เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Song ReviewEARWAXED
[Song Review #4] Avril Lavigne: The Closing Tracks
  • แทรคปิดอัลบั้ม (closing track) เป็นหนึ่งในเพลงสำคัญของการทำอัลบั้มของศิลปินคนหนึ่ง เพราะไม่ใช่แค่เพลงนี้จะเป็นเหมือนกับฉากสุดท้ายของภาพยนตร์ที่เป็นบทสรุปของเรื่องราวที่เปิดมาตั้งแต่แรก แต่แทรคปิดอัลบั้มกลับดูเป็นธรรมเนียมของศิลปินส่วนใหญ่ที่มักจะทำให้เพลงดูมีความน่าสนใจและมีจุดเด่นแปลกจากเพลงที่ผ่าน ๆ มา

    Avril Lavigne ก็เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่สามารถสร้างสรรค์แทรคปิดอัลบั้มของเธอได้ดูมีโดดเด่นและน่าสนใจมาตลอดทั้งห้าอัลบั้มที่ผ่านมา เฉกเช่นเดียวกับศิลปินหลาย ๆ คน แทรคปิดอัลบั้มของเอวริลมีจุดเด่นในแง่ของความเป็นเพลงบัลลาดช้า ๆ กระชากอารมณ์ที่แสนไพเราะ และหลาย ๆ สำนักหรือเหล่าแฟนเพลงของเธอก็มักจะยกให้แทรคปิดอัลบั้มของแต่ละอัลบั้มของเธอเป็นหนึ่งในเพลงที่ดีที่สุดที่เอวริลเคยทำมา

    และด้วยในปี 2018 นี้ ตัวศิลปินสาวได้ทำการประกาศการ comeback ในรอบห้าปีจาก self-titled album ที่ออกมาในสามปีที่แล้ว แฟนเพลงขาจรของเอวริลในนาม Little Black Stars หรือนักฟังเพลงยุคต้น ๆ ของศตวรรษที่ 21 ไม่มากก็น้อยก็คงกำลังรอการกลับมาของศิลปินสาวคนนี้อีกครั้ง (และคาดหวังไม่ให้อัลบั้มใหม่ของเธอถูกเลื่อนแล้วเลื่อนอีกหลายรอบ)

    และด้วยความที่เราก็เป็นหนึ่งใน Little Black Stars ที่ตามฟังผลงานของเอวริลมาตั้งแต่แรกก็รู้สึกตื่นเต้นกับสตูดิโออัลบั้มลำดับที่หก หรือชื่อไม่เป็นทางการตอนนี้อย่าง #AL6 นี้ จึงอดไม่ไหวที่จะเขียนรีวิวเพื่อเป็นการนับถอยหลังรอฟังงานเพลงจากอัลบั้มชุดใหม่ของเธอกัน ว่าแล้วก็ไปอ่านและลองฟัง closing track ต่าง ๆ จากอัลบั้มของเธอกันเลย

    1. "Naked" from Let Go (2002)


    "I'm unprotected
    See how I've opened up
    Oh, you've made me trust"

    เริ่มด้วย "Naked" แทรคปิดอัลบั้มจาก Let Go อัลบั้มชุดแรกที่ได้สร้างชื่อให้เอวริลกลายเป็นศิลปินสาวผู้เบิกทางให้กับนักร้องสาย "girls can rock" รวมไปถึงทั้งเพลงและภาพลักษณ์ของเธอก็จัดได้ว่าเป็น icon ของยุคเลยทีเดียว

    หนึ่งในธีมหลักของ Let Go ก็มักจะเป็นเรื่องของ teenage rebel หรือการทำตัวขบถต่อสังคมของวัยรุ่น ซึ่งใน "Naked" นี้ เอวริลได้มีส่วนร่วมในการเขียนเนื้อเพลงและผลลัพธ์ที่ได้ก็มีความแตกต่างไปจากแทรคอื่น ๆ คือในการใช้สัญลักษณ์ของการเปลือยมาใช้ในเพลง เมื่อเทียบกับซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาอย่าง "Complicated," "Sk8er Boi," หรือ "I'm with You" เราจะได้เป็นลุคที่ดูมีความเป็นทอมบอยห้าว ๆ ของตัวเอวริล แต่ในทางกลับกัน "Naked" ได้พาเรารู้จักอีกด้านหนึ่งของศิลปินสาวได้พูดถึงการถูกสัมผัสจากคนรักและได้เปลือยเปล่าต่อหน้าเขา แต่เราก็สามารถตีความเป็นในเชิงว่าเอวริลต้องการแสดงตัวตนความเป็นศิลปินของเธอให้กับเหล่าคนฟังอย่างไม่มีปิดบัง เพราะนี่คือตัวเธอ และเธอก็รู้สึกดีที่ได้โชว์ตัวตนนั้นกับทุกคนนั่นเอง 

    "Naked" เป็นแทรคปิดอัลบั้มที่ยังสามารถคุมแนวเพลงความเป็น grunge rock และ alternative rock ของอัลบั้มไว้อย่างดี และยังสามารถสร้างความตกใจให้กับผู้ฟังในแง่ของเนื้อเพลงที่ดูขัดอารมณ์กับ 12 แทรคที่ผ่านมาได้อย่างสิ้นเชิง

    2. "Slipped Away" from Under My Skin (2004)


    "Now you're gone, now you're gone
    There you go, there you go
    Somewhere I can't bring you back"

    ผ่านไปสองปีจาก debut album ในปี 2004 เอวริลก็ได้ปล่อยงานชุดที่สอง Under My Skin ที่ก็ยังคงเป็นงานเพลงที่สร้างกระแสต่อโลกดนตรีได้อย่างกว้างขวางไม่น้อยกว่าอัลบั้มชุดแรก ในงานเพลงชุดนี้ เธอได้พัฒนาทั้งด้านลุคและดนตรีให้มีความดาร์กแบบฉบับของสาว Gothic เสริมกับความแข็งแกร่งของเมโลดี้และเนื้อหาของเพลง

    ตามคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มที่ต้องการเน้นเรื่องราวที่ลึกลงข้างในจิตใจของตัวนักร้องสาว "Slipped Away" จึงเป็นหนึ่งในแทรคของอัลบั้มที่ใช้ในการปิดอัลบั้ม เพลงนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงการจากไปของปู่ (หรือตา) ของเธออย่างกระทันหันในขณะที่เธอกำลังออกทัวร์ Try to Shut Me Up Tour ในปี 2003

    เนื้อเพลงของ "Slipped Away" สามารถสื่อถึงความเจ็บปวดและโศกเศร้าจากตัวเอวริลให้ผู้ฟังได้เป็นอย่างดีด้วยท่อนอย่าง "I didn't get around to kiss you / Goodbye on the hand / I wish that I could see you again / I know that I can't" รวมไปถึงท่อน bridge ที่เหมือนเป็นการกรีดร้องแสดงความเสียใจต่อบุคคลที่ไม่มีวันกลับมา

    นอกจากเนื้อหาที่แสนจะดึงลง ด้านดนตรีก็ยังคงลายเซ็นต์ความ ballad rock ที่สาวกเอวริลคุ้นเคยกันได้ดี ด้วยเมโลดี้ของเปียโนและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ประกอบให้เป็นแทรคที่ปิดฉากของ Under My Skin ได้อย่างสวยงาม

    3. "Keep Holding On" from The Best Damn Thing (2007)


    "You're not alone, together we stand
    I'll be by your side, you know I'll take your hand"

    ในบรรดาแทรคปิดอัลบั้มทั้งห้า "Keep Holding On" จากอัลบั้มชุดที่สาม The Best Damn Thing ที่มีเพลงฮิตอย่าง Girlfriend น่าจะเป็นแทรคที่คุ้นหูกับหลายคนมากที่สุด เพราะด้วยเพลงนี้ถูกใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Eragon แถมเพลงนี้ยังสามารถไต่ขึ้นบิลบอร์ดชาร์ทได้ถึงอันดับที่ 17 อีกด้วย

    ในด้านดนตรี "Keep Holding On" ยังคงธีมความเป็น ballad rock ทรงพลังเฉกเช่นเดียวกับสองอัลบั้มที่แล้ว แต่ความต่างก็คือ แทรคที่ได้รับการช่วยโปรดิวส์จากโปรดิวซ์เซอร์สุดฉาวอย่าง Dr. Luke ที่ช่วยสร้างมิติของเพลงนี้ด้วยการใส่เสียงของเครื่องสายต่าง ๆ เพิ่มเข้ามา ซึ่งช่วยให้เพลงนี้ดูเป็นเพลงร็อคที่ทรงพลังและมีความแพงจากเสียงของเครื่องสายต่าง ๆ 

    ด้านเนื้อหาก็มีความต่างไปจากสองอัลบั้มที่แล้วเหมือนกัน เพราะ "Keep Holding On" เป็นเพลงให้กำลังใจกับทุกคนที่รู้สึกหมดหวังกับชีวิต โดยที่เอวริลบอกว่าไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาจะเลวร้ายเพียง ขอให้อดทนไว้ แล้วเราจะเดินไปด้วยกัน สำหรับใครก็ตามที่กำลังรู้สึกนอยด์กับสิ่งต่าง ๆ ที่เจออยู่ในชีวิตก็ขอให้กดฟังเพลงนี้ดู

    4. "Goodbye" from Goodbye Lullaby (2011)


    "I have to go
    And leave you alone
    But always know
    Always know
    Always know that I love you so"

    หลังจากหายจากวงการเพลงไปถึงสี่ปี บวกกับโศกนาฏกรรมการเลิกลาจากสามีเบอร์หนึ่งอย่าง Deryck Whibley แห่ง Sum 41 ศิลปินสาวก็ได้ฤกษ์ปล่อยอัลบั้มที่เป็นผลลัพธ์จากความเศร้าของเธอ Goodbye Lullaby

    ด้วยธีมของอัลบั้มที่ลดความจี๊ดจ๊าดจาก The Best Damn Thing และเสริมความโฟล์กและดนตรีสายอะคูสติกเข้าไปให้เหมาะกับเนื้อหาอกหักของเพลงต่าง ๆ ในอัลบั้ม ส่งให้เกิด "Goodbye" ที่เป็นทั้ง closing track และ title track ของอัลบั้มที่ถือว่ามีความแปลกมากที่สุดในลิสต์เพลง closing tracks ของเอวริล

    ตัวเพลงเดินด้วยดนตรีออเคสตร้าที่เหมือนแบกทั้งวงมาช่วยประพันธ์เมโลดี้ที่แสนเศร้าให้กับเพลงบอกลาคนรักของเธอ สำหรับเนื้อเพลงนั้นก็ไม่ต้องตีความอะไรกันให้ยุ่งยาก เพราะ "Goodbye" ถูกเขียนขึ้นเพื่อบอกลาพ่อหนุ่มไดเรกค์นั่นเอง และอย่างที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ตามสื่อเกี่ยวกับตอนหย่าร้างกัน เอวริลได้กล่าวว่า ถึงแม้ว่าเธอและไดเรกค์จะเลิกกัน แต่ทั้งสองก็ยังคงความเป็นเพื่อนกันอยู่เหมือนกับท่อนที่ยกมาให้อ่านกันอยู่ข้างต้น

    หากใครที่คุ้นกับความ pop rock ของเพลงของเอวริล ลองหันมาฟังแทรคหวาน ๆ ปนน้ำตาที่เราจะได้เคลิ้มไปกับเสียงหวาน ๆ และดนตรีช้า ๆ ที่เอวริลโปรดิวส์เอง

    5. "Hush Hush" from Avril Lavigne (2013)


    "So go on, live your life
    So go on, say goodbye"

    พรสวรรค์ของตัวเอวริลไม่ใช่แค่เสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ฝีมือด้านการแต่งเพลงยังถือว่ามีความโดดเด่นไม่น้อยเลย อย่าง "Hush Hush" จาก self-titled album ก็เป็นเพลงที่พิสูจน์ถึงความสามารถของความเป็นศิลปินที่เรียกได้ว่า "ครบ" มาก

    โทนของ "Hush Hush" มีความเป็นบัลลาร์ดแบบซอฟท์ร็อคที่คลอด้วยเมโลดี้ของเปียโนตามแบบฉบับเพลงที่ชาวเราคุ้นเคยกันจากตัวเอวริล ถึงแม้ว่า Avril Lavigne จะเป็นอัลบั้มที่ดูอ่อนที่สุดในงานทั้งหมดของเธอ แทรคปิดอัลบั้มนี้ก็ยังคงรักษามาตรฐานการทำเพลง closing track ที่สุดจะเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่หนักหน่วง ซึ่งใน "Hush Hush" เอวริลได้พาคนฟังเดินทางในสนามอารมณ์ของคนอกหักที่พรวดพราดไปด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ความเศร้า ความโกรธ ความเสียดาย จนไปถึงการโหยหาความสุขของเวลาดี ๆ ในอดีต และจบลงด้วยความหวังดั่งแสงปลายอุโมง

    เพลงนี้จึงเป็นเหมือนบทสรุปของความสุขและความเศร้าที่ถูกเล่าผ่าน 12 แทรคก่อนหน้านั้น และเหมือนเป็นคำสอนแสนฮิตของการใช้ชีวิต นั่นคือ ชีวิตของเราทุกคนต้องเดินไปข้างหน้า เพราะฉะนั้น หยุดร้องไห้แล้ว move on เถอะ

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    Time to make ROCK #music #Album6 #AL6 #fenderguitar

    โพสต์ที่แชร์โดย Avril Lavigne (@avrillavigne) เมื่อ



    และทั้งหมดก็เป็นเพลงปิดอัลบั้มทั้งห้าที่อยากให้ทุกคนได้ลองฟังก่อนที่ #AL6 (คาดว่า)จะถูกออกมาให้ปีนี้ หวังว่าในอัลบั้มชุดที่หกนี้ เอวริลจะสามารถทำให้การรอคอยกว่าห้าปีคุ้มค่าสำหรับแฟนเพลงทั่วโลก และถ้าใครที่ไม่คุ้นเคยกับเพลงของเธอ ก็อย่ารอช้า ลองกดฟังกันได้เลยครับ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in