สวัสดีค่า Gohan เองนะคะ ครั้งนี้เราแต่งจากแท็ค #fictober ของต่างชาติที่เขาได้ตั้งเอาไว้ ซึ่งธีมของวันแรกคือ เป็นพิษ(poisonous) ตัวเราเองก็ด้วยความคึกคะนองอยากเขียน แต่งานไม่เสร็จ เลยเขียนไปเขียนมาจนกลายเป็นฟิคนี้ค่ะ(ฮา) แต่จะเป็นพิษยังไงนั้นไปอ่านกันได้เลยค่า
CP: เว่ยอู๋เซียน X เจียงหวั่นอิ๋น
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในยามค่ำคืนทุกอย่างมืดมิดลงพร้อมกับการดับไปแห่งดวงตะวัน แต่ทว่า ณ ตลาดริมน้ำแห่งอวิ๋นเมิ่งเจียงนั้นผู้คนต่างพากันเดินอย่างขวักไขว่และสนทนากันดังเจื้อยแจ้ว โคมไฟต่างถูกจุดขึ้นมาเพื่อให้แสงสว่างแก่ผู้คน ประหนึ่งว่าเป็นเมืองที่ไม่มีวันหลับไหล
ถนนใหญ่คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินจับจ่ายซื้อของ บ้างก็เล่นต่อกลอนกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็กำลังจับกลุ่มชวนกันไปพายเรือเล่น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดูมีชีวิตชีวาไปหมด แต่คงไม่ใช่สำหรับชายในหนุ่มในอาภรณ์สีม่วงอ่อนสะดุดตาที่กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังโรงเตี๊ยมขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในจุดที่เด่นที่สุดของตลาดริมน้ำแห่งนี้
ยามเมื่อย่างก้าวเข้ามาในโรงเตี๊ยมเขาก็พบกับผู้คนจำนวนมากที่กำลังเสสรวลเฮฮากันอย่างสนุกสนาน บางคนแสดงกิริยาท่าทางที่ไม่สมประกอบ เมื่อมองให้แน่ชัดก็ย่อมรู้ได้ว่าเป็นผลจากสุราหลายจอกที่ดื่มและเทจากไหขนาดใหญ่ที่วางไว้ข้างตัวแต่ละคน เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่อินังขังขอบของผู้คน ชายหนุ่มก็ได้แต่ส่ายหัวและก่นด่าอยู่ในใจ
เจ้าของร้านที่กำลังง่วนกับการคิดเงินค่าสุราที่แต่ละคนจ่ายไป เมื่อเหลือบมองไปเห็นชายหนุ่มที่กำลังยืนมองสภาพของลูกค้าแต่ละคนในร้านอย่างหน่ายใจก็รีบสาวเท้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว และไม่ลืมที่จะบอกให้ลูกมือคนสนิทในร้านช่วยคิดเงินต่อจากเขาก่อนจะเดินไป
มองจากสภาพการแต่งตัวแล้ว อาภรณ์สีม่วงอ่อนอันเป็นสัญลักษณ์แห่งดอกบัว ณ เหลียนฮวาอู้ กระพรวนประจำสกุลเจียง เปียข้างที่ถักอย่างปราณีต และท่าทีที่สง่าผ่าเผย แต่ยังคงความหยิ่งผยองไว้นั้น ย่อมต้องเป็นผู้ดีมีตระกูลที่ไม่ธรรมดาแน่
“ข้าต้องขอโทษด้วยท่านประมุขเจียงที่ข้ามารับรองท่านช้า ใยท่านไม่ส่งข่าวมาก่อนว่าจะมาคืนนี้ ข้าจะได้เตรียมที่ไว้ให้ท่านแต่แรก ว่าแต่ไม่ทราบว่าท่านต้องการจะนั่งที่ใดรึ”
สิ้นเสียงเจ้าของร้าน ลูกค้าทุกคนต่างพากันหุบปากเงียบสนิท เพราะ ทุกคนต่างรู้กันหมดว่าประมุขเจียงผู้นี้เป็นผู้ที่ชอบความสงบ หากแต่ว่าพวกเขายังคงจะแหกปากเสสรวลเฮฮาต่อไปอีกนิด ย่อมต้องไม่พ้นจากการฟาดแส้จื่อเตี้ยนจากท่านประมุขผู้นี้แน่นอน
ชายหนุ่มปรายตามองรอบๆโรงเตี๊ยมก่อนจะเอ่ยตอบเจ้าของร้าน”ขอมุมที่เงียบที่สุดที่ข้านั้นจะสามารถมองเห็นบึงดอกบัวแห่งเหลียนฮวาอู้ได้”
เจ้าของร้านรีบเดินไปเตรียมพื้นที่ให้โดยไม่รอช้า พร้อมตะโกนเรียกเด็กหนุ่มตัวเล็กที่กำลังเก็บไหเหล้าอยู่ตรงมุมร้าน “อาเฮ่า รีบๆพาท่านประมุขไปยังห้องที่อยู่ตรงท่าน้ำเดี๋ยวนี้เลย อย่าได้รอช้า”
เด็กหนุ่มรีบเก็บไหเหล้าใส่ตู้ พร้อมกับพยักหัวรับคำกับเจ้าของร้าน ก่อนที่จะรีบวิ่งตรงมาทางชายหนุ่มผู้นั้น และผายมือเชิญเขา
“เชิญท่านประมุขตามกระผมมานะขอรับ”
.
.
.
เมื่อมาถึงห้องรับรองที่ได้เตรียมไว้ให้แล้ว เด็กหนุ่มก็รีบเปิดประตูให้พร้อมกับหันมาเรียกคนตัวสูงกว่า
“ท่านประมุข มาถึงแล้วขอรับ”
ชายร่างสูงเดินเข้ามาในห้องตามที่เด็กรับใช้คนนั้นบอก และยกมือขึ้นให้เป็นสัญญาณ เด็กหนุ่มคนนั้นรีบเดินออกมาจากห้องนั้นอย่างรู้งาน เพราะการที่ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาเช่นนี้คือ เขาต้องการความสงบ
เมื่อเด็กหนุ่มเดินออกจากห้องไปแล้วเขาจึงเดินไปปิดประตูลง จากนั้นจึงหันกลับมาเพื่อมองสำรวจรอบห้อง ตรงใจกลางของห้องมีหน้าต่างไม้เก่าๆ ขนาดใหญ่บานหนึ่ง ช่องหน้าต่างนั้นใหญ่พอที่ใครบางคนจะกระโดดออกไปได้ และสามารถมองบึงดอกบัวได้ชัดเจน
ข้างล่างหน้าต่างมีโต๊ะขนาดย่อมๆตัวหนึ่ง ตั้งไว้พร้อมกับเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก บนโต๊ะมีเพียงแค่จานขนาดกลางที่ใส่เนื้อไก่ฟ้าย่างอาหารลือชื่อของอวิ๋นเมิ่ง วางคู่ไว้กับจอกสุราจอกหนึ่ง แต่ทว่าจะกินเช่นไรในเมื่อไร้สุรา
“คืนนี้ท่านชายต้องการสุราตัวไหนรึ จะเป็นสุราชั้นยอดของร้านเราหรือ…..”
“ข้าเอาเทียนจื่อเซียว”
เพียงชั่วครู่ ไหเหล้าขนาดใหญ่ประมาณไก่ฟ้าหนึ่งตัวก็ได้ถูกมาวางไว้บนโตีะ เจ้าของร้านรีบเดินออกจากห้องไปพร้อมกับกล่าวขอบคุณเขาที่มาเยี่ยมเยียนร้านในคืนนี้
เมื่อทุกอย่างในห้องกลับมาสงบอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มก็ได้เริ่มลงมือเทเหล้าจากไหขนาดใหญ่ใส่จอก เมื่อเทเสร็จ ตัวเองก็หันไปจับตะเกียบคีบเนื้อไก่ฟ้าย่างที่หั่นมาพอดีคำเข้าปาก
รสชาติของไก่ฟ้าเนื้อนุ่มละมุนลิ้นนั้น ยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้นของตนถึงแม้จะกลืนหายลงไปในลำคอแล้ว ชวนนึกถึงอดีตยามที่ยังคงล่าไก่ฟ้ากันอย่างสนุกสนานกับศิษย์สำนักเจียงผู้อื่น รวมไปถึงเว่ยอู๋เซียนด้วย
เมื่อรู้สึกตัวขึ้นได้ว่าตนเองนึกถึงบุคคลที่ไม่อยากจะนึกถึงคนนั้น ราวกับว่ามีดวงไฟขนาดใหญ่สุมร้อนอยู่กลางอก เขาจึงรีบหยิบจอกสุราที่รินและวางไว้ข้างตัวนั้นขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็ว
หายไปซะ ความทรงจำที่ไม่น่าจดจำนี้ คนที่ไม่น่าจดจำคนนี้จงหายไปพร้อมกับสุราจอกนี้ซะ
ความหวานของเทียนจื่อเซียวล้างรสชาติของไก่ฟ้าย่างออกไปหมด คงเหลือแต่ความหวานที่ยังคงรู้สึกได้ จิตใจของเขาเริ่มพองโตและรู้สึกโล่งใจหลังจากสุราจอกนี้ได้หมดไป มือของเขายังคงเอื้อมไปหยิบสุราไหนั้นมารินเพิ่มอีกเรื่อยๆ
จอกที่หนึ่ง ให้กับความทรงจำที่ไม่น่าจดจำ
จอกที่สอง ให้กับความผิดของตนในอดีตที่ไม่สามารถลบล้างได้
จอกที่สาม ให้กับโชคชะตาที่เล่นตลกกับชีวิตของเขา
จอกที่สี่ ให้กับบุคคลที่ไม่น่าให้อภัยผู้นั้น
และจอกสุดท้าย ให้กับตัวตนที่อ่อนแอไม่เอาไหนของตัวเอง
ราวกับว่าน้ำตานั้นไหลลงมาจากใบหน้าของตนเอง ชายหนุ่มปาดใบหน้าของตัวเองอย่างลวกๆแต่ทว่าสิ่งที่พบก็คือหยาดน้ำตานั้นไม่ใช่ฝันเป็นแน่แท้
เพราะฤทธิ์ของสุรา เพราะ ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน เพราะ ความเครียดจากการดูแลหลานของตน หรือเพราะอะไรกันแน่
ระหว่างที่กำลังนึกตรองอยู่นั้น เสียงท่องบทกลอนเจื้อยแจ้วผสานกับเสียงขลุ่ยมาตามลมของค่ำคืนที่ไม่มีวันหลับนี้ กลับทำให้เขานึกถึงคนผู้นั้นอีกครั้ง
ไหสุราประหนึ่งดัง ดอกไม้
ไร้เพื่อนดื่มเคียงกาย ผู้เดียว
ยกจอกขึ้นเชื้อเชิญจันทร์ กระจ่างใส
ทอแสงรวมเงาข้า เป็นสาม
จันทร์เจ้าลอยเลื่อน ไม่อาจ ดื่มได้
เงาเจ้าคล้อยเคลื่อนตาม ติดไหว
นั่งร้องเพลงมากล้น สุขสันต์ เริงใจ
……..
ภาพความทรงจำต่างๆไหลผ่านเข้ามาราวกับสายน้ำที่ไหลผ่านโดยไม่มีวันหวนกลับ ใบหน้าของคนที่อยากจะลืมคนนั้นปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด คนคนนั้นกำลังส่งยิ้มมาให้เขาพร้อมกับกุมมือเอาไว้
“เจียงเฉิง ยามเมื่อเจ้าได้เป็นผู้นำตระกูล ข้าจะเป็นคนใต้บัญชาของเจ้า เหมือนกับที่พ่อของข้ารับใช้ท่านอา ชั่วชีวิตจะคอยสนับสนุนเจ้า หากกูซูมีหยกคู่ อวิ๋นเมิ่งเจียงก็มีเช่นกัน จะไม่มีวันหักหลังเจ้า ไม่หักหลังสกุลเจียง”
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่กำลังคลอเบ้าของตน พยายามเอามือทั้งสองปาดให้หายไปจากใบหน้า แต่ทว่ากลับไม่สามารถทำให้หยุดไหลเสียที
“เว่ยอู๋เซียน ทำไม...ทำไมเจ้าต้องเป็นฝ่ายที่ปกป้องข้าอยู่ฝ่ายเดียวทุกทีเล่า”
“ทำไมเจ้าต้องเป็นฝ่ายที่เสียสละและทิ้งทุกอย่างเพื่อข้า….”
“รวมไปถึงละทิ้งตัวเองเพื่อข้า...”
น้ำตาของชายหนุ่มยังคงรินไหลต่อไปให้คนผู้นั้น ทว่าน้ำตาเหล่านั้นกลับไม่ทำให้ความโศกในใจตนจางหายไปได้เลย
“………..
ก่อนฤดูไม้พรรณพฤกษ ผลิใบ
เมื่อยังไม่ดื่ม ได้จันทร์และเงาเป็นเพื่อน ดีใจ
แต่ถ้าดื่มเยอะไป เราคงต้องจากกัน
หวังว่าสักวันหนึ่ง คงได้พานพบกันใหม่
ในธารดารา
เป็นเพราะพิษของสุรา หรือ เพราะผู้นั้นกันแน่
.
.
.
.
.
(จบ)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ป.ล.1 บทกวีข้างต้นเราอ้างอิงมาจาก Drinking alone under the moon ของ ท่านหลี่ไป๋ค่ะ โดยท่านหลี่ไป๋เป็นกวีในสมัยราชวงศ์ถังและได้แต่งกลอนไว้มากมายคล้ายๆสุนทรภู่ของไทยเลยค่ะ 555 ตัวที่จะยกมานี้คือกลอนเต็มของอันนี้นะคะ
月下独酌
---李白
花间一壶酒,独酌无相亲。
举杯邀明月,对影成三人。
月既不解饮,影徒随我身。
暂伴月将影,行乐须及春。
我歌月徘徊,我舞影零乱。
醒时同交欢,醉后各分散。
永结无情游,相期邈云汉。
เครดิตแปลไทยจากเว็บนี้ค่าา : http://www.vcharkarn.com/varticle/41643
อนึ่งบางช่วงเราแปลให้ดูสละสลวยกว่าและก็อิงของแปลอังกฤษควบไปด้วยกันเลยจะไม่เหมือนในนี้เป๊ะน่ะค่ะ
A jug of wine amidst the flowers:
Drinking alone, with no friend near.
Raising my cup, I beckon the bright moon;
My shadow included, we‘re a party of three.
Although the moon‘s unused to drinking
And the shadow only shapes my every move
For the moment I‘ll just take them as they are,
Enjoying spring when spring is here.
Reeling shadow, swaying moon
Attend my dance and song.
Still sober, we rejoice together;
Drunk, each takes his leave.
To seal forever such unfettered friendship
Let‘s rendezvous the Milky Way.
ป.ล.2 เราได้ไอเดียตลาดริมน้ำอวิ๋นเมิ่งมาจากตลาดริมน้ำของไทยนี่แหละค่ะ เนื่องจากอวิ๋นเมิ่งสภาพแวดล้อมใกล้เคียงเมืองไทยมากกกก เราเลยปรับให้เข้ากันเลย
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะค้าาาา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in