เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกบรรณารักษ์tan_fx
แตกสลายก่อนถึงเส้นชัย: วันที่อาการทรุดจากโรคซึมเศร้าตอนเกือบจะหาย
  •      วันนี้มีเรื่องเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามาเล่าเพิ่ม ถือซะว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวแล้วกัน ไม่ได้มีคำแนะนำหรือชี้แนะใดๆในคราวนี้

    เขียนจากความรู้สึกสดๆ ที่เมือง Seattle รัฐ Washington ในวันที่ 7 มิถุนายน 2559

         อาการซึมเศร้าเราดีขึ้นในระดับกว่า 90% แล้วในตอนที่พบหมอครั้งล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม หมอบอกว่าคุณดูสดใสมากๆมาแล้วนะ

         เราใช้เวลาเกือบสามเดือนนับตั้งแต่วันแรกที่ไปหาหมอ เริ่มเยียวยาตัวเอง ทำตามคำแนะนำของหมอ ฝึกมีสติอยู่กับปัจจุบัน เปลี่ยนพฤติกรรม ออกกำลังกาย ทั้งหมดไม่มีอะไรง่าย โดยเฉพาะการนอนเร็วตื่นเช้าทุกวันเพื่อที่จะตื่นมาวิ่งทุกเช้า ทำให้ร่างกายแข็งแรงสดชื่นไม่หม่นหมองง่าย เราได้กำลังใจที่ดีจากป๊าเรา จากคนในครอบครัว จากเพื่อนสนิทรอบตัวที่รักเรา ทุกอย่างกำลังไปได้สวย อีกนิดเดียวกำลังจะหาย จนกระทั่งเรากลับอเมริกา

         คืนวันหนึ่งแม่โทรมาร้องไห้แล้วบอกว่าแทนมาดูน้องหน่อยลูก น้องป่วย มาช่วยดูแลเขาหน่อย เราก็จองตั๋วเครื่องบินแล้วเดินทางในอีกสองวันถัดมา เรามาดูแลน้องที่ซีแอทเทิล เมืองฝนพรำ ซีแอทเทิลเป็นเมืองที่สวย เขียวขจี ธรรมชาติน่ารัก ฟ้าหม่น ฝนตก และมีความเหงาลอยอยู่ในทุกมวลละอองอากาศ ส่วนหนึ่งในใจเราชอบซีแอทเทิล มันสวย มันฮิป แต่เรารู้ว่ามันเป็นที่ๆเราอยู่นานไม่ได้ เราเคยอยู่ที่นี่นานที่สุด 5 วันติดกัน แต่คราวนี้เราต้องอยู่นานกว่านั้น

         ด้วยความมั่นใจที่ว่าอาการซึมเศร้าเราดีขึ้นจนถึงขั้นใกล้หายแล้ว เราเลยมั่นใจว่ามาแล้วไม่น่าจะเป็นอะไร แถมช่วงนี้แดดออกบ่อย ฝนไม่ค่อยตกเพราะเป็นฤดูร้อน แต่ผิดคาด เราลงจากเครื่องตอน 9 โมงกว่า ถึงมหาลัยน้องตอน 11 โมง อาบน้ำแต่งตัวออกมารอน้องเลิกเรียน เพียงบ่ายสามโมงเท่านั้น อาการซึมเศร้าก็กำเริบ เราพยายามสำรวจใจตัวเองดูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นตัวก่อร่างความเศร้านี้ขึ้น เพราะปมประเด็นเศร้าในใจก็ถูกเราถอนออกไปจนแทบหมดแล้ว แต่ความเศร้ามันก็กลับมา

         เท่าที่เราพอจะนึกออกคือสถานที่ เรายังไม่พร้อมที่จะกลับมาอเมริกา เราเริ่มเป็นโรคซึมเศร้าที่นี่ ถึงแม้จะไม่ใช่ที่ซีแอทเทิล แต่มันก็ทำให้หดหู่ เรารู้สึกไกลบ้าน รู้สึกเหงา รู้สึกเดียวดาย ห่างไกลจากความอบอุ่น จากความรัก ความเข้าใจ ที่ๆไว้ใจได้ ทุกความปลอดภัยทางใจที่เคยเอื้อมถึง และความเศร้าก็เริ่มถาโถม วันๆไม่ได้มีบทสนทนากับใครนอกจากน้องสาว ได้พูดกับมนุษย์ตัวเป็นๆบ้างก็เมื่อต้องซื้อข้าวกินหรือถามทางขึ้นรถประจำทาง

         เราพยายามแก้ปัญหาความเศร้าด้วยการออกไปวิ่งในตอนเช้า ยอมรับว่าอากาศดีและวิวสวยมาก แต่มันก็ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่สวนรถไฟ สวนจตุจักรที่คุ้นชิน

         จากละอองความเศร้าเล็กๆที่เป็นเหมือนกลุ่มหมอก กลายเป็นความเข้มข้นมืดมิดเหมือนพายุฝน จนถึงขั้นขยายตัวโหมกระหน่ำเป็นมหาสมุทรที่พัดพาท่วมท้นเรา จากเดิมที่เวลาเศร้านิดหน่อยเราเดินออกไปหน้าบ้านไปสูบบุหรี่สักมวนสองมวนก็หาย ปกติบุหรี่ซองนึงอยู่ได้หลายอาทิตย์ กลายเป็นการสูบบุหรี่หมดเกือบสามซองภายในห้าวัน

         เรามองความสุข ความอุ่นใจเดิมไม่เห็น เราจม เคว้ง สำลัก ไขว่คว้าหาที่ยืดในทะเลความเศร้าดำมิด สิ่งดีๆที่เคยรู้สึกตอนอาการดีขึ้นนั้นหายไปหมด เราหงุดหงิดตัวเองที่ความพยายามทั้งหมดในสามเดือนกลับพังทลายหายลงไปเหลือไม่ถึงครึ่ง เราพยายามดิ้นรนจากความเศร้า แต่ก็สลัดมันไม่หลุดหนีไม่พ้น

         ตอนแรกยังสงสัยว่าคิดไปเอง แต่พอวีดีโอคอลกับป๊า แล้วป๊าเห็นแววตา เห็นว่าไม่ขำ ป๊าก็ถามว่า 90 กว่า % ที่ได้มานี่หายไปเกือบหมดแล้วใช่ไหม ก็ได้แต่ตอบไปว่าใช่ อาการที่ดีขึ้น หายไปเกือบหมดแล้ว กำลังจะลงไปถึงศูนย์ กำลังจะกลับไปอยู่ในจุดที่ติดลบอีกแล้ว พลังใจพลังชีวิตระเหิดหายไปจนจะหมดแล้ว

          เวลาตื่นมาในแต่ละวันก็มีแต่คำถามเดิมๆซ้ำๆ ว่าเมื่อไหร่ความรู้สึกนี้จะหมดไป เมื่อไหร่จะกลับไปเป็นปกติเหมือนตอนนั้น เมื่อไหร่จะหมดวัน อยากกลับบ้าน ความรู้สึกอยากนอนตลอดเวลากลับมาอีกแล้ว มันเหนื่อยไปหมด เหมือนมันไม่มีพลังงานอยู่ในวิญญานให้ขับเคลื่อนไปไหน จะทำอะไรต้องฝืนต้องเค้นให้ทำได้

    "เราอยู่ตรงกลางระหว่างนอนเฉยๆจมทะเลเศร้าในใจไปเรื่อยๆเพราะไม่มีแรงจะลุกไปทำอะไร กับหาทางทำยังไงให้ไม่ต้องตื่นมาเจอวันพรุ่งนี้ เมื่อหลับตาลงก็มีแต่ภาพตัวเองหล่นลงมาจากตึกสูงๆ กระทบพื้นคอนกรีต และไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ต้องทรมานอีกต่อไป"

         ตอนนี้ที่ทำได้คืออดทน พยายามไม่เร่งรัดตัวเอง ไม่กดดันตัวเอง พยายามใจเย็น มีสติ และไม่ใจร้ายกับตัวเอง ยอมรับกับอาการที่ทรุดลง บอกตัวเองว่าเดี๋ยวเอาใหม่ เดี๋ยวเยียวยาใหม่ เริ่มต้นใหม่ได้ อะไรที่เคยทำได้ครั้งนึงแล้วมันต้องทำได้อีก ต้องกลับมาดีขึ้นได้อีก เรารู้ดีอยู่แก่ใจว่าการเยียวยาตัวเองจากความเศร้าในรอบที่สองนั้นอาจกินเวลายาวนานกว่าครั้งแรก แต่เราก็พร้อมที่จะสู้กับมันอีกรอบ เรายังมีความหวัง

         ตอนนี้รอวันกลับบ้าน กลับไปในที่ๆมีความรัก ความอบอุ่น ความปลอดภัยทางใจ และจะเริ่มรักษาตัวเองอีกครั้ง กลับไปพบหมออีกรอบ หาทางกลับมายิ้มใหม่

         ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนมากๆที่คอยทักมาถามว่า เป็นไงบ้าง? ยังไหวนะ? สู้นะ มันเป็นอะไรเล็กๆน้อยๆที่มีความหมาย ที่ช่วยลดความเดียวดายลงไปได้บ้าง ถึงแม้ตอนนี้เราจะกำลังจมอยู่ในความเศร้า เรามองอะไรดีๆ มองความสุขไม่เห็น ไขว้คว้าอะไรไปก็ไม่เจอใคร มีแต่ตัวเองเดียวดายลอยคอในทะเลโศก แต่เราก็ขอบคุณทุกคนรอบตัวที่รักและเป็นห่วงเรา ที่พยายามยื่นมือ ยื่นความห่วงใย ยื่นกำลังใจมาให้ แม้ตอนนี้เรายังสัมผัสไม่ถึงมัน แต่เราจะพยายามไปให้ถึงนะ

         ถึงคนอื่นๆที่กำลังเป็นโรคซึมเศร้า เราเข้าใจคุณและเราเป็นกำลังใจให้คุณนะ ถึงแม้ของเราเพิ่งจะล้มลงแตกสลายเมื่อตอนใกล้ถึงเส้นชัยก็เถอะ เราจะผ่านมันไปด้วยกันไม่ว่าจะต้องล้มอีกกี่ครั้งก็ตาม เราก็จะต้องลุกกลับขึ้นมาใหม่ให้ได้ เพราะโรคซึมเศร้ามีวันหาย และเราจะหายจากโรคนี้ไปด้วยกัน สู้ๆนะ :)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in