกข้างในหน้าต่างติดเหล็กดัดมีม่านเก่าๆ สีขาวออกเหลืองปิดไว้จนมองไม่เห็นภายในไม่มีเสียงใดๆ ลอดออกมา ฉันเริ่มไม่มั่นใจว่าจะมีใครอยู่ในห้องหรือไม่ หลังจากที่กวาดสายตาหาตัวช่วยฉันก็พบว่ามีออดไฟฟ้าติดอยู่ที่ข้างประตู เลยเอื้อมมือไปกดมัน

                  เสียงจากออดไฟฟ้าดังขึ้นสั้นๆ หลังจากรอสักพักก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆจากหลังประตู แม้ว่าจะกดออดซ้ำอีกสองสามครั้งก็ยังไร้เสียงตอบกลับหรือการเคลื่อนไหวใดๆ

                  ฉันจึงเอื้อมมือไปเพื่อเคาะประตูห้องในขณะที่พยายามส่งเสียงเรียกคนในห้องว่า

    "ขอโทษนะคะฉันเป็นคุณครูของธีรเดช..."

                  เสียงของฉันจำต้องหยุดลงกลางครัน ในขณะที่มือเอื้อมไปแตะลงบนบานประตูภาพตรงหน้าก็ดับมืดลงราวกับถูกดับไฟ ฉันสะดุ้งสุดตัวตามสัญชาตญาณรับรู้ว่าตัวเองหวีดร้องออกมาเบาๆ โดยไม่ได้ตั้งใจในหัวพยายามประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นแม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ได้ ฉันยกสองมือขึ้นจับใบหน้าขณะที่กะพริบตาอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความกลัวว่าเกิดอะไรกับนัยน์ตาตนเอง

                  ไม่นานนักภาพตรงหน้าก็กลับมา ฉันเห็นสองมือของตัวเองที่ยกขึ้นมาป้องใบหน้าในขณะที่ลดมือลงด้วยยังงุนงงอยู่นัยน์ตาของฉันก็รับภาพของเด็กหนุ่มคนนึงที่มองมาทางฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเด็กหนุ่มคนนั้นประคองมีดไว้ในมือสองข้างที่สั่นเทาแต่แววตาจับจ้องมายังฉันแน่วนิ่ง

                  นั่นคือ ธีรเดช ลูกศิษย์ที่ฉันเป็นอาจารย์ประจำชั้น

                  เด็กหนุ่มที่ฉันกำลังตามหายืนห่างไปไม่กี่ก้าวพร้อมกับชี้มีดมาทางฉัน

    ...

                  หลังจากตระหนักได้ว่าฉันกำลังโดนมีดจ่ออยู่ฉันก็รีบเรียกชื่อเขาแล้วขอร้องให้เขาลดมีดลงเด็กหนุ่มดูจะตกใจลนลานอยู่บ้างก่อนจะวางมีดไว้บนหลังตู้เก็บรองเท้าที่อยู่ข้างตัวเมื่อมองไปรอบๆ ฉันเพิ่งรู้ว่าตอนนี้ตัวฉันอยู่ในห้องพักของเด็กหนุ่มแล้ว

                  'ตั้งแต่ตอนไหนกัน' ฉันงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรออกไป ฉันก็ได้ยินเสียงธีรเดชเอ่ยขึ้นมาว่า

                  "ครูมาทำอะไรที่นี่" เด็กหนุ่มดูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อยแต่สีหน้ายังคงมีความกังวลอยู่

                  "ครูต้องเป็นฝ่ายถามเธอต่างหาก ทำไมถึงไม่ไปโรงเรียน" ฉันโยนเอาคำพูดที่ซ้อมไว้ตลอดทางทิ้งไป ไอ้เด็กนี่โดดเรียนมาสองสัปดาห์แถมเอามีดมาจ่อครูตัวเอง ยังจะมาถามอะไรอีก "แล้วยังเรื่องมีดนี่อีกตามคุณแม่มาคุยกับครูเดี๋ยวนี้เลย" หลังจากหายตกใจฉันก็เริ่มโมโหเด็กหนุ่มตรงหน้า ถ้าตอนนี้มีไม้เรียวในมือฉันจะฟาดเขาเดี๋ยวนี้เลย

                  น่าแปลกที่เด็กหนุ่มมีสีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อฉันกล่าวถึงคุณแม่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าธีรเดชนั้นอาศัยอยู่กับแม่เนื่องจากพ่อเขาเสียไปตั้งแต่ยังเด็กหรือฉันจะจำสลับกัน?

                  เด็กหนุ่มนิ่งไปสักพัก ดูเหมือนเขาจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

                  "ครูครับ ไม่ใช่ว่าผมโดดเรียน แต่ว่าผมออกจากห้องนี้ไม่ได้ต่างหากครับ"

    ...

                  'ธีรเดชออกจากห้องไม่ได้'

                  ความจริงเรื่องนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันเห็นมันเต็มสองตาตัวเอง

    ...

                  หลังจากเด็กหนุ่มยืนกรานว่าเขาออกจากห้องไม่ได้ธีรเดชก็ขอให้ฉันตั้งใจฟังเรื่องสุดเหลือเชื่อเรื่องนึง เขาเล่าว่าจู่ๆประตูทางออกห้องนี้ก็ไม่ได้เปิดออกไปยังข้างนอกห้องแต่กับเชื่อมต่อไปยังสถานที่ที่น่ากลัวมากน่ากลัวเสียจนเขาไม่กล้าก้าวขาออกไป

                  เขาเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยสีหน้าที่ทั้งจริงจังและเต็มไปด้วยความกลัวในขณะที่ฉันได้แต่คิดในใจว่า 'ไอ้เด็กนี่มันบ้าสมงสมองไปหมดแล้ว เสียเวลาที่อุตส่าห์เป็นห่วงจริงๆ' ขณะนั้นฉันยืนอยู่ตรงหน้าประตูทางออกจากห้องของธีรเดชฉันจึงจะพิสูจน์เรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระที่เขาพล่ามออกมา ฉันจึงจะเดินไปเปิดประตูเด็กหนุ่มพยายามดึงฉันเอาไว้แต่ฉันสะบัดมือเขาออกไป

                  ตอนนั้นฉันน่าจะกำลังโกรธอยู่ โกรธมากๆ แทนที่จะได้กลับบ้านไปพักสบายๆในเย็นวันศุกร์ ฉันกลับต้องรับภาระมาตามตัวนักเรียนโดดเรียนด้วยตัวคนเดียวโดนเอามีดจ่อ แถมยังต้องมาฟังเรื่องไร้สาระอีก...

                  ฉันที่กำลังโมโหดึงสายโซ่คล้องประตูออกก่อนจะหมุนลูกบิดแล้วดึงเปิดประตูอย่างแรงจนเหมือนกระชากเข้าหาตัวในขณะที่กำลังจะบอกให้เด็กชายแหกตาดูว่าเขากำลังเพ้อเจ้ออะไรอยู่ สองตาของฉันก็มองออกไปข้างนอกประตู

                  สิ่งที่เห็นไม่ใช่ระเบียงทางเดินหน้าประตูที่พักที่ฉันเคยยืนกดออด

                  สิ่งที่เห็นคือความมืดลึกล้ำราวกับเทหมึกทับทุกอย่างไว้ทุกอย่างนั้นดำมืดจนไม่อาจมั่นใจว่าถ้าก้าวขาออกไปข้างนอกนั้นจะร่วงลงไปในความมืดตรงหน้ามั้ยมันดำมืดเสียจนสมองไม่อาจทำความเข้าใจได้

                  เด็กหนุ่มเดินมายังข้างตัวฉัน เขาดันประตูปิดกลับอย่างแผ่วเบากดล็อคลูกบิด คล้องสายโซ่ ก่อนจะจูงมือฉันให้ห่างออกไปจากหน้าประตูห้อง

                  "ผมบอกแล้วว่าผมออกไปจากห้องนี้ไม่ได้" เด็กหนุ่มพูดเช่นนั้นในขณะที่หัวของฉันรู้สึกตื้อไปหมดราวกับถูกชกโดยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าข้อเท็จจริงที่ว่า 'ธีรเดชออกจากห้องไม่ได้'

                  ความจริงเรื่องนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันเห็นมันเต็มสองตาตัวเอง

                  ไม่สิ ที่ฉันรู้สึกตื้อไปหมดไม่ใช่แค่เรื่องนี้แต่เป็นเรื่องที่ฉันตระหนักได้ว่าอาจจะเกิดขึ้น

                  เรื่องที่ว่า 'เราทั้งสองคนออกจากห้องไม่ได้'

    ...

                  พักใหญ่ทีเดียวกว่าฉันจะรวบรวมสติได้ เด็กหนุ่มพาฉันมานั่งบนเตียงเล็กๆก่อนที่เขาจะไปจัดแจงต้มน้ำบนเตาแก๊สเพื่อชงกาแฟไม่นานนักเด็กหนุ่มก็ส่งแก้วกาแฟร้อนมาให้ ฉันรับมันไว้ด้วยมือที่ยังสั่นเทา

                  เราสองคนนั่งอยู่ในความเงียบเป็นเวลานานก่อนที่เด็กหนุ่มจะลุกขึ้นแล้วเดินไปยังหน้าประตูฉันไม่รู้ว่าเขาไปตรงนั้นทำไมแต่ไม่มีกะจิตกะใจจะถามฉันนั่งอยู่อย่างนั้นตามลำพังเพื่อรวบรวมสติพลางสังเกตรอบๆ ห้อง

                  มันเป็นห้องพักที่มีขนาดเล็ก เมื่อเข้ามาจากหน้าประตูทางเข้าขวามือจะเป็นตู้เก็บรองเท้า ขณะที่ซ้ายมือเป็นประตูที่น่าจะเปิดไปยังห้องน้ำเมื่อเดินตรงเข้ามาจะเป็นส่วนที่พักอาศัยพื้นที่ฟากที่ฉันนั่งอยู่นั้นตั้งเตียงนอนไว้ 2 หลังเดาว่าเป็นของธีรเดชกับแม่ของเขา มีเครื่องเรือนอย่างตู้เสื้อผ้าขนาดย่อมและอื่นๆเล็กน้อยในฝั่งนี้ อีกฟากเป็นพื้นที่ของครัวขนาดเล็กที่มีเคาน์เตอร์ทำครัวอ่างล้างจาน เตาแก๊สและตู้เย็นตั้งอยู่ มีโต๊ะขนาดไม่ใหญ่นักกับเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่หน้าพื้นที่ครัวฉันคิดว่าธีรเดชกับแม่ของเขาคงทานข้าวด้วยกันที่โต๊ะตัวนี้

                  ในขณะที่ฉันมองไปรอบๆ เด็กหนุ่มยังคงยืนอยู่แถวหน้าประตูทางเข้าเนื่องจากเขายืนหันหน้าไปทางประตู สิ่งที่ฉันเห็นจึงมีเพียงแผ่นหลังของลูกศิษย์ที่ยืนพิงตู้เก็บรองเท้าอยู่ฉันลุกจากเตียงแล้วเดินไปหาเขา เด็กหนุ่มคงได้ยินเสียง เขาจึงหันหน้ากลับมา

                  "ครูทิพย์โอเคขึ้นแล้วเหรอครับ" ธีรเดชหันกลับมาถามฉันเขาคงพยายามยิ้มให้แต่มันกลับออกมาเป็นรอยยิ้มแหยๆ ฉันโบกไม้โบกมือให้เป็นสัญญาณว่าฉันโอเคถึงแม้อยากจะพูดอะไรสักอย่างกับเด็กหนุ่มแต่ฉันกลับพูดไม่ออกถ้อยคำจุกอยู่ในอกไม่สามารถสื่อสารออกไปได้ เด็กหนุ่มคงสังเกตเห็น เขาจึงเอ่ยว่า

                  "ผมว่าครูไปนั่งพักอีกสักครู่ดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมขอเฝ้าอยู่ตรงนี้สักพัก"ฉันเพิ่งสังเกตว่าเขามีสีหน้าอิดโรย ใบหน้าของธีรเดชซีดรอบดวงตาของเขาคล้ำราวกับคนอดนอนเด็กหนุ่มคงจะเป็นทุกข์กับเรื่องนี้อย่างมากแต่ก็พยายามยิ้ม คงเพื่อไม่ให้ฉันกลัวไปมากกว่านี้ฉันเป็นครูของเขาแต่กลับต้องให้ลูกศิษย์มาคอยดูแลเนี่ยนะ?

                  ฉันรวบรวมความกล้าถามเขาออกไป "ทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้นอธิบายให้ครูฟังที"

                  ธีรเดชหยุดนิ่ง เขาทำหน้าครุ่นคิดและใช้เวลารวบรวมคำพูดอยู่นานทีเดียว

                  "ถ้าให้ผมพูดตามตรง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ" เด็กหนุ่มพูดขึ้นเช่นนั้นก่อนจะเอ่ยเสริมว่า "เช้าวันนึงเมื่อสักสองสัปดาห์ก่อนตอนผมจะไปโรงเรียนพอเปิดประตูหน้าบ้านออกไป มันก็กลายเป็นแบบที่ครูเห็นไปแล้วครับโทรศัพท์หรืออินเทอร์เนตก็ใช้ไม่ได้"

                  "แล้วคุณแม่ของเธอล่ะ..." ฉันรู้สึกลังเลที่จะถามคำถามนี้เพราะสังหรณ์ใจว่าคงได้คำตอบที่ไม่ดีแน่ แต่ยังไงก็อยากยืนยันไว้ก่อนเด็กหนุ่มก้มหน้าลงไม่ตอบอะไร แต่ฉันเห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปจากที่ดูซีดเซียวอยู่แล้วกลับยิ่งซีดเผือดลงไปอีกใบหน้าของเขาเป็นใบหน้าที่เศร้าสร้อยราวกับใจสลาย ฉันจึงพูดออกไปด้วยความเป็นห่วง

                  "ครูว่าเธอไปพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวเรื่องประตูหน้าบ้านเธอครูจะลองหาทางออกสักอย่างดู" ระหว่างนั้นฉันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างที่เด็กหนุ่มบอก โทรศัพท์มือถือไม่ปรากฏสัญญาณเลยไม่ว่าจะสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเทอร์เนต

                  "ตอนนี้ที่เราควรกังวลไม่ใช่เรื่องออกไปไม่ได้หรอกครับครู" เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะกล่าวออกมา

                  "ที่เราควรกังวลคือ..."

    ...

                  ธีรเดชวางกระทะแล้วจุดเตาแก๊สขึ้น เขาใส่น้ำมันลงไปรอให้ร้อนแล้วใส่เนื้อที่หั่นเตรียมไว้ เขาผัดเนื้อสักพักจนได้ที่จากนั้นใส่หอมใหญ่ครึ่งหัวที่หั่นไว้แล้วตามลงไป ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาวผงปรุงรส น้ำตาล ซอสตั้งโต๊ะ และน้ำมันงา เด็กหนุ่มปรับไฟแรงแล้วผัดจนส่งกลิ่นหอมจากนั้นจึงยกขึ้นใส่จาน

                  "ครูครับ อาหารพร้อมแล้ว" เด็กหนุ่มเรียกฉันให้เข้าไปทานข้าวฉันที่กำลังยืนเฝ้าหน้าประตูสลับกับหันไปดูเขาทำอาหารเป็นระยะๆด้วยความสนใจก็ละจากหน้าที่แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทานข้าวลูกศิษย์ของฉันตักข้าวที่หุงใหม่ๆ ใส่จานของทั้งเขาและฉัน จากนั้นจึงนำมาวางไว้ให้"วันนี้เมนูคือผัดเนื้อหอมใหญ่ครับ"

                  เด็กหนุ่มบอกว่าระหว่างสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เขาไม่ค่อยได้ทานอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลยเนื่องจากต้องคอยเฝ้าประตู เมื่ออยู่ต่อหน้าผัดเนื้อจานใหญ่ธีรเดชจึงดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ท่าทางดีอกดีใจของเขาออกจะแปลกตาอยู่บ้างเพราะธีรเดชในความทรงจำของฉันเป็นคนเงียบๆที่ไม่ค่อยแสดงท่าทางหรือความรู้สึกอะไรในห้องเรียนตัวฉันเองไม่ค่อยอยากทานอะไรนักเหตุการณ์ที่ประสบเมื่อตอนเย็นทำให้ฉันรู้สึกแย่ไปหมดแต่ก็ตัดสินใจตักอาหารเข้าปากเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

                  "อร่อย..." รสชาติของเนื้อกับเครื่องปรุงเข้มข้นเข้ากันกับข้าวสวยหุงใหม่ๆฉันเงยหน้าขึ้นมองไปที่เด็กหนุ่ม คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำอาหารอร่อยขนาดนี้

                  "ตักเพิ่มได้เลยครับครู ลองทานกับหอมใหญ่ดูครับผมลองผิดลองถูกอยู่นานเลยกว่าจะผัดให้ออกมาได้เทกเจอร์แบบนี้" ธีรเดชยิ้มแย้มแล้วพูดรัวเร็ว "ทานพร้อมกับข้าวนะครับผมใส่เครื่องปรุงให้รสชาติเข้มขึ้นมาหน่อย ต้องทานพร้อมข้าวถึงจะเข้ากัน"

                  เด็กหนุ่มดูแปลกไปจนฉันตกใจ ธีรเดชคนที่ฉันจำได้ว่าไม่ค่อยพูดได้หายไปแล้วข้างหน้าฉันคือธีรเดชที่เอาแต่พูดเรื่องอาหาร และเครื่องปรุงอย่างออกรสจนฉันหลุดขำออกมา เด็กหนุ่มเหมือนจะรับรู้แล้วว่าตัวเองทำอะไรไป เขากระแอมเบาๆทีหนึ่ง เก็บท่าทางแล้วพยายามปั้นหน้านิ่ง แต่กลับเขินจนหน้าแดงไปหมด

                  ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศการสนทนาแต่ต่างจากความเงียบที่เกิดขึ้นในช่วงเย็น มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดใจฉันยิ้มแล้วรอเวลาให้เขาเป็นฝ่ายพูดก่อน

                  "ผมชอบทำอาหารครับครู" เด็กหนุ่มทำลายความเงียบเขามองตรงมาที่ฉันราวกับจะสารภาพอะไรสักอย่างจากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง

                  แม่ของเด็กหนุ่มหาเลี้ยงเขาตามลำพัง เนื่องจากพ่อของเขาเสียไปตั้งแต่เขายังเด็กเด็กหนุ่มจึงต้องดูแลเรื่องต่างๆของตนเองตั้งแต่ยังจำความได้หนึ่งในนั้นก็คือการทำอาหาร ไม่นานหลังจากเขาขึ้นชั้นมัธยมต้นแม่ของเขาเข้าทำงานในบริษัทขายส่งวัตถุดิบและเครื่องปรุงเรื่องนี้ได้เปิดโลกใหม่ในการทำอาหารให้ธีรเดช เขาได้ลองสินค้าตัวอย่างประเภทต่างๆจากบริษัทของแม่ ยิ่งทำก็ยิ่งมีเมนูใหม่ๆ ยิ่งทำก็ยิ่งอร่อยขึ้นทำไปทำมาธีรเดชก็ตกหลุมรักการทำอาหารเสียแล้ว

                  "ผมอายที่จะเล่าให้คนอื่นฟังครับครู" เด็กหนุ่มยกมือขึ้นป้องใบหน้าของตนแต่ถึงจะมองไม่เห็นใบหน้า ฉันก็เห็นว่าเขาเขินจนแดงไปถึงใบหู "เด็กผู้ชายมัธยมปลายชอบทำอาหาร มันดูน่าอายมากเลยครับครู"

                  เด็กหนุ่มคงจะไม่เคยเล่าเรื่องที่ตนชอบทำอาหารให้เพื่อนคนไหนฟังมาก่อนเพราะในตอนที่ฉันสอบถามหาสาเหตุที่ธีรเดชไม่มาเรียนกับกลุ่มเพื่อนไม่มีเพื่อนในกลุ่มของเขาคนไหนเลยที่บอกได้ว่าในเวลาว่างธีรเดชชอบทำอะไรทุกคนรู้แค่ว่าเขาทำอะไรในตอนที่อยู่โรงเรียนแต่แทบไม่รู้ชีวิตส่วนตัวของเด็กหนุ่มเลย ดูเหมือนว่าแม้แต่กับกลุ่มเพื่อนๆที่ดูสนิทกัน ธีรเดชก็ออกจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร

                  "นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมทำอาหารให้คนอื่นที่ไม่ใช่แม่ทาน" เด็กหนุ่มยังคงดูขัดเขินอยู่ "เห็นว่าครูทานแล้วอร่อยผมก็เลยดีใจมากเกินไป ขอโทษด้วยครับ"

                  "ไม่ต้องขอโทษหรอก ครูต่างหากที่ต้องขอโทษ ที่หัวเราะเธอไปแบบนั้น"ฉันบอกกับเขา "ครูแค่กลั้นไม่อยู่น่ะปกติแล้วเธอไม่ค่อยพูด แต่จู่ๆก็พูดคล่องปร๋อเลย" ฉันหัวเราะออกมาอีกครั้งเพียงแค่นึกถึงตอนที่เขาพูดรัวเร็วเด็กหนุ่มยิ้มออกมา เราสองคนหัวเราะในขณะที่พูดคุยสัพเพเหระกัน

                  "มันอร่อยจริงๆ ใช่มั้ยครับ" จู่ๆเด็กหนุ่มก็ถามขึ้นมา

                  "อื้ม มันอร่อยมาก" ฉันยืนยัน มันอร่อยมาก

                  "ขอบคุณครับครู" เด็กหนุ่มยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่กว้างที่สุดของเขาที่ฉันเคยเห็นมาเลย

    ...

                  ฉันบอกให้เด็กหนุ่มเข้านอนไปก่อน เพราะในระหว่างมื้ออาหารเขาบอกว่าเขาแทบไม่ได้นอนเต็มที่เลยเนื่องจากต้องคอยระวังประตูหน้าระหว่างสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาอาศัยงีบสั้นๆ ที่หน้าทางเข้าเป็นระยะๆ จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาจึงดูอิดโรยซูบเซียวนัก    ฉันลากเก้าอี้มาตั้งที่บริเวณหน้าประตูแล้วนั่งเฝ้าสังเกตการณ์ไปเรื่อยๆธีรเดชขอให้ฉันมานั่งบริเวณนี้เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วจากบริเวณโต๊ะทานข้าวก็มองมาที่หน้าประตูได้ก็ตาม ระหว่างที่ทานอาหารกันเมื่อช่วงเย็นฉันสังเกตว่าเด็กหนุ่มก็ชำเลืองมองประตูหน้าเป็นระยะๆ

                  เราตกลงกันว่าจะผลัดกันมาเฝ้าที่หน้าประตู ฉันจึงอาสามานั่งก่อนจากที่ฉันเห็นเขาควรได้นอนพักบ้างก่อนที่จะเป็นอะไรไป              บอกตามตรงว่าตัวฉันเองออกจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับสิ่งที่ธีรเดชเล่าถ้าไม่ได้เห็นความมืดลึกล้ำที่อยู่อีกฟากของประตูฉันคงคิดว่าเรื่องทั้งหมดที่เด็กหนุ่มบอกเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อเป็นแน่อีกทั้งเด็กหนุ่มก็ไม่ได้มีเหตุผลที่จะต้องโกหกอะไร ตัวฉันเองก็ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากผลัดเวรกับลูกศิษย์แล้วไปนอนเอาแรง พรุ่งนี้ฉันจะลองสำรวจความมืดที่อยู่หลังประตูทางเข้าดู

                  เวลาค่อยๆ ผ่านไป ฉันเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าพอไม่มีอินเทอร์เนตแล้วกิจกรรมฆ่าเวลาที่เราสามารถทำได้ด้วยโทรศัพท์มือถือก็ลดลงเป็นอย่างมากบอกลาการท่องเว็บ โซเชียลมีเดีย หรือเกมที่ต้องใช้อินเทอร์เนต อีกทั้งห้องของธีรเดชก็แทบไม่มีหนังสืออะไรที่ดูจะเหมาะกับการอ่านเล่นฆ่าเวลาเลยฉันนั่งเฉยๆ พลางรอเวลาที่เด็กหนุ่มจะตื่นแล้วมาผลัดเวร

    ...

                  ฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นจากที่เคลิ้มหลับไปฉันรู้ว่าอากาศร้อนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นก็มีส่วนแต่ถ้าจะหาคนร้ายตัวจริงในเรื่องนี้ฉันคงโทษผัดเนื้อหอมใหญ่ของธีรเดชว่าเป็นสาเหตุมันอร่อยขนาดที่ทำให้ฉันทานข้าวไปมากจนกลัวน้ำหนักเพิ่มเลยทีเดียวฉันสะบัดศีรษะเพื่อไล่ความง่วงงุนที่ยังตกค้างก่อนที่จะมองไปยังประตูเพราะมันเป็นสิ่งแรกที่ฉันเห็นเมื่อลืมตาขึ้น

                  แล้วฉันก็เห็น 'มัน'

                  ความมืดลึกล้ำปรากฏผ่านรอยแยกของประตูที่เปิดแง้มอยู่ 'มัน' เกาะอยู่ที่ขอบประตูบานนั้นมันดำสนิทราวกับเป็นส่วนต่อขยายของความมืดมิดเบื้องหลัง

    ...

                  "ตอนนี้ที่เราควรกังวลไม่ใช่เรื่องออกไปไม่ได้หรอกครับครู" เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะกล่าวออกมา

                  "ที่เราควรกังวลคือ..." สีหน้าของเด็กหนุ่มจริงจังและเต็มไปด้วยความกลัว

                  "มีบางอย่างพยายามจะเข้ามาในห้องนี้"

    ...

                  'มัน' ยังเกาะอยู่ที่ขอบประตูอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อนอะไร

                  จากที่ฉันนั่งอยู่ 'มัน' อยู่ห่างออกไปไม่เกิน2-3 เมตร 'มัน' มีลักษณะเป็นเส้นตรงสองเส้นที่ยาวไม่เกิน30 ซม. บริเวณนี้มีแสงไม่มากนักฉันจึงต้องใช้เวลาอยู่นานทีเดียวจึงจะมองออกว่ามันคือ นิ้วสองนิ้ว

                  มันคือนิ้วที่ยาวมาถึงข้อที่ 2 มันยาวเกือบเท่าไม้บรรทัดและเป็นสีดำสนิท

                  เป็นตอนนั้นเองที่ฉันสังเกตเห็นว่า โซ่ที่คล้องประตูหน้าไว้ตึงจนเกือบจะขาดข้อนึงของสายโซ่ปริออก หากแต่ยังยึดไว้ด้วยกันอย่างหมิ่นเหม่มือนั้นไม่ใช่ว่าไม่ขยับเขยื้อน หากแต่มันพยายามดันเข้ามาในห้องอย่างช้าๆช้าเสียจนไม่เกิดเสียงอะไร

                  ฉันขนลุกซู่ ความกลัวแล่นปราดไปทั่วร่าง ปฏิกิริยาตอบสนองจากความกลัวสั่งให้ฉันลุกขึ้นแล้วพุ่งร่างเข้ากระแทกบานประตูอย่างแรงเกิดเสียงดังจากการกระแทกของฉัน เสียงของบานประตูไม้ที่กระแทกเข้ากับนิ้วนั้นและเสียงที่ทำให้ฉันสั่นสะท้านไปถึงภายใน

                  เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดจากอีกฝั่งของประตู

                  เสียงนั้นเป็นเสียงกรีดร้องไม่ผิดแน่ แต่มันดังสนั่นดังราวกับหญิงสาวนับร้อยกรีดร้องขึ้นพร้อมกัน

                  ทุกอย่างสั่นสะท้านไปหมดจนฉันไม่อาจแยกออกว่าในตอนนี้เป็นบานประตูที่สั่นจากแรงกระแทกและเสียงกรีดร้องหรือเป็นตัวฉันที่สั่นจนแทบยืนไม่อยู่กันแน่เจ้าของเสียงกรีดร้องนั้นพยายามจะดันประตูเข้ามา นิ้วทั้งสองของมันปัดป่ายไปทั่วราวกับพยายามจะควานหาตัวฉันไม่ก็กำลังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดเพราะฉันพยายามกระแทกประตูใส่นิ้วของมันอยู่

                  ฟันของฉันสั่นกระทบกันด้วยความกลัวแต่ความกลัวว่าสิ่งที่อยู่อีกฟากจะเข้ามานั้นมากกว่าฉันฝืนเค้นแรงทั้งตัวเข้าดันใส่ประตูพร้อมกับสวดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของทุกศาสนาที่รู้จักให้ฉันรอดไปได้

                  ราวกับตอบรับคำขอของฉัน

                  มีแสงวาบผ่านหางตาของฉัน มันเป็นแสงของโลหะยามเมื่อส่องกระทบแสงไฟแสงวาบนั้นไหวไปตามมือของเด็กหนุ่มที่กวัดแกว่งมันและตัดผ่านนิ้วสีดำสองนิ้วนั้นเป็นธีรเดชที่หยิบมีดจากหลังตู้เก็บรองเท้ามา และเป็นเขาที่ตัดสองนิ้วนั้นจนขาดออกมันตกลงมาร่วงอยู่ที่หน้าประตูเด็กหนุ่มเหมือนไม่หวาดกลัวต่อเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดที่ดังขึ้นอีกฟากเขายกเท้าขึ้นถีบใส่ประตูที่แง้มอยู่อย่างแรงจนมันปิดสนิท

                  "ครูครับ!! ดันตู้เก็บรองเท้ามาตรงนี้ที!!"เด็กหนุ่มตะโกนบอกฉันในขณะที่เขาเข้ามาดันประตูแทนลูกศิษย์คนนี้สูงราว 170 ซม. ร่างค่อนข้างหนาเมื่อเขาเป็นคนขวางประตูไว้จึงออกจะมั่นใจในความปลอดภัยได้กว่าฉันฉันรีบทำตามที่เด็กหนุ่มบอก ใช้แรงจากทั้งตัวดันตู้เก็บรองเท้ามาจนชิดติดทางประตู

                  เกิดเสียงดังจากการกระแทกที่อีกฝั่งของประตู 2-3 ครั้งเมื่อเห็นว่าบานประตูไม่ขยับเขยื้อนแล้วเพราะมีตู้ขวางไว้ ก็มีเสียงของ 'มัน' ที่เคลื่อนตัวผ่านไป

                  เราหันมามองหน้ากันราวกับจะยืนยันว่าเรื่องร้ายๆ ผ่านไปแล้วใช่มั้ย?จากนั้นฉันก็เข่าอ่อนแล้วกองลงไปกับพื้น

    ...

                  ธีรเดชรีบเข้ามาถามไถ่ฉันอย่างเป็นห่วง แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรออกจะน่าอายอยู่บ้างที่ดันกลัวจนเข่าอ่อนต่อหน้าลูกศิษย์แต่เหตุการณ์เมื่อสักครู่ฉิวเฉียดจนเกินไปถ้าเด็กหนุ่มไม่เข้ามาช่วยไว้ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพอเริ่มตั้งสติได้ฉันก็ละอายใจมากที่เกือบทำให้เกิดอันตรายกับเราสองคนเพราะฉันเผลองีบหลับทั้งๆ ที่ลูกศิษย์ก็เตือนไว้แล้วแท้ๆ ฉันพยายามหลบตาเด็กหนุ่มเพราะไม่กล้าสู้หน้าจึงเสมองพื้น เป็นตอนนั้นที่ฉันสังเกตเห็นรอยบางอย่าง

                  มันเป็นรอยลากขีดเป็นทางยาวเมื่อลองพินิจดูก็เข้าใจว่ารอยลากนั้นเกิดจากการเลื่อนตู้เก็บรองเท้าเพียงแต่รอยลากนั้นมีหลายรอยมากมากจนดูเหมือนกับว่าเกิดการเลื่อนตู้เก็บรองเท้าเข้าออกหลายครั้งแล้วเมื่อมาคิดดูแล้ว...

                  ถ้ากลัวอะไรก็ตามเข้ามาในห้องขนาดนั้นทำไมเขาไม่ดันตู้เก็บรองเท้าขวางประตูไว้ตั้งแต่แรกกันล่ะ?

                  ฉันเงยหน้ามองไปที่ลูกศิษย์ แล้วถามสิ่งที่สงสัยออกไป...

    ...

                  เด็กหนุ่มพาฉันมานั่งที่โต๊ะทานข้าว ธีรเดชดูจะจมอยู่ในห้วงความคิดเขาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างอยู่หลายครั้ง แต่แล้วก็นิ่งเงียบไปสีหน้าของเขาเศร้าและอมทุกข์เหมือนคนอับจนหนทาง ฉันจึงดึงมือเขามากุมไว้

                  "เธอเล่าให้ครูฟังได้นะธีรเดช" ฉันเอ่ยกับเขาฉันแค่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่แค่ในฐานะครู แต่ในฐานะของเพื่อนมนุษย์ในฐานะของใครสักคนที่อยู่ตรงนั้น ในห้วงเวลานั้น

                  เด็กหนุ่มเปิดปากและเริ่มเล่าเรื่องราวของเขาเรื่องราวที่ฉันพอจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว

                  'คุณแม่ของธีรเดชหายไปในความมืดหลังประตูนั้น'

    ...

                  หลังจากรู้ว่าตัวเองและลูกชายกำลังประสบกับเรื่องลี้ลับที่เกิดขึ้นอีกฟากของประตูบ้านคุณแม่ของธีรเดชก็รวบรวมสติ เธอพยายามหาทางออกโดยการลองผิดลองถูกหลายอย่างแต่ก็ล้มเหลว

                  ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และสัญญาณอินเทอร์เนต

                  หน้าต่างบานเดียวของห้องก็คือหน้าต่างที่อยู่ติดประตูหน้าบ้านเมื่อเปิดผ้าม่านออกสิ่งที่เห็นผ่านกรอบหน้าต่างก็มีเพียงความมืดที่เข้มจนเหมือนย้อมด้วยหมึก

                  ตะโกนเรียกคนข้างห้องก็ไม่มีการตอบรับ

                  เธอพยายามเจาะพื้นและผนังแต่ราวกับว่ากำแพงปูนและพื้นกระเบื้องที่เห็นอยู่ทุกวันกลับแข็งขึ้นจนแม้แต่ค้อนก็ไม่อาจทำให้เกิดรอยร้าว

                  ฯลฯ

                  จนในที่สุด ก็เหลือเพียงทางเดียวคือการออกไปสำรวจความมืดที่อีกฟากของประตู

                  "แม่เอาเชือกมาคล้องไว้รอบตัวพร้อมกับเอาไฟฉายมาพันติดมือไว้เพื่อไม่ให้หลุดมือ" ธีรเดชบอกเช่นนั้นก่อนที่เขาจะลุกจากเก้าอี้และเดินไปหยิบของบางอย่างที่วางไว้บนหลังตู้เย็นในระหว่างนั้นเขาก็กล่าวต่อไปว่า

                  "ข้างนอกนั้นมืดมากอย่างที่เราก็เห็นกันต่อให้เปิดไฟฉายก็ยังมองออกไปได้ไม่เกิน 2-3 เมตรแต่แม่ก็ตัดสินใจออกไปสำรวจครับ" เด็กหนุ่มหยิบของชิ้นนั้นมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะนั่งลงและกล่าวต่อ "แม่ฝากปลายเชือกอีกด้านไว้ที่ผมถ้าเกิดอะไรขึ้นสิ่งที่ผมต้องทำก็คือรีบดึงแม่กลับมา"

                  ของชิ้นนั้นคือเชือกขดยาวที่ปลายด้านหนึ่งกลายเป็นสีดำ

                  "แม่เดินออกไปได้ประมาณ 5 เมตรสิ่งที่ผมเห็นเหลือแต่แสงจากไฟฉายในมือแม่ จากนั้นสักพักนึงน้ำหนักจากปลายเชือกอีกด้านก็หายไป"เด็กหนุ่มก้มลงมองมือสองข้างของตัวเอง ใบหน้าของเขาขาวซีดไร้อารมณ์เด็กหนุ่มพูดต่อว่า "ผมรีบดึงเชือกกลับมาจำได้ว่าไม่มีเสียงอะไรเลย ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีเสียงขอความช่วยเหลือมีแต่ความเงียบ ผมดึงเชือกกลับมาจนหมด แต่แม่ไม่ได้กลับมาด้วย"

                  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปยังประตู "แม่ไม่ได้กลับมา"

                  "บางทีแม่อาจจะแค่หลงทางอยู่ในความมืดนั้นก็ได้ แม่อาจจะแค่สลบไปแม่จะต้องกลัวมากแน่ๆ ที่ตื่นมาแล้วเจอแต่ความมืด แม่อาจจะกำลังหาทางกลับมา..."เด็กหนุ่มพูดด้วยเสียงที่เริ่มสั่นเครือ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาเขานิ่งไปสักพัก ใบหน้าครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมา

                  "จริงๆ แล้ว ผมรู้ว่าทุกอย่างที่เข้ามาผ่านทางประตูนั้นล้วนแต่มีอันตรายผมไม่ควรหวังแต่แรกแล้วว่าแม่จะปลอดภัย แต่ว่า..."

                  "เหมียว"

                  เสียงร้องดังขึ้นที่หน้าประตูทางเข้าขัดเรื่องที่เด็กหนุ่มกำลังพูดเสียงร้องนั้นทำให้ฉันหันหลังกลับมองไปยังหน้าประตู ตรงนั้นมีแมวตัวนึงเป็นลูกแมวตัวเล็กๆ ฉันงงงันว่ามันเข้ามาได้อย่างไรในตอนนั้นเกิดแรงดึงจากมือข้างที่ฉันกุมอยู่เป็นธีรเดชที่ดึงมือของเขาออกจากมือของฉัน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นขมึงทึงน่ากลัวสองตาจับจ้องไปที่ลูกแมว เด็กหนุ่มค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้

                  ฉันตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของลูกศิษย์จึงแข็งทื่อไปทำอะไรไม่ถูกรอจนเด็กหนุ่มปรี่เข้าไปใกล้กับลูกแมว ในมือเขาเพิ่มมีดมาเล่มนึงเป็นตอนนั้นเองที่ฉันถึงเริ่มนึกออกว่าเขาจะทำอะไร

                  "ธีรเดชอย่า!!" ฉันตะโกนขึ้นสุดเสียงพยายามจะวิ่งไปดึงมือลูกศิษย์ไว้

                  แต่ไม่ทันแล้ว เด็กหนุ่มรีบก้มลงตะครุบกดลูกแมวไว้ด้วยมือข้างนึงก่อนจะแทงมีดในมืออีกข้างเข้าใส่ลูกแมว

                  "เธอทำบ้าอะไรของเธอน่ะ" ฉันกระชากคอเสื้อเด็กหนุ่มจากข้างหลังแต่ด้วยความที่เขาตัวใหญ่กว่ามากจึงแทบไม่เป็นผลเลยเด็กหนุ่มกระหน่ำมีดใส่ลูกแมวโดยไม่สนใจฉันที่พยายามยื้อยุดเขาจากด้านหลังมีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของลูกแมวดังไม่ขาดสาย

                  ถ้านี่คือฝันร้ายละก็ ขอร้องใครก็ได้ช่วยปลุกฉันที

                  แล้วเสียงร้องของลูกแมวก็หยุดลง เกิดความเงียบที่น่าพรั่นพรึงขึ้นระหว่างเราเด็กหนุ่มเอื้อมมือมาจับมือของฉันที่กุมคอเสื้อของเขาไว้มือของเขามีสัมผัสเหนียวเหนอะหนะที่น่าขนลุกมันเป็นมือข้างที่เมื่อครู่เขาใช้จับมีด สัมผัสนั้นคงมาจากเลือดของลูกแมวฉันกลั้นใจหันไปมองสิ่งที่จะทำให้ขนทั้งร่างของฉันลุกชัน

                  สิ่งที่เลอะเปรอะนั้นไม่ใช่เลือดสิ่งที่เปื้อนมือของธีรเดชนั้นเป็นของเหลวสีดำ

                  "ครูครับ ผมน่าจะรีบบอกครูไว้ว่าทุกอย่างที่เข้ามาผ่านประตูนั้นล้วนเป็นอันตราย" ธีรเดชเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่เขาออกแรงดึงมือฉันที่ถูกกุมไว้เบาๆ เป็นเชิงให้ก้มลงมาดูสิ่งที่เขาทำไว้ฉันสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกับก้มลงไปมองที่ตรงนั้นที่ควรจะมีร่างของลูกแมวอยู่บัดนี้มีเพียงของเหลวสีดำเจิ่งนองเป็นแอ่งเล็กๆกับผงละเอียดสีเทาเป็นกองๆ ที่กระจายไปทั่วบริเวณ

                  "ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาทางประตูนั้นเป็นอันตราย" เด็กหนุ่มย้ำกับฉัน

    ...

                  เด็กหนุ่มเล่าให้ฉันฟังว่าระหว่างสองสัปดาห์ที่ผ่านมามีสัตว์จำพวกสัตว์เลี้ยงอย่างหมากับแมวหลงเข้ามาในห้องนี้จำนวนนึง พวกมันนั้นจู่ๆก็โผล่เข้ามาตรงประตูหน้าของห้อง ในตอนแรกธีรเดชกับแม่ก็ดูแลพวกมันเท่าที่จะทำได้แรกๆ พวกมันก็ปกติดี เชื่อง กินอาหารที่พวกเขาป้อน คลอเคลียจนกระทั่งผ่านไปได้สองวัน

                  ในตอนนั้นที่เหมือนกับฝันร้ายเกิดขึ้นตรงหน้าสองแม่ลูก

                  แมวที่โผล่มาตัวแรกเริ่มเปลี่ยนไป มันโซเซไปมาเหมือนล้มป่วยพร้อมกับร้องไม่หยุดและวิ่งพล่านไปทั่วห้อง ธีรเดชกับแม่พยายามจะจับตัวมันไว้จนกระทั่งเริ่มสังเกตเห็นว่าสีผิวของมันเริ่มค่อยๆ กลายเป็นสีดำร่างกายมันเริ่มใหญ่ขึ้นๆ เจ้าแมวค่อยๆ เลิกวิ่งพล่านและหันเข้าหาสองแม่ลูกด้วยท่าทางที่ดุร้ายทำให้ธีรเดชกับแม่จำเป็นต้องทำร้ายมัน

                  ไม่นานพวกสัตว์ตัวอื่นๆ ก็เริ่มแสดงอาการอย่างเดียวกันจากนั้นเรื่องก็ลงเอยอย่างที่ใครๆ ก็คงจะคาดเดาได้

                  เด็กหนุ่มเสริมว่าในตอนที่ทุกอย่างสิ้นสุดบริเวณห้องครัวก็แทบถูกย้อมเป็นสีดำ

                  ฉันรู้สึกมึนงงสับสนไปหมด คิดว่าเป็นเพราะเรื่องต่างๆ ที่ประดังเข้ามาแต่เหมือนว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น

                  "ผมว่าครูไปพักเถอะนะครับ" เด็กหนุ่มหันมาบอกฉันทั้งที่ยังมีใบหน้าซีดเซียวแต่ก่อนที่ฉันจะได้ทักท้วงอะไร เด็กหนุ่มก็ถือวิสาสะเอื้อมมือมาแตะหน้าผากฉัน "ผมว่าแล้ว ครูต้องเป็นไข้แน่ๆ ถึงว่าหน้าแดงเชียว"

                  ฉันตกใจเล็กน้อย เด็กหนุ่มตัวสูงกว่าก้มลงมาแตะหน้าผากฉันใบหน้าของเราค่อนข้างจะใกล้กัน ฉันตกใจจนเสมองออกทางอื่น ตระหนักได้ว่าตัวร้อนขึ้นโดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะไข้หรือว่าเขินกันแน่

                  ฉันนิ่งเงียบปล่อยให้เด็กหนุ่มประคองฉันไปยังเตียง เขาจัดที่นอนให้ก่อนจะบอกกับฉันว่า "ครูนอนไปก่อนเลยครับเดี๋ยวหลังจากนี้ผมเฝ้าเอง"

                  ฉันดึงผ้าห่มขึ้นคลุมเพื่อบังใบหน้าประดับรอยยิ้มของเด็กหนุ่มที่ส่งมา

    ...

                  ฉันหลับๆ ตื่นๆ ด้วยความร้อนจากไข้ที่ขึ้นสูง รู้สึกอึดอัดไปทั่วร่างกายฉันพยายามจะสลัดผ้าห่มออกจากตัว แต่รู้สึกว่าขยับแขนขาได้ไม่ถนัดราวกับถูกผีอำด้วยว่าทำอย่างไรผ้าห่มก็ไม่หลุดออกจากตัวสักทีฉันจึงรวบรวมสติเพื่อจะตื่นขึ้นจะได้นำผ้าห่มออก       ในตอนที่เปิดตาขึ้น สิ่งที่ฉันเห็นทำให้ฉันตกใจกลัว

                  ฉันเห็นธีรเดชที่จ้องมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าขมึงทึงในมือของเขาถือมีดเล่มเดิม ฉันพยายามจะดันตัวลุกขึ้นแต่ว่าทำไม่ได้เมื่อเบนสายตามองลงก็พบว่าฉันถูกมัดตัวติดอยู่กับที่นอน บนผ้าห่มผืนหนาที่อยู่บนตัวฉันมีเชือกถูกพันไว้หลายทบมันเป็นเชือกเส้นเดียวกับที่ธีรเดชเล่าว่าแม่ของเขาเคยใช้ ฉันตกใจในหัวพยายามปะติดปะต่อว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่ร้องถามออกไป

                  "ธีรเดช เธอจะทำอะไร"

                  เด็กหนุ่มไม่ตอบคำ เขาย่างสามขุมเข้ามาเอามือข้างที่ว่างอยู่กุมคอของฉันไว้ฉันหวีดร้องพยายามดิ้นหลบ ทำให้เด็กหนุ่มออกแรงกดมันไม่แรงขนาดที่ทำให้ขาดอากาศแต่ก็แรงพอที่จะทำให้ฉันที่ถูกมัดอยู่ขยับร่างกายช่วงบนไม่ได้เขาจ้องมาที่ฉันด้วยใบหน้าพินิจพิเคราะห์ เด็กหนุ่มจับจ้องอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น

                  "ครูครับ ผมขอโทษ"

                  ฉันงงงัน เลยรีบพูดขึ้น "แก้มัดครูสิแล้วมีอะไรก็ค่อยว่ากัน" แต่เด็กหนุ่มดูเหมือนจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ฉันพูดเลย

                  "ผมบอกครูแล้วใช่มั้ยว่า อะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาทางประตูนั้นเป็นอันตราย"เขาพูดต่อไปด้วยสีหน้าจริงจัง ในหัวฉันเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว

                  สัตว์เลี้ยงผ่านเข้ามาทางประตูหน้า...

                  พวกมันเป็นไข้...

                  พวกมันเริ่มกลายสภาพ...

                  "ครูผ่านเข้ามาทางประตูนั้น" เด็กหนุ่มพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

                  เหมือนกับได้ยินเสียง 'คลิก' ดังก้องในหัวร่างกายของฉันสั่นเทาโดยไม่อาจควบคุม เหงื่อกับน้ำตาพรั่งพรูออกมา ในหัวแว่วเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของแมวตัวนั้นซ้ำๆฉันละล่ำละลักบอกธีรเดช

                  "อย่าทำอะไรครูเลย ครูไม่ใช่หมาใช่แมว ครูอาจจะไม่กลายสภาพก็ได้ ขอร้องล่ะปล่อยครูเถอะ" ฉันขอร้องอ้อนวอนเขาในหัวพยายามคิดหาเหตุผลที่จะทำให้เขาปล่อยฉันออกไปจากตรงนี้ พยายามนึกหาอะไรก็ตามที่จะทำให้รอดไปได้

                  "นั่นแหละครับครู ใช่ครับที่ครูไม่ใช่หมาใช่แมวผมถึงไม่ฆ่าครูตั้งแต่ทีแรกที่ครูเข้ามาในห้อง" เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆเขากล่าวต่อ "เพราะแบบนี้แหละครับที่ทำให้ผมพยายามจะพิสูจน์ให้แน่ใจว่าครูจะไม่กลายสภาพ"

                  "เธอจะพิสูจน์ยังไง" ฉันร้องตะโกนใส่หน้าลูกศิษย์ที่ตอนนี้อยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาที่เร่งรัวถี่ขึ้น

                  "เลือดของครูครับ" เด็กหนุ่มกล่าวขึ้น "ผมจะกรีดที่คอของครูเบาๆ ถ้าเลือดออกมาเป็นสีแดงผมจะปล่อยครู ถ้าออกมาเป็นสีดำ..." เขาโน้มตัวมาข้างหน้าขยับตัวขึ้นมาทับตัวของฉันเอาไว้ ไม่ให้ฉันดิ้นรนขัดขืนได้อีก

                  ร่างเขาบังแสงไฟเพดานไว้ทำให้เงาปกคลุมใบหน้าเด็กหนุ่มจนฉันเห็นเพียงดวงตาวาวโรจน์เสียงของเขาเบาราวกับเสียงกระซิบ

                  "ผมแนะนำว่าอย่าดิ้นนะครับ เพราะแผลอาจจะลึกกว่าที่คิด" ก่อนจะขยับมีดในมือเข้าใกล้ลำคอฉันช้าๆ

                  "พร้อมนะครับ"

                  "3"

                  "2"

                  "1"

    ...

                  'มีรายงานแจ้งว่า วันนี้เวลา 18.00 นาฬิกาทางตำรวจเข้าตรวจค้นที่พักแห่งหนึ่งในย่าน ก. เนื่องจากมีรายงานการหายตัวไปของนายธีรเดชชาญประกอบ นักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนมัธยมธาตรีวิทยา และนางอุไรวรรณ ชาญประกอบผู้เป็นมารดา รวมทั้งนางสาวธัญทิพย์ เอี่ยมฤทัยคุณครูประจำชั้นที่มาเยี่ยมบ้านหลังจากการหายตัวไปของสองแม่ลูก

                  ทางตำรวจพบชายหนุ่มถือของมีคมในที่พักจึงเข้าควบคุมตัวไว้ภายหลังระบุตัวได้ว่าเป็นนายธีรเดช ชาญประกอบ ทางตำรวจทำการสืบสวนเบื้องต้นแต่ชายหนุ่มไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมให้ปากคำได้ขณะนี้จึงควบคุมตัวนายธีรเดชเอาไว้ก่อน

                  ทางตำรวจยังคงอยู่ในขั้นตอนสืบหานางอุไรวรรณ ชาญประกอบ และนางสาวธัญทิพย์เอี่ยมฤทัย

                  ผู้ที่มีเบาะแสหรือพบเห็นบุคคลทั้งสอง สามารถแจ้งมาได้ที่ xx-xxx-xxxx เพื่อให้ทางตำรวจทำการสืบหาต่อไป'

     

    เยี่ยมบ้าน - จบ

    ปล. พยายามจะลงเรื่องให้ได้ปีละครั้ง เอาเรื่องนี้ส่งท้ายปีละกัน

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in