บางทีคุณควรลองคุยกับใครสักคนดูนะ..
เป็นชื่อหนังสือที่ออฟเฟนซีฟพอสมควรสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนคุยเหมือนกัน 555555
แต่ถ้าได้อ่าน ก็จะรู้ว่าชื่อนี้แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว
เป็นเรื่องที่เราต้องคิดเลยว่า.. อืม.. หรือจริง ๆ ที่ผ่านมาที่เรามีปัญหาในชีวิตนี่ก็คือเพราะเราไม่ได้พูดคุยกับใครสักคน และคนที่เฉพาะเจาะจงคนนั้นที่เราพูดถึงอยู่นี้ก็คือจิตแพทย์นั่นแหละ
จริง ๆ ก่อนหน้าที่จะอ่านเล่มนี้ก็มีความคิดอยากไปเจอจิตแพทย์มาสักพัก
เราไม่ได้มีปัญหาถึงขั้นใช้ชีวิตไม่ได้ แต่แค่เริ่มรู้สึกว่ามันจะมีวิธีที่ทำให้เรารู้สึกใช้ชีวิตของตัวเองง่าย ๆ กว่านี้ไหมนะ เหมือนรู้ว่าตัวเองมีปัญหาแหละ พยายามแก้มาได้หลายเสต็ปแล้ว แต่ก็มาติดอยู่ตรงนี้
หนังสือเล่มนี้ทำให้ความคิดว่าเราจะไปหาจิตแพทย์บ้าง(ถึงจะไม่ได้ปัญหาหนักหนาอะไร)คงไม่เป็นไรมั้ง มันชัดมากขึ้น
หนังสือเล่มนี้คนเขียนเค้าเขียนจากชีวิตของตัวเองที่เป็นจิตแพทย์ และเล่าถึงเคสต่าง ๆ ที่เค้าเจอ รวมถึงปัญหาที่ทำให้ตัวเค้าเองที่เป็นจิตแพทย์ ต้องไปพบจิตแพทย์
พอเรามาเขียนย่อความอย่างนี้อาจจะดูไม่น่าอ่านเท่าไหร่ แต่จริง ๆ สนุกอยู่นะตอนที่อ่านอะ
ไม่รู้คนเขียนเค้าตั้งใจหรือเปล่า แต่นอกจากจะพัฒนาด้าน perception ของเราต่อจิตแพทย์แล้ว
ยังทำให้เรารู้สึกว่าควรใจกว้างกับคนอื่นมาก ๆ มาก ๆ กว่านี้อีกด้วยหลังจากได้อ่านเคสต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนี้ (แน่นอนว่าการที่เราเจอคนแย่ ๆ คนนึงในชีวิตเรา มันคงยากแหละที่เราจะเห็นใจเค้าได้ในทันที
แต่อยากให้ตัวเองเผื่อเสปซไว้บ้างเพราะคนทุกคนก็ต่างมีแบ็คกราวด์ของตัวเอง)
เราชอบตอน 1/3 สุดท้ายของเล่มที่สุด เป็นพาร์ทที่เราอ่านแปปเดียวมาก
(ไอ้ที่ใช้เวลาอ่านเป็นปีคือ 2/3 แรกของเรื่อง.. ซึ่งไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ แต่คือ resistance ในชีวิตมันเยอะ แล้วความอยากอ่านนี้มันก็ต้านอี resistance นี่ไม่ไหว.. ขี้เกียจแหละว่าง่าย ๆ แต่ครึ่งหลังไปไวมาก)
มีหลายตอนมากที่อ่านแล้วถึงกับน้ำตาไหล ซึ่ง.. กุก็งงว่าทำไม นี่มันไม่ใช่หนังสือ genre ซึ้ง
เหมือนดีใจที่คนที่เราได้มีโอกาสทำความรู้จักเค้าผ่านเคสของจิตแพทย์คนนี้ได้เจอ peace of mind
รวมถึงจิตแพทย์คนนี้เองก็ได้เจอ peace of mind ของตัวเองเหมือนกัน มันคงทำให้เรารู้สึกมีหวังมั้ง
ป.ล. อันนี้ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักแต่อยากพูดถึง
รู้สึกอิจฉาคนเขียนมากเลยพูดตรง ๆ ถ้าคนที่อ่านแล้วก็จะรู้ว่าคนเขียนไม่ได้เป็นจิตแพทย์มาตั้งแต่แรก แต่เป็น screen play writer ซึ่งแบบทำงานมาได้ซักพักแล้ว แล้วมาค้นพบตัวเองว่าอยากเป็นหมอ
ก็เลยกลับไปเรียนเอาดีกรีใหม่ ซึ่งแบบ เฮ่อ ดีจัง ที่ได้อยู่ในสังคมที่มีโอกาสให้คุณได้เริ่มได้ทำในสิ่งที่คุณอยากทำได้อะ คือรู้นะว่ามันก็ไม่ได้ง่าย แต่คงไม่ยากเท่าที่ไทยปะวะ5555555 ที่นอกจากจะต้องมีความสามารถ มีแรงเงิน คุณยังต้องมาโดนแรงจัดจ์จากคนรอบข้างคุณอีก ขนาดคุณไม่ต้องอยากไปเริ่มอะไรใหม่ แค่คุณเริ่ม อายุ 25, 30, 35 ก็จะต้องมาละ ไมล์สโตนว่าควรมีเงินเก็บเท่าไหร่ มีรถ มีบ้าน มีอะไรต่อมิอะไร ถามจริงเหอะ ถ้าไม่อยากมีเลยมันผิดตรงไหน (in case it is their choices, not how this f*cking system currently force them to have none of it อะ) รู้สึกว่าทุกอย่างบังคับให้เราต้องมีเงินมีโน่นมีนี่มาก มีเพื่อให้มาอยู่รอดในสังคมนี้ได้อะ (อยู่รอดที่คือเอาชีวิตรอดอะ) เหมือนมันเชปให้เราไม่คิดถึง possibility ด้านอื่น ๆ ในชีวิต เลยถ้าเรายังไม่มีเงินมากพอสำหรับสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
ซึ่งพื้นฐานในชีวิตของประเทศนี้คือกุต้องมีเงินเก็บขนาดไหนวะ ถามก่อน5555555555 ที่ต้องหามาซัพพอร์ทตัวเองอะ เท่าไหร่!!!!!!!!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in