เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
HealthyRin36xxx
รีวิว ข้อดีและข้อเสียของการเรียนหมอ (แบบละเอียด)
  •       *เป็นความเห็นส่วนบุคคลนะคะโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน แค่อยากมาแชร์ประสบการ์ณเฉยๆ

     

            ต้องบอกก่อนว่าพื้นเพคือเป็นเด็กมัธยมต่างจังหวัดห้องภาคเรียนธรรมดาๆคนหนึ่ง

          

              เมื่อ 7-8ปีที่แล้วเป็นช่วงที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยนิสัยส่วนตัวคือเป็นคนที่ไม่ได้มีเป้าหมายว่าอยากจะเป็นอะไรพิเศษ  การเรียนก็ไม่ได้เก่งไม่ได้อ่านหนังสือหนักเพื่อสอบเข้าอะไรมากมายแต่เมื่อตัดตัวเลือกแล้วก็เหลือแต่หมอ ที่เด็กต่างจังหวัดพากันฮิตสอบเข้าแข่งกันเราก็เลยเอาบ้าง ก็เลยมาเร่งติวสอบเอาโค้งสุดท้าย

        

            ด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาทำให้เราสอบติดโดยยื่นคะแนน GAT-PAT เข้าคณะแพทย์ที่พึ่งเปิดใหม่ไม่นานประจำจังหวัด เป็นโครงการที่หลังเรียนจบแล้วต้องใช้ทุน 3 ปี  

         

            นี่จะเป็นการรีวิวตลอดการเรียน 6 ปี 8 เดือน ของเรา โดยเรียนชั้นพรีคลินิกหรือชั้นปีที่1-3 ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ซึ่งช่วงนั้นคณะแพทย์ที่มหาลัยต่างจังหวัดของรัฐเปิดใหม่เพิ่มมากขึ้น เราจึงได้เป็นนักศึกษาแพทย์รุ่นแรกๆของมหาลัยนั่นไปโดยปริยายรุ่นนึงมีนักศึกษาแพทย์ไม่ถึง 40 คน  แล้วไปฝึกงานช่วงปี 4-6  ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดในภาคอีสานอีกแห่งหนึ่ง

        

             ข้อเสีย


    -      ความเครียดสะสม บางคนลาออกกลางคันหรือออกช่วงใช้ทุน 3 ปี หรือช่วงไปเรียนต่อหมอเฉพาะทางซึ่งใช้เวลาอีก3-4ปี กว่าจะเรียนจบ อาจจะทำให้เกิดภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้าได้มากกว่าปกติ มีข่าวนักศึกษาแพทย์ฆ่าตัวตายอยู่ทุกปีเพราะโดนความกดดันและความคาดหวังที่สูง ทั้งจากตัวเองและคนรอบข้าง อาจารย์แพทย์เพื่อนแพทย์คนอื่น คนไข้ ครอบครัว


    -        สิ่งที่จะต้องเจอแน่ๆคือการตรวจร่างกาย จะต้องจับแทบจะทุกส่วน เช่น วอร์ดศัลยกรรม ก็ต้องตรวจบริเวณหน้าอกทวารหนักของคนไข้ เย็บแผลฉีกขาด เลือดพุ่ง ตอนขึ้นวอร์ดอายุรกรรม ก็ต้องเอาอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำหนอง ไปทำการย้อมหาเชื้อโรคนั้นๆ   


    -        ต้องระวังให้มากเวลาขึ้นวอร์ดตรวจคนไข้ เช่นต้องระวังเวลาฉีดยา ทำหัตถการที่ต้องใช้เข็มแล้วปรากฏว่าทิ่มโดนมือตัวเอง เพราะเราไม่รู้เลยว่าผู้ป่วยคนนั้นมีความเสี่ยงในเรื่องของ HIV  รึเปล่า กับโรคทางระบบทางเดินหายใจ  นักศึกษาแพทย์หรือหมอบางคนก็มีโอกาสติดเชื้อวัณโรคได้จากคนไข้  ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้นกันของแต่ละคนด้วย ทางที่ดีคือควรใส่ Mask ไว้ทุกครั้งเวลาราวด์คนไข้


    -        บางทีก็นอนไม่พอเพราะว่าต้องไปเข้าเวร ก็คือราวน์ดูคนไข้ในตึกผู้ป่วยถึงหัวค่ำ แล้วรอรับเคสผู้ป่วยใหม่ในวันนั้นอีก ไหนจะต้องทำพรีเซ้นต์เคสวันต่อไป  เวลาอ่านหนังสือและเตรียมสอบก็น้อยลงไปอีก


    -        อุบัติเหตุต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ เนื่องจากนอนไม่พอ ทำให้อาจะเผลอหลับในได้


    -        มีการสอบที่หลายขั้นตอนกว่าจะจบเป็นหมอได้  เพราะเป็นสาขาที่สอบเข้ายาก สอบจบก็ยาก ทั้งต้องสอบให้ผ่านแต่ละบล็อกวิชาที่เราไปเรียนแล้ว  ยังจะมีสอบเอาใบประกอบวิชาชีพ 3 ขั้นตอน (National License) ซึ่งขั้นตอนที่ 1มีความยากที่สุด หลายคนสอบไม่ผ่านจนต้องสอบใหม่หลายรอบ ในช่วงชั้นปี 4-6 ถ้าไม่ผ่านต่อให้จบมหาลัยได้ แต่ก็จะไม่มีเลขใบประกอบวิชาชีพซึ่งต้องเอาไปใช้ในการทำงานในโรงพยาบาล 

     

    -        แอบหาแฟนยาก  เพราะไม่ได้เจอใครเลยจ้า... แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นแพทย์คบแพทย์ด้วยกันเอง ไม่ก็เภสัช พยาบาล สัตว์แพทย์ น่าจะมาจากที่ว่าสายอาชีพใกล้เคียงกัน  น่าจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่า... ส่วนตัวเรานี่แฟนเป็นไม่ใช่หมอ เป็นคนญี่ปุ่นอีกต่างหาก ส่วนรุ่นพี่รุ่นน้องคนอื่นก็มีแฟนเป็นคนต่างชาติ อาชีพอื่นก็มีเหมือนกัน และส่วนใหญ่ก็หาผ่านApplication ทั้งนั้น



    -        ต้องหมั่นหาความรู้อ่านหนังสือบ่อยๆเพราะไม่อย่างงั้นจะลืมเอาได้ อีกทั้งความรู้เดี๋ยวนี้มีอัพเดทมาเรื่อยๆ จะต้องกระหายที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ แต่ก็แล้วแต่คน คนขี้เกียจอย่างเราก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ถถถ

     

                    ข้อดี


    -        จะได้เรียนในสิ่งที่เกี่ยวกับมนุษย์จริงๆ แบบร่างกายทุกส่วน เข้าใจความเป็นมาของระบบกลไกของร่างกายทั้งแบบปกติและไม่ปกติได้ดี


    -        การเป็นคนที่มีความสุขกับอะไรง่ายๆรอบตัว เช่น เวลาตรวจคนไข้อยู่แผนกห้องฉุกเฉิน แล้วยุ่งมากๆๆ ต้องเดินไปตรวจเตียงนั้นเตียงนี้  ถามซักประวัติ ตรวจร่างกาย ใส่ข้อมูลในคอม เขียนใบสั่งยาแบบรัวๆ ต้องโทรปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางเป็นต้น แล้วพอช่วงที่ได้พักแบบนั่งหายใจเฉยๆสักประมาณ 5 นาที ก็มีความสุขมากล่ะ... มีเตียงให้นอนพักหลับสนิท มีอาหารให้กินไม่หมดแรง ก็โอเคมากๆเลยในตอนนั้น 

     

    -        เข้าใจโรคของร่างกายและจิตใจ  ปลงในเรื่องของการเกิดแก่เจ็บตายของมนุษย์  เห็นสัจธรรมอีกด้านหนึ่งของมนุษย์ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่บางคนยังมีปัญหาทางจิตใจ สังคม อะไรร่วมด้วยมากมาย เคสฆ่าตัวตายมีทุกวัน เคสทำแท้ง ในขณะเดียวกันก็มีเคสคลอดเด็กเกิดใหม่

     

    -        ได้ทำบุญต่อเพื่อนมนุษย์โลกตัวกัน  รู้สึกว่าตัวเรามีคุณค่า ที่ได้ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นได้ โดยเฉพาะเวลาคนไข้อาการดีขึ้น  เราก็มีความสุข เป็นความสุขที่ไม่ต้องใช้เงินจ่ายเพื่อจะได้มาเลย

     

    -        ช่วงระหว่างที่เรียนปีสูงชั้นคลินิก จะมีการเปลี่ยนวอร์ดทุกๆสามเดือน ก็จะได้เจอกับพี่แพทย์ใช้ทุนอาจาร์ยและพยาบาลประจำวอร์ด ระหว่างที่ราวน์เดินดูเคสคนไข้ เขียนออเดอร์สั่งยาให้คนไข้ในตอนเช้า  ก็จะมีพี่ๆหรือน้องนักศึกษาแพทย์มาตามราวน์ด้วยกัน  ก็อาจจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ช่วยกันดูแลเคสเป็นทีมได้เรียนรู้จากรุ่นพี่ มีโมเม้นต์ที่ดี หรือไม่ก็โดนกินหัว ถูกซอยตอบคำถามวิชาการก็ว่ากันไป (ซึ่งอันหลังเราโดนบ่อย ถถถ) 

                 พอสนิมสนมกันระยะหนึ่งก็ชวนกันไปทานข้าวข้างนอกบ้าง เลี้ยงข้าวกันบ้าง  ส่วนรุ่นน้องก็จะมีทำของขวัญที่ระลึก ซื้อขนมมาให้พี่  ถ่ายรูปกันก่อนจะต้องแยกย้ายไปอยู่วอร์ดอื่น  ถ้าได้พี่ใจดีหรือน้องที่ขยันทำงาน ก็จะรู้สึกไม่เครียดมาก มีทีมคอยช่วยเหลือ แต่เราก็ต้องพยายามด้วยเช่นกัน เพราะควรทำผิดพลาดให้น้อยที่สุด  กับประโยค Frist do no harm



    -        ได้ทำอะไรใหม่ๆที่ตื่นเต้นท้าทายที่คนทั่วไปไม่ได้ทำกันแน่นอน เช่น ปั้มหัวใจ CPR ให้คนไข้หัวใจหยุดเต้น, เจอเคสทางจิตเวชในวอร์ดคนไข้ ที่อยู่ๆตีหนึ่งตีสองลุกขึ้นมาเต้นหนักมาก (ฟ้อนรำบวงสรวงอัญเชิญเจ้าแม่ บลาๆ)  , ได้เห็นอวัยวะภายในร่างกายคนได้ช่วงเย็บบาดแผล ใช้เข็มฉีดยาเจาะส่วนต่างๆของคนไข้เพื่อช่วยหาสาเหตุของโรค ขึ้นอยู่กับโรคและอาการเช่น ไขสันหลัง ปอด ท้อง เป็นต้น  ใช้เฝือกพันกระดูกที่หัก

     

    -        จะได้เจอคนใหม่ๆ ผ่านเข้ามาเสมอได้มิตรภาพใหม่ๆเก็บไว้เป็นความทรงจำ เช่นรุ่นน้องกลุ่มใหม่ พี่ราวน์กลุ่มใหม่  แต่ก็ไม่เคยเจอคนที่ใช่  จากการราวด์อยู่ดี ถถถ ไม่มีอารมณ์จีบกันเลยจ้า จะนอน!!

     

    -        ถ้าคนที่มาเรียนแล้วชอบ ขยันตั้งใจ ก็จะไปได้ดีกับวิชาชีพนี้  เคยเห็นเพื่อนแพทย์และอาจาร์ยเฉพาะทาง  ที่จบมาจากมหาลัยดังมีชื่อ  นอกจากจะนิสัยดีแล้ว ยังมีความขยันตั้งใจ เป็นแบบอย่างที่ดีในการเป็นแพทย์มากๆ ความรู้วิชาการก็แน่นเป๊ะ  สนุกกับการทำงาน ดูเกิดมา Born to be ที่จะทำอาชีพนี้จริงๆ

     

    -        ได้ฝึกทักษะการพูดคุยถามตอบ การวางตัว ในตอนที่ต้องคุยกับคนไข้มากหน้าหลายตา (ประหนึ่งเซเลปตอบคำถามนักข่าว) จากคนที่ไม่ค่อยพูดกับคนแปลกหน้าตอนนี้กลายเป็นคุยได้สบายๆกันเองกับคนหลายช่วงอายุ 

     

    -        ถ้าอดทนเรียนจนจบมาได้  จะพบว่าหางานทำได้แน่นอน ไม่ตกงาน ไม่อดตาย (เป็นอาชีพกันตายที่แท้ทรู) และเดี๋ยวนี้ก็สามารถทำงานในโรงพยาบาลรัฐเอกชน คลินิกทั่วไป คลินิกเสริมความงาม ซึ่งรายได้ก็ดีในระดับหนึ่ง  แล้วยิ่งถ้าจบแพทย์เฉพาะทางมาได้แล้วยิ่งสบายขึ้นด้วย แต่กว่าจะถึงจุดนั้นก็ต้องใช้เวลาพอสมควร

     

    -        กรณีที่อยากลองไปเรียนหรือทำอย่างอื่นก่อน ค่อยกลับมาเป็นหมอก็ยังสามารถทำได้อีกด้วย เช่น  year gap ไปเรียนภาษาสักพัก หรือไปเปิดร้านคาเฟ่ ไปทำอะไรที่อยากทำดูก่อน แล้วถ้าเกิดหางานไม่ได้ หรือไม่ประสบความสำเร็จกับธุรกิจ ก็สามารถกลับมาเป็นหมออีกรอบก็ไม่เสียหาย  แต่ระหว่างที่ไปทำอย่างอื่นก็อาจจะเจอสายตาและคำถามที่มองแปลกๆหน่อยว่า 'เป็นหมอก็ดีแล้วนี่ทำไมมาทำอะไรแบบนี้' ก็เอาเป็นว่า อย่าได้แคร์ค่ะซิส จะทำอะไรตัวคุณรู้ตัวดีที่สุด ใครจะเข้าใจไม่เข้าใจก็เรื่องของเขา (เพราะนี่ก็เสียน้ำตามาเยอะกับคำพูดเหล่านี้เช่นกัน)

     

    -        การเป็นหมอในสมัยนี้ ค้นหาความรู้ได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมากๆ  สามารถหาอ่านข้อมูลทางการแพทย์ต่างๆ ได้ไม่ว่าจากวารสาร journal ทางการแพทย์ หรือจากapplication ที่เชื่อถือได้อย่าง Pubmed , Medscape เป็นต้น

            

                     น้องๆคนไหนอยากสอบถามเพิ่มเติมก็ถามเข้ามาหลังไมค์ได้นะคะ 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in