"ในทุกวันนี้ ประเทศไทยมีศิลปะการแสดงและวัฒนธรรมจากชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก การที่คนเราทั้งหลายรับวัฒนธรรมข้างนอกเข้ามา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่แปลก เพราะนั่นคือธรรมชาติของโลกมนุษย์ หลายคนกล่าวกันว่าศิลปะวัฒนธรรมของไทยกำลังจะตายไปทุกที แต่สำหรับครูคิดว่ามันไม่ใช่ ศิลปะวัฒนธรรมไทยของเรายังคงอยู่ อย่างน้อยก็ยังมีพวกกลุ่มคนที่ยังคงอนุรักษ์เอาไว้ เพราะมันเป็นสิ่งงดงามที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็นสิ่งที่เราเห็นและหาดูจากที่ไหนไม่ได้ยกเว้นประเทศของเราเอง นี่คือความมหัศจรรย์ของการเกิดและใช้ชีวิตบนแผ่นดินไทย ........เอ้า...หมดเวลาเรียนแล้ว ทุกคนกลับบ้านได้" หลังจากที่ผมพูดจบ เด็กนักเรียนแต่ละคนเก็บของใส่กระเป๋าและไหว้ลา
ผมเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง นั่งตรวจการบ้านที่ยังคงค้างคา เด็กบางคนเขียนด้วยลายมือที่
เรียบร้อยสวยงาม บางคนเขียนลายมือไก่เขี่ย ผมไม่เข้าใจ พวกเขาจะรีบเขียนไปทำไม ผมคาดหวังให้พวกเขาเขียนด้วลายมือที่งดงาม อ่านได้ง่าย เพราะการเขียนด้วยลายมือที่เรียบร้อยและงดงามนั้น ทำให้มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่วอกแวก เป็นการฝึกสมาธิไปในตัว เมื่อใครอ่านมาเห็นก็ชมเชย และในบางครั้งถือว่าเป็นการฝึกจดจำคำและประโยคที่เราได้เรียนรู้ไปอีกด้วย
"อาจารย์ขา....สวัสดีค่ะ" ผมเงยหน้าขึ้นจากก้มตรวจการบ้าน เห็นกลุ่มเด็กนักเรียนหญิง 2-3 คนเดินเข้ามาภายในห้อง ผมยิ้มให้กับพวกเธอ พวกเธอเป็นเด็กรุ่นใหม่ของผม เป็นต้นกล้าแห่งใหม่ของวงการนาฏศิลป์ไทย
"กินอะไรมาแล้วหรือยังล่ะ"
"กินมาแล้วค่ะ อาจารย์....วันนี้ขอฝากตัวด้วยนะคะ"
"อืม ตามสบายเลยนะ...นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนนะ เดี๋ยวหกโมงเย็นจะเริ่มซ้อมกัน" หลังจากจบการสนทนา ผมนั่งตรวจการบ้านของเด็กไปเรื่อยๆ พลางก็คิดถึงการแสดงของวันพรุ่งนี้
วันพรุ่งนี้เป็นงานเปิดโลกกิจกรรมการศึกษา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทางจังหวัดจัดขึ้นเพื่อให้โรงเรียนภายในจังหวัดส่งนักเรียนเข้าประกวดในกิจกรรมการเรียนด้านต่างๆ อาทิเช่น การคัดเลือกคนเก่งประจำจังหวัด ประกวดคำขวัญ กลอน คัดลายมือ ฯลฯ โดยในปีนี้ทางโรงเรียนของผมเป็นเจ้าภาพ
ดังนั้น ผู้อำนวยการมอบหมายให้ผมจัดการแสดงเปิดงาน ผมคัดเลือกนักเรียนที่มาแสดงและเตรียมซ้อมภายในงานนี้เป็นเวลาหลายเดือน และวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการซ้อมแล้ว
หกโมงเย็นมาถึง พวกเด็กนักเรียนเริ่มมากันครบ บ้างก็จับกลุ่มนั่งคุยนั่งเล่น บ้างก็นั่งกินขนม บ้างก็เริ่มซ้อมเพลงที่จะบรรเลงของวันพรุ่งนี้ ผมหยุดตรวจการบ้าน ลุกขึ้นจากที่นั่ง และเดินไปสั่งให้
นักเรียนทุกคนประจำตำแหน่งเครื่องดนตรีของตัวเอง ส่วนนักเรียนที่รำไทย ให้ไปนั่งพับเพียบใกล้ๆ กับโต๊ะของผม
"เอาล่ะ..เอาล่ะ พรุ่งนี้ตามคิวของการแสดง เพลงแรก ลาวดวงเดือน..ทุกคนจำโน้ตได้หมดแล้วใช่ไหม...เอาล่ะ ไหนขอฟังหน่อย" ผมให้จังหวะ นับหนึ่ง สอง สาม พวกเด็กนักเรียนเริ่มบรรเลง แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาขึ้นต้นเพลงไม่พร้อมกัน ผมสั่งให้หยุด
"พวกเธอ!! วันนี้วันสุดท้ายแล้วนะ ตั้งใจทำให้เต็มที่หน่อยสิ พรุ่งนี้คือการแสดงจริงๆ นะ อย่าทำเป็นเล่นไป ถ้าวันจริงเริ่มต้นกันไม่ดี มันก็ไม่มีโอกาสแก้ไข งานก็เสียไปหมด เอาล่ะ...เริ่มใหม่อีกครั้ง"
หลังจากนั้นผมนับจังหวะใหม่ คราวนี้พวกเขาทำได้ดี ขึ้นต้นพร้อมเพรียงกัน บรรเลงเพลงได้อย่างลื่นไหล ผมหลับตาและจินตนาการถึงความงามที่ทรงคุณค่าของดนตรีไทย
หลังจากที่ซ้อมจนจบ ผมปล่อยให้นักเรียนไปพักผ่อนก่อนจะเริ่มซ้อมครั้งสุดท้ายของวันนี้ ผมเข้าห้องน้ำทำธุระเสร็จแล้วเดินออกมา บรรยากาศข้างนอกมืดจนมองไม่เห็นสนามหญ้า
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง ผมเห็นนักเรียนผู้หญิง ม.ปลาย ผิวงามหุ่นดีคนหนึ่งยืนหันหน้าไปหาทางสนามหญ้าหน้าเสาธง ผมจำเธอได้ดี เธอเป็นหัวหน้าวง เธอยืนเหม่อมองอยู่อย่างนั้นอยู่นาน เหมือนว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง ผมอดคิดไม่ได้ว่าเธอกำลังคิดอะไร จึงเดินเข้าไปทัก
"คิดอะไรอยู่เหรอ" เธอมีอาการสะดุ้งเล็กน้อยและหันหน้ามาหาผม
"เออ..คุณครู..คือ..คือ...คือหนูกลัว...หนูกลัวพรุ่งนี้มันจะออกมาไม่ดี หนูเห็นเพื่อนๆ น้องๆ แต่ละคนยังเล่นกันผิดพลาด หนูกลัวว่ามันจะออกมาไม่ดี กลัวว่างานจะล่ม พวกเราซ้อมกันเป็นเดือนๆ แต่ต้องมาพังเพราะวันเดียว หนูไม่อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เลย กลัวจะออกมาไม่ถูกใจครู" เธอกล่าวด้วยเสียงสั่นๆ
"ไม่ต้องกังวลไป...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด พรุ่งนี้ทำให้เต็มที่ อีกอย่าง..หนูเป็นเด็กรุ่นใหม่ของครู ครูรู้ว่าหนูเป็นหัวหน้า หนูแบกความรับผิดชอบไว้เยอะ ครูเข้าใจ หนูรู้ไหม ทุกครั้งที่ครูได้เห็นศิษย์แสดงกิจกรรมการร่ายรำและบรรเลงเพลงดนตรีไทยให้กับคนทั้งหลายได้ฟัง ครูก็ภาคภูมิใจที่มีเด็กรุ่นใหม่สนใจและซ้อมกันอย่างจริงจัง ได้แสดงออกให้คนทั่วไปได้เห็นได้ฟัง ทำให้คนได้รู้จักความเป็นไทย นั่นแหละ..คือความปรารถนาในชีวิตนี้ของครูล่ะ"
หลังจากนั้น ช่วงเวลาต่อมา ผมสั่งให้นักเรียนประจำที่และเริ่มซ้อมอีกครั้ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in