เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Slowly consume, shit quick!8dashslash
Talking to stranger
  •           ในที่สุดก็อ่านหนังสือจบอีกเล่มแล้วจนได้ในปีนี้... ประทับใจในตัวเองมากค่ะ แม้ว่าเล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มที่อ่านมาประมาณห้าเดือนเหมือนกัน (พุสไม่ออกส์เลยกร่ะ) สำหรับเล่มนี้ถ้าดูจากแค่ชื่อเรื่องอย่างเดียวอาจจะคิดว่าเป็นหนังสือแนวพัฒนาตัวเองอะไรแนว ๆ นั้นหรือเปล่า? 5555555 ก็คือเนื้อหามันไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลยค่ะ

             หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ต้องการสอนเราว่าเราจะทำความรู้จักกับคนแปลกหน้ายังไง เทคนิคการเข้าไปทักทายคนอื่นก่อนคืออะไร จะคุยกับคนแปลกหน้าให้ไหลลื่นควรทำอะไรบ้าง แต่เค้าจะทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เอ๊ะ การที่เราคุยหรือรู้จักกับคน ๆ หนึ่งที่เราคิดว่าเราน่าจะรู้จักหรืออ่านเค้าออกระดับนึงเนี่ย จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราเข้าใจว่าเรารู้จักเค้าอะ มันใช่ตัวเค้าในแบบที่เค้าเป็นจริง ๆ หรือเปล่า สิ่งที่ทำให้รู้สึกแปลกใจก็คือว่ามันไม่ได้แค่การพยายามมาอธิบายว่า "คนแต่ละคนคือปัจเจกและเราไม่มีทางเข้าใจคนอื่นได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างนั้นอยู่แล้ว" อย่างที่หนังสือที่ไตเติ้ลประมาณนี้ชอบทำ
     
              อ่านไปเรื่อย ๆ เราจะพบว่านิยามของคำว่า stranger ในหนังสือเล่มนี้มันตีความได้หลากหลายมาก (คหสต) บทแรก ๆ มันอาจจะกล่าวถึงคนที่เป็นคนแปลกหน้าจริง ๆ ในชีวิตของเรา แต่บางทีบางบทก็กลับกลายเป็นว่า stranger ในที่นี้ก็คือตัวเราเองก็มี (ไม่ได้เกี่ยวกับปรัชญาอะไรนะ55555555 อาจจะเป็นกรณีที่เราเมาจนถึงจุดที่สมองในส่วนจัดการความทรงจำของเราไม่ทำงาน แล้วตัวเราโอเปอร์เรตตัวเองต่อแบบออโต้ไพลอท แล้วกลายเป็นว่าเราไม่สามารถการันตีได้ว่าเราทำอะไรลงไปบ้าง หรือสมองส่วนที่ใช้ในการตัดสินใจบางส่วนของเราถูกกดทับ บลาบลา) อ่านแล้วรู้สึกว่าเออ แม่ง เป็นการตั้งชื่อเรื่องที่แบบเจ๋งมาก ครอบคลุมได้ดีมาก นอกเหนือจากนี้นก็คือ cite เยอะได้ใจมาก เป็นการที่เอาข้อมูลที่ผ่านการรีเสิร์ชมาเล่าเรื่องใหม่ให้แม็ทช์กับสิ่งที่ผู้เขียนอยากเล่าที่แท้ ก็อ่านเพลิน ๆ ดี แต่อ่านไปนาน ๆ ก็ต้องหยุดไปหาอะไรอย่างอื่นอ่านเหมือนกัน แก้เลี่ยน (มันถึงได้ใช้เวลาอ่านนานอย่างนี้ไงล่ะ..)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in