เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I Know It's Real, I Can Feel It | TXT Fan Fictionsa week before valentine
A Tribute | #yeonbin
  • Rating: General Audiences

    Archive Warning (s) : None

    Fandom (s) : TOMORROW X TOGETHER

    Categories: M/M

    Relationship: YEONJUN/SOOBIN

    Characters: YEONJUN, SOOBIN

    Credit: Photo by Tom Barrett on Unsplash




    Work Title: A Tribute



    Notes: กาวล้วน ๆ ไหล ๆ ไปค่ะ (?)



    Disclaimer: บทความนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงแต่อย่างใด และไม่มีเจตนาสร้างความเสื่อมเสียแก่บุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงที่ถูกกล่าวถึงใด ๆ ทั้งสิ้น





    A Tribute

    YEONJUN/SOOBIN






    มีเรื่องเล่าขานมานานหลายชั่วอายุคนว่า พ้นจากหมู่บ้านไป ในป่าลึกที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลยากจะรู้ว่าสิ้นสุดตรงไหน บ้างก็ว่าเป็นหน้าผาสู่ทะเล บ้างก็ว่าเป็นอีกอาณาจักรที่มีทหารรักษาการณ์หนาแน่น แต่ไม่ว่าสุดปลายทางนั้นจะเป็นอย่างไร คนในหมู่บ้านของซูบินก็ไม่คิดค้นหาความจริง เพราะในป่าลึกนั้นเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตที่ชาวบ้านต่างหวาดกลัว

    จิ้งจอก

    คนแก่คนเฒ่าของหมู่บ้านเล่าว่ามันอยู่มานานเหลือเกิน อยู่มาก่อนที่มนุษย์จะเข้ามาตั้งรกรากอาศัยอยู่บริเวณนี้ ก่อนที่ทวดของซูบินจะลืมตาดูโลกเสียอีก ช่วงแรกที่มนุษย์ค้นพบผืนดินผืนนี้ มันเป็นป่าสุดลูกหูลูกตา บรรพบุรุษของเขาจึงค่อย ๆ แผ้วถางหญ้าสูงและต้นไม้มากมาย โค่นไม้ใหญ่ลง เอาต้นมันมาสร้างเป็นที่อยู่ หลังจากล้มไม้ไปหลายสิบต้น จิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น

    ตลอดระยะเวลาที่มนุษย์บุกรุกผืนดินแห่งนี้ สัตว์อื่น ๆ พากันหลบลี้ไปไกลเพราะหวาดกลัว แต่จิ้งจอกกับปรากฏขึ้นกลางชาวบ้านที่กำลังเลื่อยไม้อย่างแข็งขัน

    มันคร่าชีวิตคนในหมู่บ้านไปสิบคน เท่ากับจำนวนต้นไม้ที่ถูกล้ม ก่อนจะเผ่นเข้าป่าไป แม้จะมีคนไล่ตามไปก็ไม่ทัน และหลายคนหายสาบสูญไปในป่าผืนนั้น

    บรรพบุรุษคาดเดาว่ามันคงไม่ใช่จิ้งจอกธรรมดา อาจเป็นผู้พิทักษ์ป่า เป็นเทพ หรือปีศาจ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็มีพลังเหนือมนุษย์ธรรมดามากนัก เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียขึ้นอีกครั้ง พวกเขาจึงทำพิธีกราบไหว้มันเป็นเทพจิ้งจอก และทำข้อตกลงระหว่างกัน

    เทพจิ้งจอกกล่าวว่า หากส่งบรรณาการให้มันทุกยี่สิบปี และไม่รุกรานเข้ามาในเขตพื้นที่ที่มันกำหนดไว้ มันจะไม่มายุ่มย่ามกับมนุษย์อีก

    เขตที่จิ้งจอกทำไว้คือบริเวณที่มีลำต้นของต้นไม้ผูกไว้ด้วยเชือกสีแดงเส้นหนาเป็นแนวไปตลอดทาง

    แน่นอนว่าแม้จะทำข้อตกลงกันไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่เชื่อและมองว่าจิ้งจอกเป็นปีศาจร้ายอยู่ ช่วงสองสามปีแรกจึงยังมีคนพยายามเข้าไปในป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วพวกเขาก็หายไปตลอดกาล

    สิ่งที่หลงเหลือไว้มีเพียงสิ่งของที่คนพวกนั้นพกเข้าไปในป่า เช่น อาวุธ ซึ่งจะถูกวางทิ้งไว้ที่หน้าเขตของจิ้งจอกเสมอ

    หลังจากนั้น หมู่บ้านแห่งนี้จึงทำพิธีส่งบรรณาการเรื่อยมา

    บรรณาการที่ว่าคือมนุษย์... วัยยี่สิบปี และต้องเป็นคนที่เกิดในวันพระจันทร์เต็มดวง

    อนิจจา

    บรรณาการครั้งนี้คือซูบิน





    พิธีบูชาเทพจิ้งจอกเริ่มขึ้นตั้งแต่ยามที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีอมส้ม

    มันเรียบง่ายจนดูไม่ออกเลยว่าแท้จริงแล้วมนุษย์หวาดหวั่นต่อตัวตนของเทพจิ้งจอกมากเพียงใด ผู้นำพิธีเพียงแค่สะบัดกิ่งไม้ศักดิ์สิทธิ์ในอากาศสามครั้ง แล้ววาดมือชี้ให้ซูบินเดินเข้าไปในป่าทึบที่มองไม่เห็นทางออก

    ซูบินถอนหายใจ ใช่ว่าเขาไม่เตรียมใจ แต่พอจะเกิดขึ้นกับตัวเองจริง ๆ ความหวาดกลัวที่เคยจินตนาการไว้ก็ดูจะไม่เทียบเท่ากับวินาทีข้างหน้าเลย

    เขาได้ยินเสียงแม่กลั้นสะอื้นอยู่ไกล ๆ ชายหนุ่มกำมือแน่น นึกอยากวิ่งกลับไปปลอบมารดา แต่หากเขาทำเช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครรู้เลย ดังนั้นจึงทำได้เพียงก้าวเดินต่อไปด้านหน้า ผ่านเขตของจิ้งจอกเข้าไป

    ป่าทึบนั้นรกชัฏเสียยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ต้นไม้ขึ้นเบียดกันสูงจนแสงอาทิตย์ส่องลงมาไม่ถึง ถ้าก่อนหน้านี้ผู้นำพิธีไม่มอบตะเกียงเจ้าพายุให้เขา ซูบินคิดว่าตัวเองคงสะดุดรากไม้หน้าทิ่มตั้งแต่สามก้าวแรก

    ทุกอย่างเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าตัวเองที่เหยียบย่างลงบนผืนดิน บ้างก็เหยียบโดนใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ซูบินก้ม ๆ เงย ๆ หลบกิ่งไม้และเถาวัลย์ที่ห้อยต่ำลงมา พยายามมุ่งความสนใจไปที่เส้นทางข้างหน้า ไม่อยากรับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านของตัวเอง

    เขากลัว

    ใช่ กลัวมากด้วย

    ซูบินรู้ตั้งแต่อายุสิบห้าว่าตัวเองต้องเป็นเครื่องบรรณาการ เขาจำได้ว่าตอนที่รู้ความจริงเขาคิดจะหนีออกไปจากหมู่บ้าน แต่หากทำเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนอื่น ๆ ในรุ่นนี้ไม่มีใครที่อายุจะครบกำหนดและเกิดวันพระจันทร์เต็มดวงเหมือนเขาอีกแล้ว เทพจิ้งจอกเลือกแล้วว่าต้องเป็นเขา ชีวิตหลังจากนั้นของซูบินจึงอยู่กับการทำใจมาตลอด

    ทำใจว่าตัวเองคงจะไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเมื่ออายุครบยี่สิบ

    เขาเคยถามแม่ว่า บรรณาการคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรต่อไปหลังจากเข้าไปในป่า แม่เพียงแค่ส่ายหน้า ไม่มีใครรู้เลยว่าหลังพ้นเขตของจิ้งจอกไปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง

    เขาเคยคิดว่ามันอาจไม่มีอะไรน่ากลัว

    แต่เมื่อเข้ามาเผชิญกับความเงียบสงัดและความมืดไม่มีสิ้นสุดนี้แล้ว ความกลัวก็เกาะกุมเข้ามาในจิตใจของเขา

    ถ้าเขาหนีไป จะมีใครรู้ไหมนะ

    ถ้าวิ่งออกไปทางตะวันออกจนสุด จะเจออีกเมืองหนึ่งอย่างที่เขาเล่าลือกันหรือเปล่า หรือถ้าวิ่งไปทางเหนืออาจจะเจอทะเลก็ได้

    ซูบินเม้มริมฝีปากจนแก้มเป็นรอยบุ๋มลึก นัยน์ตาหวาดหวั่นล้อแสงไฟในตะเกียง

    ทันใดนั้น ลมสายหนึ่งก็พัดผ่านมา

    ตะเกียงในมือเขาดับลง ความมืดเข้าครอบคลุมพื้นที่ทันที

    ซูบินทิ้งตะเกียง ควานมือสะเปะสะปะไปในอากาศ เพราะมืดลงอย่างกะทันหันสายตาจึงยังไม่ชิน เขาเอื้อมไปแตะลำต้นของต้นไม้แล้วจึงพรูลมหายใจออกเล็กน้อย

    เมื่อเงยหน้ามองลอดทิวไม้ขึ้นไปก็เห็นหมู่ดาวเป็นประกายอยู่ลิบ ๆ ดูเหมือนพระอาทิตย์จะตกไปแล้ว เขาไม่รู้เลย

    จะว่าไป ในป่านี่มีสัตว์ร้ายอื่นบ้างไหมนะ

    เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามตั้งสติ ก่อนที่ลมอีกวูบจะพัดผ่านร่างอีกครั้ง

    พร้อมกับสัมผัสนุ่มที่ไล้ผ่านช่วงไหล่ของเขาราวกับหยอกล้อ

    ซูบินตัวแข็งทื่อ

    “ตามข้ามาสิ”

    เสียงกระซิบแผ่วเบาดังอยู่ข้างหู แต่ซูบินสัมผัสไม่ได้เลยว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่ตรงนี้

    “ถ้ามองไม่เห็นก็จับมือข้าไว้”

    มือหนึ่งยื่นมือมากระชับมือเขา มันอุ่นแบบที่มนุษย์คนอื่นพึงจะเป็นได้

    ซูบินขมวดคิ้ว

    ใคร

    มีคนอยู่ที่นี่ด้วยหรือ

    “อย่าเพิ่งสงสัยอะไรมาก เจ้าคงไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้จนพระอาทิตย์ขึ้นหรอกใช่ไหม”

    แล้วแรงกระตุกเบา ๆ จากมือคู่นั้นก็พาให้ซูบินต้องก้าวไปอย่างช่วยไม่ได้

    สายตาเขาพอจะคุ้นชินกับความมืดบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นอยู่ดีว่าที่จับมือตัวเองอยู่ตอนนี้คืออะไร ซูบินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนตาบอดที่ต้องมีคนนำทาง จวบจนเขาได้ยินเสียงน้ำไหลลอยมาตามลม ชายหนุ่มจึงเบิกตากว้างอย่างตกใจ

    “ได้ยินแล้วใช่ไหม”

    “…ถ้าหมายถึงเสียงน้ำ ก็ใช่ครับ”

    “จะถึงแล้วล่ะ”

    มือข้างนั้นดึงเขาให้ตามไป เสียงน้ำไหลใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ซูบินพอจะมองเห็นเงาร่างข้างหน้า ดูเหมือนจะเป็นชายคนหนึ่ง

    “ถึงแล้ว”

    แล้วเขาก็แหวกใบไม้ที่ขึ้นมารกทึบจนราวกับลวงตาตรงหน้าออก ภาพตรงหน้าทำให้ซูบินเผลอกลั้นหายใจ

    แม่น้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านใจกลางป่า ต้นน้ำน่าจะมาจากภูเขาที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง บริเวณใกล้แม่น้ำคือที่ราบอันเกิดจากหินธรรมชาติผิวเรียบซ้อนกันเป็นพื้นที่กว้าง กว้างพอจะมีกระท่อมหลังเล็กตั้งอยู่ได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นบนฟ้าก็เห็นว่าท้องฟ้าเปิดโล่ง ดวงดาวกระจายตัวอยู่เต็มไปหมด

    มือที่กุมมือของซูบินไว้ตลอดปล่อยออก ก่อนเจ้าของร่างจะหันมามองเขา

    “ยินดีต้อนรับ”

    “…ครับ”

    “เจ้าเป็นบรรณาการใช่ไหมล่ะ”

    “…ก็ ใช่ครับ”

    “นับแต่นี้ต่อไป ที่นี่คือบ้านของพวกเรา...จริง ๆ ก็เป็นของข้ามาตลอด แค่เพิ่มเจ้าเข้าไปอีกคนก็เท่านั้น”

    “ครับ?”

    ซูบินมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

    เขาเป็นชายหนุ่มตัวสูงโปร่ง สูงไล่เลี่ยกับซูบิน ผมสีเทาประหลาดชวนให้นึกถึงขนสัตว์ ตาเรียวรีหางตาชี้ขึ้นและตกลงเล็กน้อยตรงส่วนปลาย จมูกโด่ง ริมฝีปากอิ่มเป็นทรงคว่ำลงเล็กน้อยคล้ายคนพูดไม่สบอารมณ์นัก เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่โดดเด่นคือหูสามเหลี่ยมที่โผล่พ้นกลุ่มผมสีเทาเหล่านั้นและหางยาวฟูเป็นก้อนที่สะบัดไปมาอย่างเชื่องช้า

    “…ท่านคือ...”

    พอเขาพึมพำอย่างตกใจ อีกฝ่ายก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้

    “เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกนี่นา” ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือนั่นพยักไปมา “ข้าคือจิ้งจอกที่พวกเจ้านับถือกันนั่นแหละ”

    ซูบินตาโต

    เขาเผลอก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยความตกใจปนหวาดกลัว

    หากเป็นจิ้งจอกตัวนั้น ก็คือตัวที่เคยฆ่าคนในหมู่บ้านไปใช่ไหม

    “ไม่ต้องกลัว ข้าไม่เคยทำอะไรคนในหมู่บ้านเจ้า”

    “…ข้าจะเชื่อได้ยังไง”

    เทพจิ้งจอกถอนหายใจ “เพราะคนที่ทำคือพี่ชายข้า แล้วเขาก็ตายไปหลายปีแล้ว”

    “…หา”

    แปลว่า ไม่ได้มีจิ้งจอกตัวเดียว?

    “ตอนนี้มีตัวเดียวแล้ว คือข้านี่แหละ” ว่าแล้วก็คว้ามือเขาอีกรอบ “เข้าบ้านได้แล้ว เจ้าไม่หิวหรือไง ข้าหิว”

    ซูบินขมวดคิ้ว แต่เขาขืนสู้แรงของจิ้งจอกไม่ไหว โดนดึงไปถึงกระท่อมหลังเล็กนั่น เมื่อเจ้าบ้านเปิดประตูออก ซูบินก็ตกใจอีกรอบ

    มองจากภายนอกมันดูเล็กมาก แต่ความจริงใหญ่โตกว่าที่เขาคิดทีเดียว

    “มนตร์ลวงตาของจิ้งจอกน่ะ” เจ้าของบ้านพูดเหมือนอ่านความคิดเขาออก “ข้าอ่านความคิดเจ้าได้จริง ๆ นั่นแหละ”

    “หา” ซูบินร้องอีกรอบ “แบบนี้ท่านก็รู้หมดสิว่าข้าคิดอะไร”

    “ถ้าตั้งใจฟังก็รู้ แต่ปกติไม่ได้ตั้งใจมาก... ไม่สิ น่าจะได้ยินตลอด เพราะหลังจากนี้ก็จะมีแค่ข้ากับเจ้า”

    คำพูดนั้นชวนให้รู้สึกแปลกอยู่ไม่น้อย

    “ใช่ไหมล่ะ ข้าเคยพูดกับพี่ชายเล่น ๆ ด้วยว่า เรื่องเครื่องบรรณาการนี่มันคือเจ้าสาวจิ้งจอกไม่ใช่หรือไง”

    “…หา”

    หาที่สามแล้วตั้งแต่ซูบินก้าวเข้ามาในป่า แต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจนัก

    “นั่งเถอะ ที่นี่มีแต่ผลไม้นะ ข้าเป็นมังสวิรัติ ถ้าอยากกินเนื้อก็บอกแล้วกัน คิดว่าคงหามาได้”

    เจ้าบ้านดันให้เขานั่งลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร แล้วก็เข้าไปจัดการในครัว ครู่หนึ่งก็ออกมาพร้อมกับอาหาร ซึ่งคือผลไม้สดและผักสด

    ซูบินนิ่งเงียบ

    “ไม่กินหรือไง” เทพจิ้งจอกคว้าแอปเปิลมากัด “ข้าไม่อยากให้เจ้าอดตายตั้งแต่วันแรกหรอกนะ”

    ซูบินชะโงกหน้ามองของในครัว

    “ท่านมีครัว แต่ไม่มีอุปกรณ์ทำครัวหรือไง”

    “มีสิ” ว่าแล้วก็พยักพเยิดไปทางตู้เก็บของ “แต่ข้าทำอาหารไม่เป็น ไม่รู้จะทำทำไม นี่ก็เป็นของที่เก็บได้จากพวกที่ฝ่าฝืนข้อตกลงแล้วลอบเข้ามา จะลองใช้ทำอะไรที่เจ้าอยากทำก็ได้นะ”

    ซูบินเดินไปเปิดตู้ออก มีมีดหลายขนาด สภาพเก่าเต็มที ภาชนะอะไรก็ไม่มี (ใช่ ตะกี้เทพจิ้งจอกวางผลไม้ลงบนโต๊ะ) มนุษย์ที่มีวัฒนธรรมและอารยธรรมจะอยู่อย่างไร

    “มีดนั่นทำอะไรข้าไม่ได้นะ บอกไว้ก่อน” เทพจิ้งจอกพูดขัดตอนเห็นเขาจ้องมีดอยู่พักหนึ่ง ซูบินหันขวับมาแยกเขี้ยวใส่

    “ข้าจะทำอะไรท่านได้ล่ะ ท่านเทพ”

    “ยอนจุน”

    “…?”

    “ข้าชื่อ ยอนจุน” เทพจิ้งจอกว่า “เรียกชื่อดีกว่า”

    แล้ววันคืนแห่งการเป็นบรรณาการของซูบินก็เริ่มต้นเช่นนี้





    การเป็นบรรณาการทำให้เขาได้เรียนรู้หลายอย่างตลอดตั้งแต่อายุสิบห้า เพราะไม่มีใครรู้ว่าบรรณาการอยู่หรือตายหลังจากที่เข้าป่าไป ซูบินจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะชีวิตที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อมีชีวิตให้รอด แม้จะไม่มีใครรู้ก็ตาม

    หนึ่งในนั้นคืองานช่างและการทำอาหาร

    เช้าวันใหม่ ภาพแรกที่เทพจิ้งจอกเห็นจึงเป็นซูบินที่กำลังลับคมมีดและอาวุธอยู่ริมแม่น้ำอย่างขันแข็ง

    “…จะสร้างอารยธรรมหรือ”

    เป็นคำทักทายยามเช้าที่ทำเอาผู้มาอาศัยด้วยขมวดคิ้ว

    “ท่านเคยกินอาหารหรือเปล่า อาหารแบบที่มนุษย์กินน่ะ แบบที่ต้องปรุงรส”

    “ไม่จำเป็นกับข้านี่”

    “ข้าจะทำอาหาร เลยต้องมีภาชนะ มีอุปกรณ์ทำครัว” ซูบินพูดไปลับมีดไป “ว่าไปก็ไม่มีเครื่องเทศเลยแฮะ”

    “ถ้าพวกเครื่องเทศเครื่องปรุง มีในชั้นนั่นแหละ” ยอนจุนว่า “ข้าทำไว้แต่ไม่เคยใช้เลย”

    “…แล้วทำไว้ทำไม”

    “ถ้าเจ้าอยู่มาเป็นร้อย ๆ ปีก็จะเริ่มอยากทำนู่นทำนี่เองแหละ” เขาว่า “เสียแต่ข้ายังไม่อยากทำอาหารจริงจัง ทำกินเองก็ขี้เกียจ เลยกินของสดเอา”

    ซูบินสรุปไม่ได้ว่าเทพจิ้งจอกตรงหน้าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ แต่ก็ทำเพียงถอนหายใจแล้วลับมีดต่อ

    “แล้วเช้านี้เจ้าจะกินอะไร”

    ซูบินชะงักมือ

    “ท่านไม่มีขนมปังหรือ”

    “มีแป้ง”

    “…แล้วท่านจะเก็บไว้ทำไมถ้าไม่คิดจะทำอะไรกับมัน”

    ยอนจุนยักไหล่ “ไม่รู้สิ อาจจะเพราะข้ารู้ว่าสักวันเจ้าจะมาทำอะไรกับมันล่ะมั้ง”

    ท่านก็แค่ขี้เกียจเท่านั้นแหละ

    “ก็จริงของเจ้า แต่จิ้งจอกก็แบบนี้แหละ ข้าไปนอนต่อก่อนนะ”

    แล้วยอนจุนก็เข้าบ้านไป

    หลังจากอยู่ที่นี่มาได้หนึ่งคืน ซูบินก็สรุปสถานการณ์ตัวเองได้คร่าว ๆ

    เขากำลังอาศัยอยู่กับจิ้งจอกแสนขี้เกียจที่มีทุกอย่างแต่ไม่คิดจะทำอะไรเลยเพราะไม่จำเป็นกับตัวเอง แต่สำหรับซูบิน ถ้าเขาไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลยก็น่าจะแห้งเหี่ยวตายไปช้า ๆ นั่นแหละ

    ยอนจุนเก็บของไว้เยอะมาก ซูบินไม่รู้มาก่อนเลยว่าจิ้งจอกเก็บของมากขนาดนี้ ในตู้เก็บของของยอนจุนมีสารพัดสิ่ง (แม้แต่หินลับมีด) ไม่รู้ว่าไปสรรหามาจากไหน (ยอนจุนเล่าให้ฟังทีหลังว่า ดักพวกพ่อค้าที่หลงเข้าป่ามาบ้าง ซึ่งซูบินก็ไม่ได้ถามต่อว่าป่าตรงไหน เพราะป่าผืนนี้มันกว้างมากเหลือเกิน) แต่ก็เก็บไว้แบบวางทิ้ง ซูบินจึงคิดว่าเขาคงต้องค่อย ๆ ทยอยเอามันออกมาใช้

    การอยู่ร่วมกันกับเทพจิ้งจอกเรียบง่ายกว่าที่เขาคิดมาก ยอนจุนไม่ได้ร้องขออะไรจากเขาเลย ไม่ได้ว่าอะไรเขาด้วย อยากได้อะไรก็บอก ต้องการอะไรก็หามาให้ จนซูบินเริ่มสงสัยแล้วว่า ตกลงการเป็นบรรณาการมันคืออะไรกันแน่ เขานึกว่าตัวเองจะถูกจับกินตั้งแต่วันแรก ทำไมมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ไปเสียได้

    แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสให้ไถ่ถามอะไรมากนัก วัน ๆ ของยอนจุนมักหมดไปกับการนอน นอน และนอน นาน ๆ จะหายออกไปที (เจ้าตัวบอกว่าไปวิ่งเล่น) แล้วก็กลับมานอนต่อ กินผลไม้เล่น ดูเขาทำนู่นนี่ แล้วก็นอนอีกรอบ

    สรุปวัน ๆ ก็คือ นอน วิ่งเล่น กิน หมดวัน

    เกิดเป็นจิ้งจอกมันสบายเหลือเกิน เป็นเทพจิ้งจอกที่มนุษย์บูชาได้ยังไงนะ

    “ก็พวกเจ้าไม่รู้นี่นาว่าจริง ๆ แล้วข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากคุ้มครองผืนป่า” ยอนจุนวาดมือไปในอากาศเป็นเชิงสื่อถึงผืนป่าทั้งหมด “ครอบครัวข้าดูแลป่านี้มานานมากแล้ว ก่อนที่บรรพบุรุษเจ้าจะเกิดอีกกระมัง”

    “แล้วทำไมต้องฆ่าคนที่บุกรุกล่ะ”

    ยอนจุนขมวดคิ้ว “ความผูกพันของพวกข้ากับต้นไม้มันลึกซึ้งเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ ต้นไม้ที่เจ้าตัดไปคือชีวิตของพวกพ้องที่พวกเรารักษากันมาตลอด บางต้นอายุมากกว่าพวกเจ้าแต่ละคนเสียอีก ชีวิตที่เสียไปทดแทนด้วยอะไรได้นอกจากชีวิต”

    ซูบินไม่ได้เถียงอะไรอีกฝ่ายอีก

    เขากับยอนจุนใช้ชีวิตกันแบบต่างคนต่างอยู่ แต่เห็นหน้ากันอยู่เรื่อย ๆ จะว่าไปก็เหมือนได้พักตากอากาศอยู่บ้าง

    แต่เหมือนยอนจุนจะลืมเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป





    รู้สึกตัวอีกทีฤดูกาลก็ผันผ่านไปเรื่อย จากฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่หน้าร้อน ใบไม้ร่วงโรย กิจกรรมที่พวกเขามีร่วมกันเริ่มมากขึ้น บางทียอนจุนก็พาซูบินไปเดินเล่น พาไปหาปลา เก็บผลไม้ เก็บดอกไม้ เทพจิ้งจอกน่าจะรับรู้แล้วว่าอาหารปรุงสุกของมนุษย์รสชาติน่าสนใจและชวนเพลิดเพลินน่าดู ช่วงชีวิตอันยาวนานของมันน่าจะสนุกขึ้นอีกหน่อยจึงมักจะหาวัตถุดิบต่าง ๆ มาให้ซูบินลองทำอะไรให้กินเสมอ พออยู่ด้วยกันบ่อยเข้าก็สนิทชิดเชื้อและคุ้นเคยกันไปโดยธรรมชาติ แรก ๆ ที่อยู่ด้วยกันแล้วต้องนอนเตียงเดียวกัน (เพราะมีเตียงแค่หลังเดียว) ซูบินพยายามนอนให้ห่างยอนจุนที่สุดเท่าที่พื้นที่จะอำนวย ยอนจุนในร่างจิ้งจอกก็พยายามขดตัวให้เล็กที่สุด แต่เมื่อเวลาผ่านไป การนอนเบียดกันกอดกันก็กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว

    วันเวลาอันสงบสุขดำเนินเรื่อยมาจนถึงช่วงหน้าหนาว เมื่อเข้าเดือนกุมภาพันธ์ ยอนจุนก็มีอาการแปลก ๆ

    “…เป็นอะไรของท่าน”

    ซูบินถามคนที่วอแวเขาไม่ห่างมาสักพักแล้ว

    พอเข้าเดือนกุมภาพันธ์ ยอนจุนก็เริ่มมีพฤติกรรมที่ผิดไปจากปกติ หางฟู ๆ นั่นชอบมาคลอเคลียเขา เดินอยู่ใกล้ ๆ วนไปวนมา ยื่นหน้ามาดม ๆ เขาทุกครั้งมีโอกาส และเริ่มเกาะแกะมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ไม่นอน ไม่ออกไปวิ่งเล่น อยู่แต่กับเขาทั้งวันทั้งคืน

    “ข้าก็ไม่แน่ใจ” ว่าพลางยื่นหน้ามาดม ๆ ผมเขาอีกแล้ว “แต่แค่อยากอยู่ใกล้ ๆ เจ้าเฉย ๆ”

    ซูบินฟังแล้วขมวดคิ้ว แม้ในใจจะอดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แต่อีกใจก็กังวลว่าอาการนี้อาจจะไม่ดีกับยอนจุน

    “ถ้าท่านป่วย ปกติท่านทำยังไง”

    ยอนจุนส่ายศีรษะไปมา “ข้าไม่เคยป่วย”

    “…เพราะเป็นเทพหรือ”

    “เพราะอยู่กลางป่า พลังธรรมชาติทำให้ข้าฟื้นตัวได้เสมอ” พูดพลางวางคางลงบนไหล่เขา สองมือลอดใต้แขนมากอดเอวเขาไว้หลวม ๆ “ตราบใดที่ยังมีป่า ข้าก็ไม่มีวันเป็นอะไร ไม่มีวันตาย”

    คนฟังอดสงสัยไม่ได้

    “แล้วพี่ชายของท่าน...?”

    หากเป็นปกติ ยอนจุนจะเลี่ยงคุยเรื่องนี้ ซูบินเคยเลียบ ๆ เคียง ๆ ให้เล่าแต่ยอนจุนก็จะปัดไปเรื่องอื่น แต่วันนี้ดูเหมือนยอนจุนจะสติไม่มั่นคงนัก ถึงได้เล่าออกมาทั้งที่ริมฝีปากและปลายจมูกวนเวียนอยู่ตรงต้นคอของซูบินไม่เลิก

    “พี่ตายเพราะคู่ของพี่ตาย จิ้งจอกเลือกคู่แค่ครั้งเดียวตลอดชีวิต ผูกพันกันทั้งกายและจิตวิญญาณ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหายไป ก็จะหายไปกันทั้งคู่” ยอนจุนพูดจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าว่าข้ารู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไร”

    ซูบินกำลังประมวลผลข้อมูลที่เพิ่งได้ พอได้ยินประโยคถัดมาก็หันมองหน้าคนที่นั่งซ้อนหลังตัวเองอย่างสงสัย

    “ท่านเป็นอะไร”

    “…ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นมาก่อนเพราะอยู่คนเดียว แต่พอมีคนมาอยู่ด้วยก็เลยพอจะนึกออกแล้ว”

    “…”

    “…อาการอยากอยู่กับคู่น่ะ”

    ซูบินมองหน้าเขานิ่ง

    “…คู่ของท่าน?”

    “ทำไม”

    “ข้าคือคู่ของท่านเหรอ”

    “…”

    ยอนจุนผละหน้าออกจากคอเขา

    “…ก็เราอยู่ด้วยกันแค่สองคน ถ้าไม่ใช่เจ้า แล้วจะเป็นใครล่ะ”

    “…”

    ดูเหมือนว่าความหมายของบรรณาการที่ซูบินสงสัยมาตลอด จะค่อย ๆ เฉลยออกมาแล้ว





    บรรณาการ พูดแบบวัฒนธรรมมนุษย์คือการยกเขาใส่พานถวายให้เทพโดยแท้

    ซูบินกุมหัว นึกอยากวิ่งหนีออกจากป่าอีกรอบ ความรู้สึกนี้ไม่เกิดขึ้นมานานแล้วเพราะเขาก็ไม่ได้อึดอัดหรือเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเวลาอยู่กับยอนจุน แต่พอทุกอย่างดูชี้ชัดแล้วว่าหน้าที่ที่แท้จริงของเขาคืออะไร ซูบินก็ชักทำตัวไม่ถูก

    ยิ่งกว่านั้น อาการอยากอยู่กับคู่ของเทพจิ้งจอกก็ดูหนักหนาเหลือเกิน สภาพซูบินทุกวันนี้แทบจะกระเตงจิ้งจอกเดินไปทั่วบ้านแล้ว

    หลังจากผ่านไปหลายวัน ซูบินก็อดรนทนไม่ไหวต้องพูดกับยอนจุนให้รู้เรื่อง

    “ข้าว่าเราต้องคุยกัน”

    ซูบินพูดขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอน เขาตั้งใจว่านั่งหันหน้าคุยกับยอนจุนดี ๆ แต่อีกฝ่ายเล่นทิ้งศีรษะลงนอนตักเขาทันที สองมือกอดเอวไม่ยอมปล่อย หางก็สะบัดไปมาตีที่นอนดังเพียะ ๆ จนซูบินต้องยื่นมือไปจับไว้ให้อยู่เฉย ๆ

    “คุยอะไรเหรอ” ยอนจุนช้อนตามองเขา ทั้งที่จมูกและริมฝีปากคลอเคลียหน้าท้องเขาผ่านผ้าไม่หยุด

    ซูบินกลอกตา “เรื่องคู่นี่แหละ ท่านจะเป็นแบบนี้ไปตลอดจนหมดฤดูติดสัดเลยหรือเปล่า”

    ยอนจุนพึมพำ “ไม่รู้เหมือนกัน ข้าก็เพิ่งเคยเป็น”

    ซูบินลูบหน้า “ถ้า...” ถ้าพวกเขาทำรักกันจริง ๆ อาการของยอนจุนจะดีขึ้นไหมนะ

    ดูเหมือนความคิดในหัวจะส่งไปถึงคนที่นอนตักอยู่ ยอนจุนจึงชะงักค้างไปชั่วขณะ

    “…ถ้าเจ้าไม่เต็มใจข้าก็ไม่อยากทำหรอกนะ” ยอนจุนเอ่ยเสียงเรียบ

    “แต่ถ้าไม่ทำกับข้า ท่านก็ไม่มีทางเลือกแล้วหรือเปล่า” ซูบินว่า “ไม่เป็นไรหรอก ข้าเตรียมใจมาพอสมควรก่อนที่จะเข้ามาที่นี่ อีกอย่างข้าไม่มีทางตั้งครรภ์ได้อยู่แล้ว ไม่ลำบากแน่นอน”

    ยอนจุนผุดลุกขึ้นมานั่งหันหน้าเข้าหาเขาทันที

    “แต่ข้าอยากมีลูก”

    “งั้นก็ไล่ข้าออกจากป่าแล้วไปหาบรรณาการคนอื่น”

    “…ล้อเล่น”

    “ข้าเข้าใจสัญชาตญาณของท่าน”

    ยอนจุนส่ายหน้าจนหูสามเหลี่ยมสะบัด “ถ้าไม่ใช่เจ้าก็ไม่มีความหมายหรอก”

    คำพูดนั้นทำเอาใบหน้าของบรรณาการหนุ่มร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

    “ถ้าเจ้าอนุญาต ข้าก็...”

    ยังไม่ทันที่คำพูดของยอนจุนจะจบ ซูบินก็ยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากนุ่มของเทพจิ้งจอก

    “ทำเถอะ” เขาว่า ยื่นมือเกลี่ยผิวแก้มใสของเจ้าของพวงหางฟูฟ่องสีเทาช้า ๆ “ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดข้าจะเปลี่ยนใจแล้วนะ”

    แล้วร่างของซูบินก็ถูกผลักลงบนเตียงนุ่ม

    สัญชาตญาณของจิ้งจอกหนุ่มรุนแรงกว่าที่พวกเขาคาดไว้ แต่ไม่ได้ทำให้ซูบินเจ็บปวดมากนัก เพียงแต่ทุกอย่างดูเร่งเร้าไปหมดจนสติขาดหายไปเป็นห้วง ๆ สัมผัสของริมฝีปากที่ตะโบมจูบไปทั่วร่างของเขาสลับกับจังหวะโจนจ้วงสู่ร่างของเขาราวกับกำลังโหยหาที่พักพิง เหมือนจิ้งจอกหิวโซกระหายน้ำที่เพิ่งพบธารน้ำใสเป็นครั้งแรก กอดรัดจากเทพจิ้งจอกไม่ได้ทำให้ร่างเขาบอบช้ำแต่ราวกับโอบอุ้มเขาไว้ทุก ๆ การเคลื่อนไหว เสียงเครือครางที่ลอดริมฝีปากออกมากระซิบข้างหูพาให้ร่างของมนุษย์สะท้านไหว

    “…”

    คำพูดแผ่วเบาข้างหูทำให้ซูบินเริ่มจะเข้าใจมากขึ้น

    เพราะช่วงชีวิตอันยาวนานของเทพจิ้งจอกคงทำให้พวกเขาโดดเดี่ยวมาตลอด และการมาถึงของบรรณาการคงทำให้ชีวิตอันเงียบเหงานั้นมีสีสันบางอย่างขึ้นมาบ้าง

    อย่างน้อยก็มีคนให้เคียงข้าง

    และอาจเป็นเพราะเทพลิขิตหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่การได้พบกันระหว่างเขากับยอนจุนอาจจะมีความหมายมากกว่าสิ่งที่เขามองเห็นอยู่ตอนนี้ก็ได้

    และซูบินก็อยากจะอยู่รับรู้ไปจนถึงวินาทีที่ความหมายนั้นปรากฏชัดมากขึ้นเช่นกัน



    END


    220301

    ดูออกเลยว่าคนเขียนรีบจบ (เพราะง่วง) จริง ๆ มาอัปเพราะกลัวจะไม่ได้เขียนฟิคอีกพักหนึ่งเพราะงานเยอะค่ะ ?‍♀️ ก็เลยมาเป็นสัญญาณว่า ฉันไม่ได้หายไปไหน ถ้าฉันไม่อัปอะไรคือฉันทำงาน (...)

    แล้วก็จริง ๆ ก็อยากเขียนซีนย่อหน้าท้ายให้ละเอียดกว่านี้ แต่สัญญาไว้แล้วว่าตอนถัดจากตอนที่แล้วจะไม่ติดเรต ดังนั้น 55555555 (ข้ออ้าง) (แล้วก็ฉันแค่อยากเขียนฉากยอนจุนอ้อน แง ๆ ชอบ)

    ขอบคุณทุกคนที่มาอ่านนะคะ ?


    ป.ล. ไม่ได้ตรวจคำผิด ใครเจอสะกิดได้ค่ะ ?

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in