หลังจากเหตุการณ์ที่หลานวั่งจีแย่งส้มไปจากมืออาเยวี่ยนจนเขาร้องไห้ลั่นแล้ว อาเยวี่ยนก็ไม่ยอมให้หลานวั่งจีอุ้มเขาอีก ครานี้แค่อีกฝ่ายแตะตัวก็ร้องราวจะขาดใจจนเว่ยอู๋เซี่ยนอดขำไม่ได้
'อาเยวี่ยนน้อยของอาเหนียง เจ้าแค่สามเดือนเองนะ ไฉนรู้มากเพียงนี้ ใครทำให้เจ็บช้ำน้ำใจหน่อยก็จำไม่ลืม เห็นทีหลานจ้านคงไม่มีทางได้แตะตัวอาเยวี่ยนอีกแล้วกระมัง'
ส่วนหลานวั่งจีแม้สีหน้าจะราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมามากนัก แต่เวลาเห็นอาเยวี่ยนเอาแต่ซุกหน้าอยู่ในอ้อมแขนของเว่ยอู๋เซี่ยนนิ่ง ไม่ยอมหันมามองเขาแม้แต่นิด ก็ให้คิ้วขมวดเล็กน้อย
"เอาน่า พี่รองหลาน อย่าคิดมาก อาเยวี่ยนยังเล็ก เวลาถูกขัดใจก็เป็นเช่นนี้ ไม่นานเท่าไรก็ลืม" เว่ยอู๋เซี่ยนพยายามปลอบโยน หลานวั่งจีพยักหน้า ทำท่าเหมือนเข้าใจ แต่ท่าทีเรียบเฉยของวั่งจียังดูราบเรียบปกติทว่ายังแผ่ไอหมองเศร้าบางเบา
บรรยากาศอึมครึมอยู่ครู่หนึ่ง เว่ยอู๋เซี่ยนเองก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไร สักพักก็เห็นหลานวั่งจีเอามือแตะที่แขนตนเอง ทำท่าทางคล้ายขบคิดไม่ตก เว่ยอู๋เซี่ยนเองก็แปลกใจจึงถามเขา "เป็นอะไร? เจ็บแขนหรือ?"
"เมื่อครู่..." หลานวั่งจีตรึกตรองอยู่นานจึงยอมเอ่ย "ทำไมเจ้าตีข้า?"
เว่ยอู๋เซี่ยนกะพริบตาปริบๆ ก่อนหลุดขำพรืดหนึ่ง "อะไรกัน เจ้าคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพรรค์นี้ด้วยหรือ?"
"คนเราถูกตีย่อมมีเหตุผล ดูอย่างตอนที่เจ้าถูกโบยที่กูซู นั่นก็เพราะเจ้าฝ่าฝืนกฎ"
และเขามั่นใจว่าที่ไม่ให้อาเยวี่ยนกินส้มนั้นสมเหตุสมผลอย่างที่สุด ดังนั้นการที่มาถูกเว่ยอิงตีแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนับว่าไร้เหตุผลอย่างที่สุดเช่นกัน
"ข้าตีเจ้าเพราะเจ้าทำอาเยวี่ยนร้องไห้ แค่นี้เหตุผลพอหรือไม่?" เว่ยอู๋เซี่ยนลอยหน้าตอบ
"ไร้สาระ"
"ไร้สาระก็ไร้สาระ ข้าไม่สนหรอก เวลาคนเรารักใครคนหนึ่งย่อมมิมีเหตุผลหรอกจริงไหม อาเยวี่ยน" มือของเว่ยอิงลูบศีรษะอาเยวี่ยนอย่างรักใคร่ ส่วนหลานวั่งจีที่ได้ยินก็นิ่งเงียบเดิมทีเว่ยอิงคิดว่าในใจอีกฝ่ายคงรู้สึกขัดแย้งและถกเถียงกับเขา ทว่าวั่งจีกลับพยักหน้า
"อืม..."
เว่ยอู๋เซี่ยนขมวดคิ้ว "อืม?"
"ข้าเห็นด้วย..."
"...เรื่องอะไร?" ที่ถามเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเห็นด้วยกับเขาเรื่องอะไร เห็นด้วยว่ามันไร้สาระ หรือเห็นด้วยเพราะเรื่องอะไรกันแน่
"..." คราวนี้หลานวั่งจีไม่ตอบเขาอีก ดวงตาสุกใสดั่งแก้วหลิวหลีเพียงปรายตามองไปยังเหลาร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน เอ่ยเสียงเรียบ
"ยามอู่ (สิบเอ็ดโมงถึงเที่ยง) แล้ว กินข้าวเถอะ"
หา?
หา?
หา!?
"หา!? เดี๋ยวสิ มาตอบคำถามข้าก่อน หลานจ้าน!" ให้ตายเถอะ หลานจ้าน! นิสัยเสียที่ไม่ยอมตอบคำถามอีกฝ่ายดื้อๆเช่นนี้ควรรีบแก้ไข ไม่เช่นนั้นจะติดไปจนโตเป็นผู้ใหญ่แน่!
........
หลานวั่งจีเป็นมนุษย์ผู้เผด็จการโดยแท้ มาถึงก็จองห้องทานอาหารส่วนตัวที่อยู่ชั้นสองของเหลา จากนั้นก็สั่งอาหารดีๆมาเต็มโต๊ะ ทั้งเนื้อแกะน้ำแดง น้ำแกงไข่ทรงเครื่อง หมูตงพัว แกงใบบัวมรกต ขนมข้าวเหนียว กุ้งนึ่งเกลือใส่ขิงกับต้นหอม ยังมีข้าวผัดไข่อีกสองชามใหญ่ มีเหล้ากู่หลันหลานอีกหนึ่งไหเล็กโดยไม่ถามเขาสักคำ
มากไปแล้ว เกินกว่าสองคนจะกินหมดเกินไปแล้ว!
"หลานจ้าน เจ้าหิวมากหรือ?" อาจจะใช่ เขาไม่เห็นอีกฝ่ายแตะอะไรเลยตั้งแต่เช้า
"ให้เจ้ากิน" หลานวั่งจีเอ่ย ก่อนอุ้มอาเยวี่ยนที่หลับคอพับคออ่อนไปแล้วหลังจากร้องไห้กับถูกเว่ยอิงอุ้มชมตลาดมาได้พักหนึ่งให้มาอยู่กับตัวเอง
"ให้ข้ากิน? ด้วยความเคารพนะ หานกวงจวิน ท่านเห็นข้าเป็นสิ่งใดกัน ถึงคิดว่าข้าจะกินหมด"
หลานวั่งจีไม่ตอบ เพียงจ้องอีกฝ่ายนิ่ง จ้องลึกเข้าไปในสาบเสื้อที่เผยเห็นไหปลาร้าที่เป็นร่องหลุมลึกกว่าตอนที่เห็นที่สระน้ำพุเย็นที่กูซูหลาน
'เว่ยอิง เจ้าผอมเกินไปแล้ว'
อาจเป็นเพราะล่วนจั้งกั๋งเพาะปลูกอะไรไม่ค่อยขึ้น อาจเพราะเงินทองอัตคัตขัดสน อาจเพราะชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบาก หรือด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ไม่เพียงแต่อาเยวี่ยนที่อ่อนแอ เว่ยอิงเองก็ดูจะสุขภาพแย่ลงไปไม่น้อย
เขาไม่ถนัด 'ขุน' นัก แต่จะลองพยายามดู...
"ไม่หมดก็ไม่เป็นไร" เขาเอ่ยแค่นั้น แล้วหลุบตามองอาเยวี่ยนที่ยังหลับตาพริ้มอยู่แทน
เว่ยอู๋เซี่ยนกลืนน้ำลายเอื๊อก อาหารร้อนควันฉุย ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนชวนน้ำลายสอ กระตุ้นความอยากอาหาร มือแตะที่ตะเกียบ แล้วตัดสินใจคีบหมูตงพัวใส่ปากหนึ่งชิ้น ดื่มด่ำกับความละเมียดละไม จากนั้นตะเกียบก็เหมือนมีชีวิต ขยับไม่หยุด สีหน้าเคลิบเคลิ้มชื่นชมในรสชาติอร่อยล้ำของสุราอาหาร โดยมีหลานวั่งจีนั่งมองจนอีกฝ่ายไม่อยากเอร็ดอร่อยอยู่ฝ่ายเดียว ตัดสินใจคีบกับข้าวใส่จานและถ้วยของหลานวั่งจีจนพูนแล้วเชื้อเชิญให้หลานวั่งจีกินด้วยกัน
........
หลังจากกินข้าวที่เหลา ทั้งสามก็เดินตลาดอีกพักหนึ่งจนกระทั่งอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า หลานวั่งจีก็เอ่ยว่าเขาต้องกลับกูซูแล้ว
เว่ยอู๋เซี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ แต่เขาไม่นิยมรับของใครฝ่ายเดียวจึงตัดสินใจเจียดเงินในถุงเงินของตนเอง ซื้อส้มอี๋หลิงให้กับหลานวั่งจีหนึ่งตะกร้าเล็ก "แทนคำขอบคุณสำหรับวันนี้ ถึงมันจะเทียบกับอาหารดีๆ ปี่เซียะกับเสื้อคลุมไม่ได้ก็เถอะ"
"..."
"หลานจ้าน"
"แค่นี้พอแล้ว" เพราะเข้าใจดี แถมถ้าทำดึงดันไม่เอาอีกฝ่ายก็คงตามตื้อยัดเยียดทุกวิถีทางแน่นอน เช่นนั้นหลานวั่งจีจึงรับไว้ จากนั้นจึงส่งอาเยวี่ยนที่กำลังหลับส่งให้เว่ยอู๋เซี่ยน ท่าทีนั้นดูเชื่องช้าคล้ายอาลัยอาวรณ์
"เดินทางปลอดภัย" เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ยเช่นนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนบาง นับจากที่ต้องเก็บงำความทุกข์ไว้เพียงผู้เดียวมาเกือบปี นี่คงเป็นครั้งแรกที่หัวใจที่เคยแห้งผากกลับดูชุ่มชื้นมีชีวิตชีวาถึงเพียงนี้
ตอนนี้เขากับหลานจ้านถือว่าเดินทางคนละเส้นทาง เป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้ จะให้เห็นหน้ากันบ่อยๆอย่างที่อวิ๋นเซินปู้จื่อฉู่ก็คงเป็นไปไม่ได้
เพียงเท่านี้ ก็ดีมากเพียงใดแล้ว...
"...เว่ยอิง"
"หืม?"
เมื่อเว่ยอู๋เซียนเงยหน้ามองก็เห็นกระดาษสีเขียวอ่อนถูกยื่นมาอยู่ต่อหน้าเขา "กระดาษยันต์นี้มีผงของหยกที่ใช้ผ่านเข้าออกอวิ๋นเซินปู้จื่อฉู่ผสมอยู่ สามารถเปลี่ยนรูปได้ตามต้องการ ถ้าเจ้าอยากส่งข่าวมาถึงข้า ใช้สิ่งนี้" จากนั้นหลานวั่งจีวางกระดาษลงบนมือเว่ยอิง
"เจ้าอยากให้เป็นสิ่งใด?"
สิ่งที่ส่งมาในรูปของจดหมาย ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกจับตามอง ถ้าเปลี่ยนให้เป็นรูปลักษณ์ของสัตว์ ก็จะไม่มีคนสงสัย...เว่ยอิงอดชื่นชมความฉลาดของอีกฝ่ายไม่ได้
เว่ยอิงจ้องของบนมืออยู่ครู่หนึ่ง ท่าทีครุ่นคิดอยู่เค่อหนึ่งแล้วจึงยิ้ม "นกนางแอ่น"
"นกนางแอ่น"
"ตอนแรกข้าอยากให้เป็นผีเสื้อ เพราะอาเยวี่ยนชอบผีเสื้อ หรือไม่ก็นกเหยี่ยว (ในภาษาจีนคือ อิง เสียงเดียวกับ อิง ในชื่อเว่ยอิง) อยู่หรอก แต่แม่ข้าเคยเล่าให้ฟัง นกนางแอ่นสื่อถึงการหวนคืน ไม่ว่าจะจากไปที่ใด ไกลเพียงไหน คนที่เราระลึกถึงจะกลับมา"
หวานวั่งจีมองแผ่นยันตร์ที่กลายเป็นนกนางแอ่นน่าเอ็นดูบนมือเว่ยอิงก็ให้เอ่ย
"เจ้าวางใจ ข้าจะกลับมาอีก"
เว่ยอู๋เซี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้หน้าแดง หรือขวยเขินพอใจ เพียงแต่ยิ้มบาง เพราะเขาไม่กล้าคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเดินทางมาหาเพื่อที่จะได้มีวันที่หัวใจหนักอึ้งได้พักแบบนี้ เพียงได้นานๆทีได้เขียนจดหมายหากันบ้างก็ดีเพียงใด
หลานวั่งจีเองก็ไม่ได้คำนึงว่าอีกฝ่ายจะคาดหวังรอคอยให้เขามาหาหรือไม่ เขาเองขอเพียงแค่อีกฝ่ายส่งข่าวว่าทุกข์ใจเรื่องใดเขาพร้อมที่จะมาหาทันที
หลานวั่งจีสัญญากับตนเองในใจ จากนั้นจึงเดินทางกลับกูซู
@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ใช้เวลาไม่นานนักจากการใช้กระบี่เหิน หลานวั่งจีกลับถึงสกุลหลานในช่วงเช้าตรู่ของอีกวัน
"ต้าเกอ"
"กลับมาแล้วหรือ วั่งจี" หลานซีเฉินคลี่ยิ้มอบอุ่นนุ่มนวลรับการคารวะจากน้องชาย "เป็นอย่างไรบ้าง เย่เลี่ยที่อี๋หลิง เรียบร้อยด้วยดีหรือไม่?"
"เรียบร้อยดีขอรับ" เขาเอ่ยเรียบๆ หลานซีเฉินเพียงพยักหน้าพอใจ ก่อนที่สายตาจะเหลือบเห็นตะกร้าใบน้อยในมือของหลานวั่งจีจึงถาม
"ส้มจากอี๋หลิงหรือ?"
"...ขอรับ"
"ท่าทางหวานอร่อย ขอต้าเกอสักลูกได้หรือไม่?"
"...ไม่" หลานวั่งจีเอ่ยหน้านิ่ง ขณะที่กระชับตะกร้าส้มในมือให้แน่นขึ้น หลานซีเฉินเห็นว่าควรหยอกล้อน้องชายเพียงเท่า เพราะดูสีหน้าท่าทางแล้วคง 'หวง' ส้มจากอี๋หลิงตะกร้านี้ไม่น้อยทีเดียว
"เอาเถอะ ไม่ให้ก็ไม่ให้" เขาเอ่ยถาม "คุณชายเว่ย ได้พบเขาแล้วสินะ"
"ขอรับ"
"เขาเป็นเช่นไรบ้าง?"
"...ไม่ดีนัก"
"เช่นนั้นหรือ?" ซีเฉินพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงถามต่อ "ได้เจอบุตรของคุณชายเว่ยหรือไม่?"
"ได้พบ"
"เป็นอย่างไร?" ซีเฉินถาม เพราะท่าทีของน้องชายเขาที่รู้เรื่องการมีอยู่ของบุตรของเว่ยอู๋เซี่ยนก็ให้ขุ่นเคืองไม่น้อย ถึงจะรู้ว่าน้องชายเขาคงไม่ทำอันตราย แต่ก็อดห่วงไม่ได้
"..." วั่งจีนิ่งเงียบ เพียงยกมือข้างหนึ่งที่เคยโอบอุ้ม เกลี่ยแก้ม รักษา นึกถึงความอ่อนนุ่ม ดวงตากลมโต และรอยยิ้มสดใสของอาเยวี่ยนน้อย พยายามหาสิ่งใดที่เอามาเทียบเคียงความรู้สึกในมือ ก่อนเอ่ย
"...เหมือนก้อนแป้ง"
"เจ้าชอบเด็กคนนั้นมากเพียงนี้ข้าก็คลายกังวล" ซีเฉินลอบพรูลมหายใจโล่งอก "คุณชายเว่ยอย่างไรเสียเขาก็ช่วยเหลือเราเอาไว้มากในยุทธการยิงสุริยัน ถ้าไม่มีเขาช่วยพลิกสถานการณ์ เราย่อมย่อยยับอัปราชัย เมื่อเขามีเรื่องลำบากใจเราควรช่วย"
"วั่งจีทราบ"
"แต่ก็อย่าไปอี๋หลิงบ่อยนัก แม้พี่จะยอมปิดตาข้างหนึ่งกับเรื่องนี้ แต่อย่างน้อยที่สุดพี่ก็ไม่อยากให้เจ้าผิดใจกับผู้อาวุโส เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?"
"ขอรับ"
"เช่นนั้นก็ดี เจ้าเพิ่งเดินทางมาถึง คงเหนื่อย กลับไปพักผ่อนที่เรืองชิงจื่อเถอะ
หลานวั่งจีพยักหน้า จากนั้นจึงประสานมือคารวะพี่ชายอีกครั้ง "เช่นนั้นวั่งจีขอตัว"
หลานซีเฉินพยักหน้า รู้สึกดีไม่น้อยที่น้องชายเขา อารมณ์ดี เช่นนี้ รู้สึกว่าไม่เสียทีที่ยอมให้หลานวั่งจีเดินทางไปอี๋หลิง
เขาเห็นน้องชายทรมาน ทุกข์ใจ ในฐานะพี่ชายที่ดูแลวั่งจีต่อจากมารดาที่เสียไป เขาจึงมิอาจนิ่งเฉย
วั่งจีทุกข์มามาก เขาเพียงปรารถนาจากใจว่าน้องชายของเขาจะมีความสุขขึ้นไม่มากก็น้อย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in