เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รวมone shot ตัวร้ายอย่างข้า กับ ปรมาจารย์ลัทธิมารMr.P (stands for peppermint chocolate)
เสี้ยวเวลาแห่งความสุขที่เอื้อมเก็บไว้ [ตัวร้ายอย่างข้าฯ]
  • [31]เสี้ยวเวลาแห่งความสุขที่เอื้อมเก็บไว้


    คำเตือนก่อนอ่าน: ฟิคชั่นที่เราเขียนนี้ประกอบไปด้วยตัวละครที่ไม่มีในเรื่องและอาจoocได้ ถ้าไม่พอใจหรืออย่างไรต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


    CP : โม่เป่ยจวินxซั่งซิงหัว


    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    “ท่านพ่อ ท่านแม่ของข้าเป็นคนอย่างไรหรือ”


    เสียงใสของเด็กน้อยในชุดสีน้ำเงินดำทำให้ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อที่กำลังก้มหน้าดูเอกสารอยู่ต้องละสายตาจากปึกกระดาษในมือเหล่านั้นมามองลูกชายของตนแทน เขามองลูกชายของตนเองด้วยสายตาที่อ่อนโยนพร้อมกับลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ “ได้สิโม่เป่ย ว่าแต่ทำไมวันนี้ลูกถึงอยากจะมารู้เรื่องแม่กันละ”


    เด็กชายตัวน้อยพูดตอบกลับมาพร้อมกับขมวดคิ้ว “อาหลินกวงบอกกับข้าว่าข้าน่าเสียดายนักที่ไม่มีโอกาสได้เห็นแม่ของตัวเอง”


    เมื่อได้ยินเช่นนั้นราชาแดนเหนือก็ได้แต่ส่ายหัวเงียบๆให้กับความซนของน้องชายตนเองที่ไปพูดแกล้งลูกชายตัวน้อยเอาไว้ ก่อนที่จะผายมือออกมาด้วยท่าทางของผู้ใหญ่ที่จะอุ้มเด็ก “มานี่สิ พ่อจะบอกให้ลูกฟังว่าแม่ของลูกเป็นเช่นไร”


    โม่เป่ยตัวน้อยเมื่อเห็นบิดาผายมือออกมาก็รีบวิ่งรี่เข้าไปกระโดดกอดอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเมื่อรับตัวลูกของตนไว้แล้วจึงอุ้มพาไปยังมุมหนึ่งของวังน้ำแข็งที่มีลักษณะคล้ายช่องเปิดใหญ่สลักด้วยน้ำแข็ง ยามเมื่อกระทบกับแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาดูงดงามมีประกายยิ่งนัก


    “พ่อกับแม่ของเจ้าเจอกันครั้งแรก ใต้แสงจันทร์ ในตอนนั้นถึงแม้แม่ของลูกจะไม่ค่อยชอบพ่อก็ตามเถอะ แต่นางก็ยังคงทำให้พ่อยิ้มขึ้นมาได้ในแบบที่คนอื่นทำไม่ได้นั่นแหละ”


    โม่เป่ยตัวน้อยมองไปยังพ่อของตนด้วยสายตาที่ไร้เดียงสาก่อนที่จะถามออกมาอย่างสงสัย


    “แล้วท่านแม่ใจดีหรือเปล่าขอรับ”


    “อื้ม ใจดีสิ” ราชาแดนเหนือตอบพร้อมกับอมยิ้ม “แถมงดงามยิ่งกว่าใครๆด้วย”


    “ท่านแม่งดงามเช่นไรหรือขอรับ”


    “งดงามราวกับดอกเหลียนฮวาในสระแดนใต้ยามเมื่อต้องกระทบแสงจันทร์”


    เด็กน้อยในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อได้แต่สงสัยอยู่ในใจถึงคำกล่าวของของพ่อที่มีให้กับแม่ แต่ทว่าก็เลือกที่จะไม่ถามเรื่องที่สงสัยออกไป และเปลี่ยนคำถามแทน


    “ท่านพ่อๆ แล้วทำไมท่านจึงรักกับท่านแม่ละขอรับ”


    ครั้งนี้ราชาแดนเหนือกลับเป็นฝ่ายนิ่งเงียบเสียแทน สายตาทอดยาวออกไปนอกวังน้ำแข็งราวกับกำลังหาคำตอบบางอย่างก่อนจะพูดออกมา


    “เอาเข้าจริงแล้ว พ่อเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมพ่อจึงรักนาง แต่ว่ามีบางอย่างที่ทำให้พ่อแน่ใจได้ว่าพ่อจะไม่มีวันปล่อยมือจากคนคนนี้ อาจจะเป็นเพราะนางเป็นคนเดียวที่ทำให้พ่อรู้สึกพิเศษได้ไม่เหมือนเวลาที่อยู่กับคนอื่นนั่นแหละ….ถึงแม้สุดท้ายพ่อจะต้องปล่อยมือจากนางไปจริงๆก็ตามเถอะ….”


    เด็กตัวน้อยฟังคำตอบจากผู้เป็นพ่ออย่างตั้งใจ คิดทบทวนถึงหลายๆสิ่งในประโยคที่พ่อของตนได้กล่าวออกมา จริงอยู่ว่าความรู้สึกที่พ่อมีให้กับแม่ย่อมไม่ใช่เรื่องจอมปลอม แต่ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามทุกอย่างบนโลกล้วนย่อมหนีไม่พ้นจากการลาจาก เด็กน้อยเกลียดการจากลา ในชีวิตนี้เขาต้องจากแม่ของตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่ง หากเขาจะต้องมาพบเจอกับสิ่งนี้อีกครั้ง คงเป็นเรื่องยากที่จะคิดถึงว่าในเวลานั้นควรจะทำตัวอย่างไร


    “ท่านพ่อ แล้วถ้าสักวันข้าเจอคนที่ข้ารักจริงๆ ข้าจะจับมือของคนๆนั้นไว้นานได้แค่ไหนกัน…..ข้าไม่อยากจะต้องปล่อยมือไปเหมือนกับท่าน….”


    พ่อของเขาลูบหัวของโม่เป่ยจวินอย่างเอ็นดูพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 


    “สำหรับพ่อ พ่อว่าเราควรจะมีความสุขกับเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้นะ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลังอย่างไรเล่า”


    โม่เป่ยกอดพ่อของตนแน่น สองแขนเล็กพยายามโอบล้อมร่างใหญ่ของผู้เป็นพ่อเอาไว้ เด็กน้อยเงยหน้าไปหาพ่อของตนอย่างเปี่ยมสุข


    “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะกอดท่านพ่อไว้แน่นๆเลยนะขอรับ”


    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    โม่เป่ยจวินลืมตาตื่นขึ้นมาจากความฝันนั้นช้าๆ เมื่อครู่นี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือพระจันทร์ดวงกลมโตที่สามารถมองเห็นได้จากวังน้ำแข็ง แต่ทว่าที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้กลับไม่ใช้พระจันทร์ดวงนั้น หากแต่เป็นหลุมศพบรรพชนอันศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลตัวเอง สองมือประนตพร้อมกับถือธูปก้านบางๆไว้จำนวนหนึ่ง กลิ่นเครื่องหอมจากตัวธูปที่จุดกำจายลอยฟุ้งทั่วตัวศาลบรรพชนนั้น แท่นหินเก่าขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านเรียงรายกันราวกับภูเขาน้ำแข็งในแดนเหนือ บรรยากาศที่เห็นแลดูชวนห่อเหี่ยวให้รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว 


    “วะ...หวา...กึก….กึก….กึก…..”


    เสียงกระทบฟันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบที่ไม่สามารถบรรยายได้ ปรากฏให้เห็นคนตัวเล็กๆคนหนึ่งที่กำลังยืนประนมมือถือธูปอยู่ข้างๆตนที่ตัวหนาวสั่นระริก ถึงแม้จะสวมเสื้อขนสัตว์ตัวหนาเอาไว้แล้ว แต่หรับมนุษย์ปกติคนหนึ่งนับเป็นการยากที่จะอยู่ได้สบายด้วยอุณหภูมิในเขตแดนเหนือนัก


    ฟุบ


    “หะ...เห….ตะ….ต้าหวัง”


    ซั่งชิงหัวป้องแขนขึ้นมาโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงื้อแขนเตรียมจะทำอะไรราวกับว่าเป็นสัญชาตญาณไปแล้วว่าถ้าหากนายเหนือหัวตัวเองทำเช่นนี้ต้องป้องกันตัวเอาไว้ก่อน แต่แล้วมือของราชาแดนเหนือกลับเอื้อมไปจับมือเล็กๆของเขาแทนโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ สัมผัสอุ่นประหลาดจากมือของคนตัวใหญ่ทำให้ซั่งชิงหัวรู้สึกจักจี้ใจอยู่ไม่น้อย


    ถึงแม้ท่าทีของต้าหวังจะดูผิดปกติไปจากทุกทีที่มักจะอัดใส่เขาเต็มแรงทุกทีโดยไม่มีเหตุผล ทว่าวันนี้ต้าหวังของเขากลับใจดีผิดปกติเสียจนซั่งชิงหัวอดสงสัยไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะชอบอยู่นิดๆที่ได้จับมือกับคนข้างๆตัวคนนี้ก็ตามเถอะ


    “อะ...เอ่อ...ต้าหวัง”


    “ว่าอย่างไร” โม่เป่ยจวินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเงียบ แต่ว่ายังคงไม่หันมามองที่เขาตรงๆ


    “เอ่อ…..”ซั่งชิงหัวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่าลังเลที่จะถามคำถามนั้นออกไป “ขะ...ข้าแค่สงสัยว่าทำไมท่านจึงจับมือข้า…”


    “เจ้าหนาวไม่ใช่หรืออย่างไร”


    “เห….”


    เมื่อซั่งชิงหัวได้ยินคำตอบก็รู้สึกได้ถึงใบหน้าของตนเองที่ตอนนี้กำลังเห่อร้อนแดงซ่านราวกับผลฝานเจี๋ยในแปลงสวนผักหลังจวนที่พักบนยอดเขาอันติ่งเฟิง เขาพยายามเอาหน้าซุกลงไปในเสื้อคลุมหวังว่าอีกอีกฝ่ายจะไม่สังเกตเห็นหรือพูดอะไรขึ้นมาอีก


    “ซั่งชิงหัว”


    “ขะ..ขอรับต้าหวัง” เขาสะดุ้งตัวเมื่ออีกฝ่ายเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบไม่อาจคาดเดาได้ หวังเพียงแค่โม่เป่ยจวินไม่ได้เห็นใบหน้าอันน่าอับอายของตนเมื่อครู่


    โม่เป่ยจวินเผยยิ้มจางๆก่อนตอบกลับมา 


    “อยู่อย่างนี้อีกสักพักก็แล้วกัน”


    (end)


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in