หลังจบการปฐมนิเทศ พวกเราก็พากันกลับไปที่ห้องนอน รื้อสัมภาระออกมาตั้งรกรากบนเตียง ทันใดนั้น ผมก็เพิ่งนึกได้ว่า นี่เป็นการค้างแรมที่โฮสเทลครั้งแรกของผมเลยนี่นา
ปกติแล้ว เวลาเดินทางไปไหนมาไหนในต่างแดน ผมจะเลือกใช้โมเตลตลอด (โมเตลที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงม่านรูดแบบบ้านเรานะครับ ของที่นี่เป็นอาคารยาวๆ คนที่มานอนสามารถเอารถมาจอดที่หน้าประตูห้องแล้วเข้าไปนอนได้เลย หากวาดภาพไม่ออก ลองนึกถึงพวกที่กบดานของตัวเอกเวลาหนีผู้ร้ายในหนังฮอลลีวูดดู แบบนั้นเลยครับ) แต่ที่ครั้งนี้เลือกโฮสเทลเป็นเพราะที่ค้างแรมแบบอื่นในอลาสก้าค่อนข้างแพง ส่วนหนึ่งก็เพราะมันเป็นรัฐแห่งการท่องเที่ยว และช่วงที่ผมไปอย่างเดือนมิถุนายนคือช่วงกำลังพีค (คนส่วนใหญ่มาเที่ยวอลาสก้าช่วงฤดูร้อน เพราะฤดูหนาวนั้นหนาวเกินจะอภิรมย์) ที่พักหรูๆ ดีๆ เลยโหดเลือดซิบ
ผมจึงพยายามปลอบใจตัวเองว่ามาเที่ยวทั้งทีจะนอนให้สบายอะไรนักหนา สู้เอาเงินค่าที่พักไปโปะกับค่ากิจกรรมเอาต์ดอร์เจ๋งๆ แทนดีกว่า กลับบ้านไปเดี๋ยวก็ได้นอนแผ่ร่างบนเตียงที่คุ้นเคยแล้ว
ทันทีที่อาบน้ำเสร็จ ชองอาก็บอกว่าขอตัวไปนอนก่อน ดูท่าเจ็ตแล็กจะโจมตีเธออย่างรุนแรง ซึ่งก็สมควรแล้ว เพราะเราใช้เวลานั่งเครื่องบิน (รวมเปลี่ยนเครื่อง) เกือบสิบเจ็ดชั่วโมง โคตรเหนื่อย นานพอๆ กับบินกลับไทยเลย ที่จริงผมก็ควรจะรีบเสือกหัวลงหมอนเหมือนเธอ เพราะนี่ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว แถมพรุ่งนี้ยังมีแผนจะเดินทางไกลอีก แต่พอมองออกไปนอกหน้าต่างปุ๊บ แม่ง...โคตรเซอร์เรียล สว่างอย่างกับบ่ายสอง จิตภายในและสมองทำใจให้ชินไม่ทันจริงๆ
นี่สินะที่เขาเรียกกันว่า Midnight Sun เคยแต่ได้ยิน เพิ่งจะได้มาเห็นกับตา (อธิบายก่อนว่า พวกดินแดนแถบเหนือเส้นศูนย์สูตรอย่างอลาสก้า รัสเซียตอนบน หรือพวกสแกนดิเนเวีย พอถึงฤดูร้อนเมื่อไหร่ ท้องฟ้ามักจะประหลาดแบบนี้แหละครับ กล่าวคือพระอาทิตย์จะฟิตมากเป็นพิเศษ แทบไม่เคยลาลับไปจากขอบฟ้าเลย เที่ยงคืนแล้วฟ้ายังสว่างโร่เหมือนเที่ยงวัน บางช่วงนี่สว่างไปเลย 24 ชั่วโมงรวด ขยันมากๆ ถ้าพระอาทิตย์เป็นพนักงานออฟฟิศ ตอนนี้ก็คงเป็นช่วงบ้าโอที หาเงินไปผ่อนคอนโดฯ ติดรถไฟฟ้าแน่นอน)
เจอฟ้าสว่างแบบนี้ ตาผมก็เลยสว่างไปด้วย เที่ยงคืนกว่าแล้วก็ยังนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาจนกลัวคนข้างล่างจะลุกมาด่าแม่ แถมอาการติดหมอนข้างก็มากำเริบตอนนี้อีก ซึ่งการนอนตะแคงแล้วไม่มีอะไรให้กอดนี่มันไม่ถนัดเลยนะครับ ผมเลยอยากขอใช้พื้นที่ตรงนี้รณรงค์ให้พี่ฝรั่งมีวัฒนธรรมการใช้หมอนข้างกันได้แล้ว ตอนอยู่นิวยอร์กก็หงุดหงิดไปรอบหนึ่งล่ะ ไล่ตระเวนหาซื้อตามร้านเฟอร์นิเจอร์เท่าไหร่ก็ไม่มี สุดท้ายเลยต้องอิมพอร์ตหมอนข้างไปจากที่เมืองไทย (จริงจัง) (แถมอีก—ที่ฉีดก้นก็เป็นอีกอย่างที่ผมอยากให้ชาวตะวันตกใช้กันอย่างแพร่หลาย เชื่อผมเถอะ ดีจริงนะ)
ผมนอนไม่หลับจนยอมแพ้ต้องออกไปนั่งเล่นที่ห้องรับแขก โอลลีที่นั่งจิ้มไอแพดอยู่แถวนั้นเห็นผมนั่งเปลี่ยวๆ ยามวิกาลเลยเดินเข้ามาคุยเล่นด้วย เขาถามไถ่ว่า มีอะไรจะให้ช่วยมั้ย ไม่ต้องเกรงใจ ผมนึกสักชั่วครู่ก็เอ่ยขอคำปรึกษาเรื่องแผนการเดินทาง คือผมกับชองอาจัดโปรแกรมกันมาแล้วก็จริง แต่ส่วนใหญ่ก็ตัดแปะมาจากแผนการเดินทางตามที่เห็นจากเว็บไซต์ท่องเที่ยว ผมเลยอยากรู้ว่าในสายตาคนท้องถิ่น โปรแกรมนี้ของผมมันเวิร์กมั้ย
ผมเดินกลับไปหยิบกระดาษโปรแกรมทัวร์ของเราในห้องนอน พร้อมเดินไปลากชองอาที่กำลังสลึมสลือได้ที่มาร่วมฟังด้วย เวลากูหลงจะได้คอยช่วยเหลือ (แมนมาก)
“This is a good Alaska.”
โอลลีกล่าวชมหลังพิจารณาโปรแกรมของเรา
ผมแอบดีใจในเบื้องลึก อย่างน้อยก็ไม่เสียดายที่อุตส่าห์ทำการบ้านมา
“I mean this is good Alaska. But not the real Alaska.” เขาพูดต่อ
โถ สรุปโปรแกรมเราไม่เจ๋งพอสินะ...
โอลลีบอกว่าแผนของเรานั้นเก็บของดังของเด็ดได้ครบถ้วน แต่ก็ดูเป็นตารางที่อัดแน่นไปหน่อย พวกเรามีเวลาตั้งสองอาทิตย์ แนะนำให้เราเที่ยวแบบสบายๆ ดีกว่าเดิมที เราวางแผนจะเดินทางขึ้นเหนือจากแองเคอร์เรจไปเริ่มต้นที่แฟร์แบงก์ส (Fairbanks) วนลงมาวัลดีซ (Valdez) ขับรถขึ้นเรือเฟอร์รีข้ามไปที่วิตทิเออร์ (Whittier) จ้วงต่อไปเซเวิร์ด (Seward) ก่อนจะวกกลับมาที่แองเคอร์เรจอีกครั้ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in