นับเป็นความโชคดี ที่ผมได้มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ผ่านอีเวนท์ที่จัดขึ้นของโรงหนัง MVP (เครื่องโรงหนังอีกยี่ห้อ ที่มักตั้งอยู่ตามต่างจังหวัด) ที่จะมีการฉาย 'หนังทางเลือก' ให้ผู้ชอบได้ดูฟรีๆ เป็นการโปรโมตแต่เปิดขยายฐานลูกค้าที่ไม่เลวเลย เราเข้าไปดูกันแบบผ้าใบว่างๆ และกลับออกมาด้วยความรู้สึกที่เหนือความคาดหมาย สรุปได้ว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ดีที่เดียว
หนังเล่าเรื่องของครอบครัว 7 สมาชิกที่ใช้ชีวิตอินดี้แบบสุดโต่ง พ่อเป็นนายช่าง ส่วนแม่เป็นจิตรกร ลูกๆ ทั้งสี่คนถูกเลี้ยงแบบ home school เดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยรถบุโรทั่ง เพื่อแสวงหา ทำเลที่เหมาะสมในการสร้าง 'ปราสาทแก้ว' บ้านในฝันที่ประกอบไปด้วยมุมโปรดของทุกคน
นางเอกเป็นลูกคนรองผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์กับพ่อที่เหนียวแน่นกว่าใครๆ ในครอบครัว มีฐานะเป็นจุดยึดเหนี่ยวจิตใจและครอบครัวให้เชื่อในคำสอนและการเลี้ยงดูรวมถึงความฝันและคำสัญญาของครอบครัว ต่อให้พยาการณ์จะไม่เป็นใจและดูไร้ความหวังเพียงใดก็ตาม ในเมื่อเวลาสามารถเยียวยาทุกสิ่งได้ ก็ย่อมที่จะกัดกร่อนทุกสิ่งได้เช่นกัน ความเชื่อของนางเอกจึงค่อยๆ ผุพังลง ซึ่งยังส่งผลไปถึงรากฐานและชีวิตของคนในครอบครัวอีกด้วย
หนังถูกออกแบบมาให้ฆ่าคนดูอย่างผมเป็นที่สุด คือมันดูไม่สนุก เต็มไปด้วยฉากชนบทในสหรัฐฯที่ผมทนไม่ได้ แถมยังต้องมาทนกับสำเนียงและอีโก้กวนประสาทของคนพ่ออีก แต่กลายเป็นดูสนุกอย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากการแสดงภาพอเมริกาบ้านนอกออกมาสวยรับได้แล้ว หนังก็ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ชัดเจนแต่มีมิติ เราสัมผัสได้ถึงความรักระหว่างพี่น้อง พ่อแม่-ลูก พร้อมๆ กับความ กลัว โกรธ คับข้องใจ เราเกลียดปนรับไม่ได้แต่ก็สงสาร รู้สึกผูกพันธ์อยากเอาใจช่วยตัวละครในเรื่อง บางตอนของหนัง (ฉากงัดข้อ) ยังติดตลกหน่อยๆ พอให้คนดูได้คลายความตึง ซึ่งสำหรับผมถือเป็นคะแนนพิเศษข้อใหญ่
บรี ลาร์สัน - วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน - นาโอมิ วัตส์ แสดงออกมาได้เป๊ะๆ รู้สึกเชื่อในการแสดงของทั้งสามคนมากๆ นักแสดงสมทบคนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่ได้ดี ทำให้รู้สึกอยากติดตามไปหาดูดูเลยว่าชื่อเซ่พวกเขาเป็นใคร เคยเล่นหนังเรื่องไหนมาบ้าง
ขณะที่ดูหนังเรื่องนี้ ผมพบว่าตัวเองเกิดปรากฎการณ์เปรียบเทียบเรื่องราวในหนังกับเรื่องราวของชีวิตจริงอยู่บ่อยๆ เราได้ตระหนักเลยว่า ในฐานะที่เราเป็นเด็ก เราถูกลิมิตทางเลือกในการเลี้ยงดูและปั้นแต่งขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ขนาดไหน ไม่มีสิทธิ์เลือกเลยว่าจะถูกปลูกฝังให้มีค่านิยมยังไง ชอบอะไร มีนิสัยแบบไหน ซึ่งก็แอบหน้าตกใจเหมือนกัน หรือความจริงที่ว่า เมื่อมีใครสักคนตายไป เขาจะกลายเป็นคนด้านเดียว ถูกพูดถึงในทางใดทางหนึ่ง (ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นทางที่ดี) หนักข้อเสียจนด้านอื่นของเขาเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ประเด็นนี้ก็หน้าตกใจไม่แพ้กัน
หนึ่งในบทหนังที่ผมเชื่อโยงกับตัวได้มากคือความเป็นนักเล่าเรื่องของพ่อ ผมเองก็โตมากับเรื่องราวที่พ่อเล่าให้ผมฟัง ฉาก 'จองดาว' เป็นหนึ่งซีนที่เจ๋งโคตร ดูแล้วรู้สึกดีมากๆ มันเต็มไปด้วยเกร็ดความรู้ ที่เอามาใช้อธิบายปรัชญาบางอย่างได้ (ดาวศุกร์ มันเป็นดาวเคราะห์ ไม่มีแม้แต่แสงจากตัวเอง ที่เราเห็นมันดวงใหญ่และสว่าง เพียงเพราะมันอยู่ใกล้โลกก็เท่านั้น ดาวบีเทลจุส บางคนเห็นแล้วอาจจะชอบ เพราะมันมีสีแดงสวย แต่มันเป็นแสงสีของดาวที่ใกล้จะดับแล้ว มันทำให้ผมสะท้อนได้ว่า มองดาวก็เหมือนมองคน แค่ปราดเดียวไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่เราเห็นกับสิ่งที่เขาเป็นได้) แถมยังแสดงให้เห็นถึงความเก๋า และ ความรักของพ่อต่อลูกอย่างรุนแรง นึกแล้วก็อยากจะกลับไปกอดพ่อเลย
วิมานแก้วในหนังไม่เคยขึ้น เป็นสารเตือนสติว่าบางครั้ง สิ่งที่วาดฝันไว้ก็ไม่อาจเป็นจริงได้ ถึงความเชื่อจะเข้มข้นแค่ใน ถ้าไร้การลงมือทำ ความเป็นไปได้ก็แทบเป็นศูนย์ เช่นเดียวกับการใช้ชีวิต คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เมื่อโตขึ้น เราทวงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของในชีวิตมาอยู่ในมือแล้ว เราเลือกที่จะเป็นได้ เพียงแต่อย่าลืมถามตัวเองให้แน่ใจ ว่าสิ่งที่เลือกนั้น ใช่สิ่งที่เราต้องการหรือไม่
RANKINGS
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in