เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Seven rooms : 7 สิ่งเร้นลับในโรงเรียนHacker Dewdie
บทที่ 5 : เจ็บป่วยที่ไม่มีวันหาย

  •           หลังจากประตูห้องเรียนศิลปะและนาฏศิลป์ถูกปิดสนิท ผมเดินลงบันไดของอาคารเรียน 1 เพื่อสำรวจห้องถัดไป ผมได้ยินเสียงดนตรีไทยตลอดตั้งแต่ก้าวขาลงบันไดขั้นแรกจนถึงขั้นสุดท้าย หลังจากนั้นเสียงเพลงดนตรีไทยค่อยๆ เงียบลง  

               ห้องถัดไปที่ผมและลุงบุญส่งจะสำรวจคือห้องพยาบาลของโรงเรียน เป็นห้องที่มีขนาดประมาณครึ่งห้องเรียน รองรับนักเรียนที่เจ็บป่วยได้ประมาณ 5-10 คน 

               เมื่อประตูของห้องพยาบาลถูกเปิดออก ผมเห็นสภาพสิ่งของภายในไม่ค่อยชัดเจนมากนัก ทางขวามือของประตูห้อง มีโต๊ะประจำตำแหน่งของครูเวรห้องพยาบาล  ด้านหลังของโต๊ะครูเวรพยาบาล มีตู้ไม้ขนาดความสูงประมาณ 1.8 เมตร จำนวน 2 ตัว แบ่งพื้นที่เป็นสองชั้น ชั้นบนเก็บกล่องยา ชั้นล่างเก็บเครื่องมือเวชภัณฑ์ต่างๆ  เมื่อเดินเข้าไปในห้องพยาบาล เดินเข้าไปลึกอีกหน่อย มีเตียงขนาด 3 ฟุตเรียงในแนวเดียวกันจำนวน 3 เตียง เป็นเตียงสำหรับรองรับนักเรียนที่เจ็บป่วยที่ไม่สามารถเรียนได้ตามปกติ ถัดจากเตียงห้องพยาบาลเป็นพื้นที่ด้านหลังห้อง มีม่านสีเขียวขนาดใหญ่กั้นระหว่างกลางห้องและหลังห้อง บริเวณหลังห้องมีเคาเตอร์ อ้างล้างจาน อุปกรณ์เครื่องมือจาน ชาม ช้อน ส้อม เครื่องมือเครื่องครัวต่างๆ ของครูเวรห้องพยาบาล 

               ผมเดินตามหลังลุงบุญส่งสำรวจห้องพยาบาล อันดับแรก ผมสำรวจโต๊ะครูเวรพยาบาล ผมเห็นสมุดบันทึกรายงานผู้ใช้บริการเปิดวางอยู่โต๊ะเจ้าหน้าที่ ผมดูผู้ใช้บริการอย่างคร่าวๆ พอสรุปได้ว่าภายในเดือนนี้มีนักเรียนใช้บริการ 20 กว่าคน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่เจ็บป่วยจากการเป็นไข้ ปวดท้อง ท้องเสีย แต่เมื่อวันเปิดเรียนวันแรกที่ผ่านมาไม่นานนี้ มีนักเรียนในห้องเรียนเดียวกัน ทะเลาะวิวาทชกต่อยจนทั้งคู่อาบไปด้วยเลือด แต่สุดท้ายจึงมาคืนดีกันในห้องพยาบาล เด็กๆ ก็อย่างนี้แหละ อาจมีเรื่องชกต่อยกันเป็นเรื่องธรรมดา สุดท้ายแล้วก็มาคืนดีกัน ผิดกับผู้ใหญ่บางท่าน ถึงกับต้องแค้นฝังลึกและบาดหมางจนมองหน้ามองตากันไม่ได้เลยทีเดียว

               หลังจากนั้นผมเดินสำรวจในห้องต่อไปเรื่อยๆ สำรวจตู้ไม้บรรจุยา สำรวจเตียง สำรวจที่นอน ก็ไม่ได้พบร่องรอยหรือความผิดปกติแต่อย่างใด ทุกอย่างอยู่ในสภาพปกติ

               ผมเดินสำรวจหลังห้องพยาบาล  มีจานชามวางเรียงกันเป็นระเบียบอยู่บนเคาน์เตอร์ ช้อนส้อมเก็บไว้ในแก้วเซรามิคอย่างดี ภาชนะทุกอย่างใสสะอาด บ่งบอกได้ว่าครูเวรพยาบาลคนนี้รักษาความสะอาดและจัดวางเข้าของเครื่องใช้เครื่องครัวในห้องพยาบาลเป็นอย่างดี  

               แต่ผมสังเกตเห็นน้ำจากก๊อกน้ำค่อยๆ ไหลหยดลงในอ่างล้างจานทีละหยดสองหยด จนผมคิดว่าครูเวรพยาบาลปิดก๊อกน้ำไม่แน่นสนิทแน่ๆ ผมหมุนก๊อกน้ำ แต่ไม่ว่าจะหมุนขึ้นหรือหมุนลง น้ำเริ่มไหลพุ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ จนควบคุมไม่ได้ ผมรีบใช้มือขวาอุดหัวก๊อกน้ำเอาไว้ ส่วนมือซ้ายรีบหมุนก๊อกน้ำไปๆ มาๆ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร น้ำที่พุ่งออกมาไม่ยอมลดละเลย

               และแล้วน้ำที่ไหลออกมาค่อยๆ เปลี่ยนจนมีสีแดงคล้ำ มันไหลผ่านตามซอกมือขวา และตกลงสู่ก้นอ่างล้างจาน  นอกจากนี้มันเหนียวหนืดเหมือนกับน้ำเชื่อม จมูกของผมเริ่มได้กลิ่นคาว เมื่อมองลงในอ่างล้างจาน ผมเห็นสิ่งที่เหมือนกับวุ้นสีเนื้อผสมกับน้ำสีเลือด เศษชิ้นเนื้อสีแดงเหล่านั้นลอยท่วมอ่างล้างจาน และเปรอะเปื้อนไปรอบๆ บริเวณ



  •           "ลุงบุญส่ง...ลุงบุญส่ง  ช่วยผมด้วย"

              "มีอะไรเหรอหลาน"

              ในไม่ช้าลุงบุญส่งวิ่งมาหาผมอย่างไว ผมรีบอธิบายเหตุการณ์ของน้ำในอ่างล้างจานที่ไหลไม่หยุด ลุงบุญส่งใช้มือหมุนก๊อกน้ำอ่างล้างจาน  น้ำสีเลือดเริ่มไหลช้าลง และหยุดไปในที่สุด สิ่งที่อยู่ในอ่างล้างจานค่อยๆ ระบายไหลลงท่อจนหมด แต่สิ่งที่ผมเห็นตอนน้ำระบายลงท่อ มันไม่ใช่น้ำสีเลือดและวุ้นสีเนื้อเหมือนอย่างที่ผมเคยเห็น แต่มันเป็นน้ำใสๆ   แล้วสิ่งที่ผมเห็นเมื่อสักครู่มันคืออะไร ?

              ผมหยิบผ้าขี้ริ้วที่พาดตรงเหล็กดัดของหน้าต่างมุมห้องมาเช็ดหยดน้ำรอบๆ อ่างล้างจานจนแห้งสนิท และหลังจากนั้นจึงนำไปตากไว้ที่มุมห้องตามเดิม ส่วนลุงบุญส่งขอตัวเดินสำรวจกลางห้องพยาบาลอีกครั้ง

              ผมมีความรู้สึกแปลกประหลาด
              ผมรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจ้องมองผมจากข้างนอกตัวอาคาร ผมมองผ่านกระจก ตรงไปที่ที่ผมจับความรู้สึกนั้นได้ ผมเห็นผู้ชายผมสั้น สวมเสื้อกางเกงนักเรียนของโรงเรียน มีใบหน้าซีดเซียว ยืนนิ่งๆ และจ้องมองตรงมาทางที่ผมโดยไม่กะพริบตา และไม่นานเขาก็หายตัวไปกับความมืด ปล่อยให้ผมงุนงงว่า เขาคือใคร ?  เขาเป็นใคร ? 

               "ฮื้ออ..งืออ..อืออ" 

               ผมได้ยินเสียงคนร้องไห้อยู่กลางห้องพยาบาล ผมรีบเดินไปกลางห้องพยาบาลโดยทันที ผมเห็นเด็กนักเรียนผู้หญิงผมยาว คงเป็นเด็กนักเรียนอายุ 17-18 ปี ใส่เสื้อนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเปรอะด้วยรอยเลือดสีแดงคล้ำ นั่งบนเตียงห้องพยาบาล โดยหันหลังให้กับผม  แต่เบื้องหน้าของเธอมีลุงบุญส่งยืนก้มหน้ามองเธอด้วยสายตาเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน

               "ยังคงร้องไห้อีกแล้วใช่ไหม" ลุงบุญส่งพูดขึ้นมาอย่างลอยๆ 

               "....."   เด็กคนนั้นหยุดร้องไห้ แล้วก็กอดขาลุงบุญส่ง เธอเอาหัวแนบกับขาของแก ทำให้ผมเห็นใบหน้าของเธอได้เพียงเล็กน้อย ใบหน้าของเธอดูคุ้นตาเป็นอย่างมาก เหมือนกับผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน "หนูไม่อยากเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องมาเกิดขึ้นกับหนู หนูไม่เข้าใจ เพราะผู้ชายนั่นแหละ ทำไมพวกผู้ชายเอาแต่ได้ ไอ้พวกผู้ชายเฮงซวย"            

               เมื่อลุงบุญส่งได้ยินดังนั้น แกขยับตัวเล็กทำให้เด็กผู้หญิงปลดมือออกจากขาลุงบุญส่งอย่างอัตโนมัติ หลังจากนั้นแกจึงหย่อนตัวเองนั่งลงบนเตียงอยู่ข้างๆ ของเด็กผู้หญิงคนนี้  

               "หนูเอ๋ย เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว ทำใจหน่อยนะ...."                    

               "หนูยังทำใจไม่ได้ ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ ทำไม ทำไม งื้อ..อือ...อืออ" 

               "...." 

  •   
                "ลุงๆ ช่วยเพื่อนหนูด้วย..." ผมเงยหน้าขึ้นมา พบเด็กนักเรียนผู้หญิงสามคนวัยมัธยมตอนปลายทักทายผมในยามบ่ายของวันหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมยุ่งกับการปลูกพืชพักสวนครัวข้างอาคารเรียน 1

               "มีอะไร" ผมตอบด้วยอาการไม่เต็มใจจะตอบ แล้วก้มหน้าก้มตาลง ใช้เสียมในมือขุดหลุมต่อไป

               "เพื่อนหนูอยู่ในห้องน้ำตั้งแต่ตอนพักเที่ยง ตอนนี้ยังไม่ออกมาเลย " ผู้หญิงอีกคนกล่าวเสริม "หนูตะโกนเรียกเขาหลายครั้งแล้ว แต่เพื่อนหนูไม่ขานเสียงตอบรับมาเลย ลุง..ได้โปรด ช่วยเพื่อนหนูด้วย ป่านนี้เขาอาจจะเป็นลมในห้องน้ำก็ได้" 

               ผมปาดเหงื่อและใช้เวลานึกคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

               "เธออยู่ที่ไหน"

               "ห้องน้ำ หลังอาคารเรียน 1 ค่ะ"

               หลังจากที่เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งพูดจบ  ผมทิ้งเสียมและลุกขึ้นยืน เก็บเมล็ดพืชผักสวนครัวลงในกระเป๋ากางเกง และรีบวิ่งไปยังห้องน้ำหลังอาคารเรียน 1 โดยทันที

               ผมรู้ว่า...นี่เป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง การที่เด็กคนหนึ่งติดอยู่ในห้องน้ำเป็นเวลา 1 ชั่วโมงโดยไม่มีเสียงตอบรับจากภายในห้องน้ำ นั่นก็แปลว่าเด็กคนนี้อาจจะเกิดอุบัติเหตุภายในห้องน้ำอย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าพวกเด็กเขาพูดจริงๆ ไม่ได้อำผมเล่น  เพราะสีหน้าของเด็กทั้งสามคนคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด มันเป็นสีหน้าที่บอกให้เห็นว่าพวกเธออยู่ในภาวะตื่นตระหนกและลุกลี้ลุกลนเป็นอย่างมาก

               ทันทีที่ผมมาถึงห้องน้ำ มีนักเรียนหญิงหลายคนรวมกลุ่มหน้าห้องน้ำจำนวนหนึ่ง ผมแหวกกลางกลุ่มของเด็กนักเรียนเหล่านั้น เมื่อผมมายืนตรงหน้าประตูห้องน้ำ ผมเอามือทาบประตูห้องน้ำและแนบหูฟังเสียงภายใน ผมไม่ได้ยินเสียงจากภายในเลย ผมจึงเอามือตบประตู ตะโกนเรียกคนภายในห้องน้ำ 

               ไม่มีเสียงตอบรับ           

               ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ผมเอามือตบบานประตูหลายครั้ง จนผมมั่นใจว่าคนในห้องน้ำคงไม่รู้สึกตัวแน่ๆ ผมตัดสินใจพังประตูด้วยการถีบ การทำอย่างนี้จะทำให้กลอนประตูห้องน้ำพัง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ ชีวิตของคนที่อยู่ในห้องน้ำสำคัญกว่า

               ปัง!! เสียงพังประตูดังลั่น ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกอย่างรุนแรง  

               ภาพที่ปรากฏเป็นภาพที่สะเทือนใจเป็นอย่างมาก  มีเด็กนักเรียนผู้หญิงผมยาวนั่งข้างส้วมแบบนั่งยอง เธอสลบไสลโดยมีผมปิดบังหน้าของเธอ ตัวของเธอพิงกับอ่างตักน้ำ มีเลือดนองเต็มพื้น และยังเปื้อนเสื้อและกระโปรงของเธอ ที่ในมือเธอ เธอกำลังประคองเด็กทารกที่มีสายรกติดอยู่   เด็กทารกคนนั้นไม่กระดิกตัวเลย

               ผมไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อนในชีวิต ผมไม่เคยเห็นคนที่นอนจมอยู่ท่ามกลางกองเลือด  ผมพยายามทำใจให้กล้าแข็ง เดินผ่านประตูห้องเข้าไป ก้มตัวลงไปเขย่าร่างของเด็กผู้หญิงคนนี้  เธอไม่มีสติเลย ผมตบเบาๆ ที่ใบหน้าของเธอ 2-3 ครั้ง เธอไม่ตอบสนองกับผม 

               ไม่รอช้า!! ผมใช้มือทั้งสองข้างอุ้มร่างของเด็กนักเรียนหญิงและทารก พยายามประคองร่างให้อยู่ภายใต้อ้อมแขน และรีบวิ่งไปยังห้องพยาบาลอาคารเรียน 1 โดยเร็วที่สุด กลุ่มนักเรียนที่ยืนออกันหน้าห้องน้ำหลีกทางให้และรีบวิ่งตามหลังผมไปติดๆ ในระหว่างทาง ผมมีความรู้สึกได้ว่าเธอชำเลืองตามองมาที่ผม ผมจำเธอคนนี้ได้เป็นอย่างดี เธอเป็นนางรำไทยของโรงเรียน เธอผ่านกิจกรรมการแสดงมามากมาย ทำให้ผมจำใบหน้าของเด็กนักเรียนผู้หญิงคนนี้ได้ดี แต่ทำไมมาตกอยู่ในเหตุการณ์นี้
     
               เมื่อผมอุ้มเธอเข้ามาในห้องพยาบาล ครูผู้หญิงที่เป็นเวรห้องพยาบาลอกสั่นหวั่นไหว ทำตัวอะไรไม่ถูก ผมรีบวางเด็กลงบนเตียงที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อครูเวรพยาบาลได้สติจึงรีบเข้ามาดูร่างของเด็กทันที ครูเวรพยาบาลจับต้องแตะเขย่าเนื้อตัวของเธอ เธอนิ่งมาก ในไม่ช้าห้องนี้ตกอยู่ในความมืด เด็กนักเรียนทั้งหลายเข้ามามุงดูหน้าห้องพยาบาลมากขึ้น 

               "พี่บุญส่งรีบเรียกรถพยาบาลเร็วเข้า!!  เด็กเสียเลือดเป็นอย่างมาก" ครูพยาบาลตะโกนลั่นห้อง
  •            "หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ....เธอจากไปแล้ว"  นั่นคือคำพูดครั้งสุดท้ายของของบุรุษที่สวมชุดกาวน์ ผมแทบจะสิ้นลมทันที ทั้งผมและครูเวรห้องพยาบาลพยายามส่งนักเรียนคนนี้จนถึงห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ความพยายามนั้นก็ไม่มีค่า ไม่มีบุญบารมีใดๆ ยื้อชีวิตของเธอเลย ทุกๆ อย่างที่ทำสูญสลาย ถ้าผมเจอเด็กเร็วกว่านี้ก็คงจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้หรอก

                ผมทิ้งก้นลงบนที่นั่งของหน้าห้องฉุกเฉินด้วยอาการสุดเศร้า มันดูเหมือนจะกระแทกตัวลงบนเก้าอี้อย่างหนักหน่วง ผมสูดลมหายใจลึกๆ และเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ชีวิตของคนเรามันสั้นแค่นี้เองเหรอ ความตายมันอยู่ใกล้แค่เอื้อมเอง บางทีเด็กคนนี้ก็ควรอยู่บนโลกใบนี้ให้นานกว่านี้หน่อยด้วยซ้ำไป 

                "ฮือ...งื้อ...งือ" 

                ผมรู้สึกเหมือนมีใครบางคนร้องไห้ข้างๆ ผม เมื่อผมหันหน้าไปหาที่มาของเสียง พบเด็กนักเรียนผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องไห้ เธอใส่เสื้อ-กระโปรง นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย นั่งบน
    เก้าอี้ที่ิติดกับที่นั่งของผม ผมพยายามจ้องมองใบหน้าเด็กคนนี้ แต่ผมยาวๆ ของเธอปิดบังใบหน้าทำให้ผมมองเห็นไม่ชัดเจน

                "ร้องไห้ทำไมเหรอหนู" 

                "หนู..หนู หนูไม่เหลืออะไรอีกแล้ว" 

                "ใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น"

                "หนูตายแล้ว" หลังจากที่ฟังคำพูดจบ เธอหันหน้ามาหาผม ทำให้ผมตกใจเป็นอย่างมาก มันเหมือนกับมีค้อนปอนด์ทุบเข้าที่ใบหน้าผมอย่างรุนแรง เพราะว่าหน้าตาของเธอเหมือนกับเด็กนักเรียนผู้หญิงที่ผมอุ้มมาส่งโรงพยาบาล มาก่อนหน้านี้ "หนูไม่อยากตาย......หนูไม่อยากตาย ถ้าหนูไม่ได้กินยาขับเด็กออกมา หนูคงไม่ตายอย่างน่าสมเพชแบบนี้หรอก"

                "หนูคือเด็กคนนั้นใช่ไหม" ผมพูดไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ "แล้วทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"

                "มันคือความจำเป็น...." เธอหลบสายตาผม  "...ก็เพราะไอ้บ้านั่น ไอ้ผู้ชายแสนเลว เขาบอกว่าจะรักหนู จะดูแลหนูเป็นอย่างดี จะรักหนูเท่าชีวิต จะรักหนูจนตาย หนูถึงยอมมีอะไรกับเขา แล้วพอหนูได้กับเขา เขาก็ทิ้งหนู เขาก็ทำอย่างนี้เหมือนกับคนทั่วๆ ไป แล้วเดือนต่อมาหนูก็ท้อง เขาก็ไม่รับเป็นพ่อของเด็ก แล้วลุงจะให้หนูทำยังไงกับชีวิตล่ะ" 

                 "ในเมื่อหนูไม่พร้อมจะเลี้ยงเด็ก เกิดมันคลอดออกมา มันก็ไม่มีพ่อ เงินจะเลี้ยงมันก็ไม่มี แล้วลุงจะให้หนูทำอย่างไร อีเด็กนี่ก็น่าจะไปให้พ้นๆ ก็ดีแล้วนี่นา" เธอพูดด้วยอารมณ์ดุดันราวกับว่าเธอไม่สนใจใยดีอะไรทั้งสิ้น ผมได้ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าเด็กใสๆ คนนี้มีเรื่องเครียดและกดดันมากมาย

                 "เพราะผู้ชายมันคิดง่ายเกินไป พวกผู้ชายก็มีแต่ได้กับได้ พวกเขาไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องแบกรับภาระอะไรเอาไว้ แล้วทำไมเขาไม่รับผิดชอบหนู หนูผิดอะไรที่หนูต้องมารับกรรมแบบนี้ ทำไม"

                "มันน่าสมเพชตัวเองเหลือเกิน ทั้งๆ ที่มีผู้ชายหลายร้อยคนมาชอบหนู มีคนมาจีบหนูเยอะแยะมากมาย แต่ทำไมหนูต้องยอมเขาคนเดียว หนูไม่เข้าใจตัวเองเลย ถ้าไม่มีไอ้หมอนั้นนะ หนูคงจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้ หนูคงไม่ตายอย่างน่าอนาถแบบนี้หรอก"

                สิ้นคำพูด เธอร้องไห้อีกครั้ง ผมได้แต่นั่งนิ่งถอนหายใจยาวๆ มองดูเด็กคนนี้ด้วยความเศร้า ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจเด็กยังไงดี        
  •             "เลิกคิดถึงเขาเถอะ เขาไม่กลับมาแล้ว" ผมพยายามพูดให้ความหวังกับเธอ  "เรื่องมันผ่านไปแล้วก็แล้วกันไปเถอะนะหนู อย่าร้องไห้เลย" ลุงบุญส่งกล่าวกับเด็กนักเรียนหญิงชั้นมัธยมปลายที่อยู่บนเตียงคนนั้น โดยที่มีผมยืนอยู่ข้างหลังของคนทั้งสอง หลังจากนั้นไม่นานเด็กนักเรียนผู้หญิงก็หายตัวไป 

                  "เธอคือใครเหรอ"  ผมถามขึ้นมา

                  ลุงบุญส่งหันหน้ามาหาผม และจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง ผมรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก

                  "ไปห้องต่อไปกันเถอะ" ลุงบุญส่งพูดขึ้นมาอย่างลอยๆ ผมเองก็พยักหน้าตอบรับแก 

                   หลังจากที่ลุงบุญส่งปิดประตูห้องพยาบาล ช่วงระหว่างทางที่ผมและลุงบุญส่งกำลังเดินไปยังอาคารถัดไป ผมได้แต่ครุ่นคิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเด็กนักเรียนหญิงคนนี้ เธอยังมีอนาคตอีกไกล เป็นเด็กกิจกรรมที่มีความสดใส มีความร่าเริง หนทางของเขายังมีอะไรอีกมากมายที่รอเธออยู่ แต่ใครจะไปรู้ว่าต้องมาจบชีวิตด้วยการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างนี้

                   สำหรับคำว่าเรื่องเพศ โลกของเราใบนี้ก็ไม่ได้ยุติธรรมเท่าไหร่หรอก คนเราเกิดมาก็เลือกเพศไม่ได้ ในสังคมของมนุษย์เอง เพศหญิงเป็นฝ่ายที่ถูกรับการกระทำอยู่แล้ว มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ ก็ธรรมชาติมันสร้างมาแบบนั้น นั่นคือสิ่งที่เพศหญิงทั้งหลายต้องเจอ เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ พวกคุณผู้หญิงทั้งหลายก็ไม่รู้หรอกว่าคนที่เข้ามาหาจะมาไม้ไหน เขาจะมากอบโกยตักตวงอะไรก็บอกไม่ได้ จนกว่าธาตุแท้ถูกเปิดเผยออกมา ถ้าหากเป็นความจริงที่รับไม่ได้ สุดท้ายใครล่ะที่เป็นคนเสียใจ

                   คำว่ารับผิดชอบมันก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ผู้ชายพูดกันได้ทุกคน สิ่งที่เกิดขึ้นผู้ชายก็ไม่ได้เป็นฝ่ายตั้งท้องนี่นา แล้วจะต้องมารับผิดชอบอะไร พวกเขาได้แต่พูดว่าช่างมันก็จบแล้ว แต่ผู้ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำกลับต้องเจอผลกระทบต่อไปทั้งชีวิต ผู้ชายแบบนี้ยังมีค่าอยู่อีกไหม

                    แม้ว่าในโลกนี้มียาดีๆ มีวัคซีนดีๆ ที่สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ แต่ไม่มียาตัวไหนที่มารักษาเด็กคนนี้ได้เลย มันเป็นความเจ็บที่เธอต้องแบกรับมันไว้ กับคนๆ หนึ่งที่ได้ไว้วางใจและกระทำต่อเธอ เป็นความเจ็บที่ต้องพบและทนอยู่กับมันเพราะมันเป็นสิ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ และเป็นความเจ็บที่จะยังทนทุกข์ต่อไปเพราะคนที่กระทำก็ไม่ได้เหลียวมามองเธอเลย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in