และด้วยในปี 2018 นี้ ตัวศิลปินสาวได้ทำการประกาศการ comeback ในรอบห้าปีจาก self-titled album ที่ออกมาในสามปีที่แล้ว แฟนเพลงขาจรของเอวริลในนาม Little Black Stars หรือนักฟังเพลงยุคต้น ๆ ของศตวรรษที่ 21 ไม่มากก็น้อยก็คงกำลังรอการกลับมาของศิลปินสาวคนนี้อีกครั้ง (และคาดหวังไม่ให้อัลบั้มใหม่ของเธอถูกเลื่อนแล้วเลื่อนอีกหลายรอบ)
และด้วยความที่เราก็เป็นหนึ่งใน Little Black Stars ที่ตามฟังผลงานของเอวริลมาตั้งแต่แรกก็รู้สึกตื่นเต้นกับสตูดิโออัลบั้มลำดับที่หก หรือชื่อไม่เป็นทางการตอนนี้อย่าง #AL6 นี้ จึงอดไม่ไหวที่จะเขียนรีวิวเพื่อเป็นการนับถอยหลังรอฟังงานเพลงจากอัลบั้มชุดใหม่ของเธอกัน ว่าแล้วก็ไปอ่านและลองฟัง closing track ต่าง ๆ จากอัลบั้มของเธอกันเลย
1. "Naked" from Let Go (2002)
"I'm unprotected
See how I've opened up
Oh, you've made me trust"
เริ่มด้วย "Naked" แทรคปิดอัลบั้มจาก Let Go อัลบั้มชุดแรกที่ได้สร้างชื่อให้เอวริลกลายเป็นศิลปินสาวผู้เบิกทางให้กับนักร้องสาย "girls can rock" รวมไปถึงทั้งเพลงและภาพลักษณ์ของเธอก็จัดได้ว่าเป็น icon ของยุคเลยทีเดียว
หนึ่งในธีมหลักของ Let Go ก็มักจะเป็นเรื่องของ teenage rebel หรือการทำตัวขบถต่อสังคมของวัยรุ่น ซึ่งใน "Naked" นี้ เอวริลได้มีส่วนร่วมในการเขียนเนื้อเพลงและผลลัพธ์ที่ได้ก็มีความแตกต่างไปจากแทรคอื่น ๆ คือในการใช้สัญลักษณ์ของการเปลือยมาใช้ในเพลง เมื่อเทียบกับซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาอย่าง "Complicated," "Sk8er Boi," หรือ "I'm with You" เราจะได้เป็นลุคที่ดูมีความเป็นทอมบอยห้าว ๆ ของตัวเอวริล แต่ในทางกลับกัน "Naked" ได้พาเรารู้จักอีกด้านหนึ่งของศิลปินสาวได้พูดถึงการถูกสัมผัสจากคนรักและได้เปลือยเปล่าต่อหน้าเขา แต่เราก็สามารถตีความเป็นในเชิงว่าเอวริลต้องการแสดงตัวตนความเป็นศิลปินของเธอให้กับเหล่าคนฟังอย่างไม่มีปิดบัง เพราะนี่คือตัวเธอ และเธอก็รู้สึกดีที่ได้โชว์ตัวตนนั้นกับทุกคนนั่นเอง
"Naked" เป็นแทรคปิดอัลบั้มที่ยังสามารถคุมแนวเพลงความเป็น grunge rock และ alternative rock ของอัลบั้มไว้อย่างดี และยังสามารถสร้างความตกใจให้กับผู้ฟังในแง่ของเนื้อเพลงที่ดูขัดอารมณ์กับ 12 แทรคที่ผ่านมาได้อย่างสิ้นเชิง
2. "Slipped Away" from Under My Skin (2004)
"Now you're gone, now you're gone
There you go, there you go
Somewhere I can't bring you back"
ผ่านไปสองปีจาก debut album ในปี 2004 เอวริลก็ได้ปล่อยงานชุดที่สอง Under My Skin ที่ก็ยังคงเป็นงานเพลงที่สร้างกระแสต่อโลกดนตรีได้อย่างกว้างขวางไม่น้อยกว่าอัลบั้มชุดแรก ในงานเพลงชุดนี้ เธอได้พัฒนาทั้งด้านลุคและดนตรีให้มีความดาร์กแบบฉบับของสาว Gothic เสริมกับความแข็งแกร่งของเมโลดี้และเนื้อหาของเพลง
ตามคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มที่ต้องการเน้นเรื่องราวที่ลึกลงข้างในจิตใจของตัวนักร้องสาว "Slipped Away" จึงเป็นหนึ่งในแทรคของอัลบั้มที่ใช้ในการปิดอัลบั้ม เพลงนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงการจากไปของปู่ (หรือตา) ของเธออย่างกระทันหันในขณะที่เธอกำลังออกทัวร์ Try to Shut Me Up Tour ในปี 2003
เนื้อเพลงของ "Slipped Away" สามารถสื่อถึงความเจ็บปวดและโศกเศร้าจากตัวเอวริลให้ผู้ฟังได้เป็นอย่างดีด้วยท่อนอย่าง "I didn't get around to kiss you / Goodbye on the hand / I wish that I could see you again / I know that I can't" รวมไปถึงท่อน bridge ที่เหมือนเป็นการกรีดร้องแสดงความเสียใจต่อบุคคลที่ไม่มีวันกลับมา
นอกจากเนื้อหาที่แสนจะดึงลง ด้านดนตรีก็ยังคงลายเซ็นต์ความ ballad rock ที่สาวกเอวริลคุ้นเคยกันได้ดี ด้วยเมโลดี้ของเปียโนและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ประกอบให้เป็นแทรคที่ปิดฉากของ Under My Skin ได้อย่างสวยงาม
3. "Keep Holding On" from The Best Damn Thing (2007)
"You're not alone, together we stand
I'll be by your side, you know I'll take your hand"
ในบรรดาแทรคปิดอัลบั้มทั้งห้า "Keep Holding On" จากอัลบั้มชุดที่สาม The Best Damn Thing ที่มีเพลงฮิตอย่าง Girlfriend น่าจะเป็นแทรคที่คุ้นหูกับหลายคนมากที่สุด เพราะด้วยเพลงนี้ถูกใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Eragon แถมเพลงนี้ยังสามารถไต่ขึ้นบิลบอร์ดชาร์ทได้ถึงอันดับที่ 17 อีกด้วย
ในด้านดนตรี "Keep Holding On" ยังคงธีมความเป็น ballad rock ทรงพลังเฉกเช่นเดียวกับสองอัลบั้มที่แล้ว แต่ความต่างก็คือ แทรคที่ได้รับการช่วยโปรดิวส์จากโปรดิวซ์เซอร์สุดฉาวอย่าง Dr. Luke ที่ช่วยสร้างมิติของเพลงนี้ด้วยการใส่เสียงของเครื่องสายต่าง ๆ เพิ่มเข้ามา ซึ่งช่วยให้เพลงนี้ดูเป็นเพลงร็อคที่ทรงพลังและมีความแพงจากเสียงของเครื่องสายต่าง ๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in