ซันไชน์เป็นเด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ บ้านเกิดอยู่ที่พอร์ตแลนด์ (Portland) รัฐโอเรกอน (Oregon) เจ้าตัวบอกว่าเดินทางมาที่นี่ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ความที่ขี้เกียจหางานทำเลยเดินทางมาร่อนเร่พเนจรโบกรถเที่ยวในอลาสก้าได้เกือบหนึ่งปีแล้ว
อืม…ชีวิตน้องนี่เสรีภาพเต็มหลอดดีนะ พี่เห็นแล้วก็ริษยาเบาๆ ฟังแล้วก็ได้แต่นึกย้อนไปถึงตอนเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ ตอนนั้นผมไม่มีทางเลือกแบบนี้ เรียนจบปุ๊บเหมือนมีคนยิงปืนขึ้นฟ้า ต้องรีบวิ่งแข่งกันเข้าสู่ตลาดแรงงาน ใครได้งานเร็วจะหล่อมาก ใครได้งานตรงกับสายที่เรียนมาจะยิ่งหล่อขึ้นไปกว่าเดิม ส่วนคนที่ไม่มีผู้ว่าจ้าง ชีวิตตอนนั้นจะกดดันสุดๆ ถ้านานไปจะยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นพลเมืองบัณฑิตชั้นสอง เริ่มเคว้งคว้างเริ่มคิดมาก ลืมเรื่องการเดินทำหน้านิ่งๆ เข้าไปบอกที่บ้านว่า “ป๊า เบ๊นตกงานมาหลายเดือนแล้ว ไหนๆ ก็ยังไม่มีงานทำ งั้นขอออกเดินทางไปพเนจรค้นหาตัวเองที่อลาสก้าสักหนึ่งปีนะ” ตัดภาพมา นอกจากมึงจะไม่ได้ไปอลาสก้าแล้ว ยังอาจจะโดนทางบ้านรุมเฆี่ยนตูดแตกพร้อมจับหัวกระแทกเทิร์นบัคเกิลและโดนเนรเทศให้ไปอยู่บ้านบางแคแทนได้
แต่อย่างว่า บริบททางสังคมและวิถีปัจเจกของเรากับเขามันแตกต่างกัน วัยรุ่นอเมริกันรับผิดชอบตัวเองตั้งแต่ตอนเรียนไฮสคูล หลายคนพอขึ้นมหา’ลัยก็ย้ายออกจากบ้าน หางานทำส่งเสียตัวเอง ชีวิตไม่ได้ขึ้นตรงกับพ่อแม่อีกต่อไป ชีวิตสี่ปีมีแต่การเรียนและทำงานพาร์ตไทม์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พอเรียนจบ พวกเขาบางคนจะอยากแวะพักหารสชาติแปลกใหม่ให้กับชีวิตบ้างถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่แค่ผมที่ตื่นตาตื่นใจกับการใช้ชีวิตของซันไชน์ เพราะชองอาก็ทำหน้านิ่วคิ้วสงสัยเหมือนกัน บางที ชาวเอเชียอย่างเราอาจเติบโตมาด้วยแพตเทิร์นคล้ายกันก็เป็นได้
“คือมาเที่ยวไอก็เข้าใจนะ แต่ยูมาพเนจรตั้งเป็นปี วันๆ ทำอะไรบ้างเหรอ?” มนุษย์เอเชียเพศชายเริ่มเปิดประเด็นคำถาม
“ก็ใช้ชีวิต just live my life”
“คือ…?”
“ก็ทำอะไรที่อยากทำ เดินทาง จดบันทึก ตกปลา พบปะผู้คน เดินป่า ปีนผาพวกนี้แหละ”
“ ‘ใช้ชีวิต’ แบบนี้เป็นปีๆ ไม่เบื่อบ้างเหรอ”
“สนุกจะตาย ชีวิตแต่ละวันไม่ซ้ำกันเลย วันก่อนไอเพิ่งเจอหมีดำในป่าแถวทาลคีตนา (Talkeetna) หรืออย่างอาทิตย์ก่อนก็ออกทะเลไปช่วยเขาจับปูอลาสก้า ชีวิตแบบอิมโพรไวส์มันก็เพลินดีนะ”
“มีวี่แววจะกลับไปพอร์ตแลนด์บ้างมั้ย?”
“ยังนะ ยังชอบชีวิตตอนนี้อยู่”
“ไม่อยากกลับไปทำงานเป็นกิจจะลักษณะ?”
“ไม่รู้สิ ช้าเร็วยังไง เราก็ต้องทำงานอยู่แล้ว แต่ความหนุ่มนี่สิ มันอยู่กับเราไม่นานเท่าไหร่”
อืม…
“ชีวิตของนักโบกรถมันลำบากมั้ย?” มนุษย์เอเชียเพศหญิงเปิดประเด็นคำถามบ้าง
“ไม่ยากเลย ยูก็แค่ยืนที่ไหล่ทาง เจอรถผ่านมาก็ยกมือชูนิ้วโป้งเท่านั้นแหละ”
“ไม่กลัวเลยเหรอ?”
“กลัวอะไร?”
“ก็แบบ...”
“ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว เงินไอก็มีไม่เยอะ แถมไอเป็นผู้ชายอีก เรียกว่าไม่มีอะไรจะเสีย อ้อ แต่ถ้าให้กลัวจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องตำรวจ เพราะบางรัฐในแถบมิดเวสต์ (Midwest—พื้นที่ช่วงกลางของสหรัฐอเมริกา) การโบกรถถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย”
“ไม่กลัวว่าจะไม่มีคนจอดรับแล้วต้องเคว้งอยู่กลางป่ากลางเขาบ้างเหรอ?”
“ถ้าที่อื่นอาจจะกลัว แต่ในอลาสก้าน่ะ โบกรถง่ายที่สุดแล้ว คนที่นี่ค่อนข้างไนซ์ยืนรอไม่นานก็มีคนจอดรับแล้วล่ะ เชื่อมั้ยว่าไอยืนรอนานสุดก็แค่สิบห้านาทีเท่านั้นเอง”
“เออ รู้งี้ ไอไม่น่ารับยูขึ้นมาเลย เผื่อยูจะได้ทำลายสถิติ”
“ฮ่าๆ นั่นสิ…แต่ไอขอแนะนำให้พวกยูลองโบกรถที่อลาสก้าสักครั้ง รับรองว่าไม่ยากเลย”
น่าสนใจ...หรือว่าผมควรจะลองโบกรถเฟิสต์ไทม์ที่นี่
“สงสัยมานานแล้ว ทำไมคนอลาสก้ามักจะไนซ์” ชองอาอยากรู้
“ไอว่าลักษณะของพื้นที่มันมีส่วนมากนะ อลาสก้ามันมโหฬารแต่โคตรร้างผู้คน ยิ่งฤดูหนาวที่นี่มันเคว้งคว้างสุดๆ คนท้องถิ่นเขาเลยช่วยเหลือพึ่งพากัน ชุมชนของเขาเลยแข็งแรงมากๆ เวลาเจอคนแปลกหน้างงๆ ก็ยังอาสาเข้าไปช่วย ไอว่าคนอลาสก้าเติบโตมาจากความแน่นแฟ้นแบบนี้แหละ”
“เคยเจอคนเวรๆ ในอลาสก้าบ้างมั้ย”
“พวกยูนี่แหละ พวกแรก”
“...”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in