เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกฝึกงานfinewan
Long สักครั้ง
  • พอมาคิด ๆ ดูก็นึกขึ้นได้ ก่อนฝึกงานเราเคยคุยกับเพื่อนว่าถ้าได้ที่ฝึกงานที่ชอบ ต่อให้ไกลบ้านแค่ไหนก็ไม่หวั่นหรอก พอได้ที่ฝึกงานจริง อย่างที่บอกไปก่อนหน้าว่าร้านหนังสือก็องดิดไกลจากบ้านพอสมควร คร่าว ๆ คือ ต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์จากบ้าน - ต่อรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท - เปลี่ยนขบวนที่สยามไปสายบางหว้า - ต่อรถไฟฟ้าสายสีเหลือง - เดินอีกไม่ไกล (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที)

    This is so LONG!

    ส่วนตัวแล้ว เรื่องเวลาเดินทางไม่เท่าไหร่ ระยะทางก็ไม่เท่าไหร่ เพราะตอนเริ่มไปทำงานเราก็คิดแบบที่คุยกับเพื่อนนั่นแหละ เราว่าเราก็ใจสู้เหมือนกันนะ เพราะเราไม่รู้สึกท้อสักเท่าไหร่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือการเดินขึ้นบันได เป็นเรื่องเหนื่อย ๆ ที่ต้องเจอทุกวัน ระยะทางไกลไม่หวั่น แต่เจอบันไดแล้วทำเอาร้องโอ๊ย บันไดเยอะและยาวมาก! ขั้นก็ถี่สุด ๆ จนต้องก้าวทีละสองขั้น (อย่างระมัดระวัง) 

    จนถึงตอนนี้ ผ่านมา 3 สัปดาห์กับการทำงานร้านหนังสือ การเดินทางที่แสน Long ก็ต้องชะงักลง เพราะสถานการณ์โควิดรุนแรงมาก หน้าร้านต้องปิด และเราต้อง work from home สิ่งที่ต้องทำคือนำรายชื่อลูกค้าที่สั่งลง drive ของแต่ละวัน คอยจัดเตรียมรายชื่อสำหรับแปะพัสดุเพื่อจัดส่ง มีลูกค้าสั่งเยอะมาก เราคิดว่าถ้าได้เปิดร้านเมื่อไหร่คงได้ห่อหนังสือทั้งวัน เป็นเรื่องดีที่มีออเดอร์เยอะ แล้วเราก็ชอบห่อ แต่อยากให้สถานการณ์ดีขึ้นจัง จะได้ไปหน้าร้านเร็ว ๆ 

    26 กรกฎาคม 2564


    วันเวลาผ่านไป สถานการณ์ไม่ดีขึ้นเลย ทางพี่แป๊ดก็เข้าใจและอนุญาตให้เราทำงานที่บ้านจนจบการฝึกงานได้เลย รู้สึกผิดมาก ๆ ตอนที่คุยกับพี่แป๊ดเรื่องการฝึกงานช่วงครึ่งหลัง แต่เราตั้งใจว่าจะทำงานให้เต็มที่เหมือนเดิม หรือมากกว่าเดิม ทันทีที่รู้ว่าต้องทำงานที่บ้านตลอด เราเลยไปรื้อหนังสือที่มีเหมือนร้านมาอ่าน เผื่อว่าจะรีวิวหนังสือได้บ้าง โชคดีที่พอมีอยู่ และโชคดีที่พี่แป๊ดยินดีให้เราลองรีวิวหนังสือ นอกจากนั้นเราก็ยังทำหน้าที่เดิมที่เคยทำก่อนหน้านี้ ทำเท่าที่พอจะทำได้ 

    เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาส... ( ไปๆ มา ๆ เริ่มไม่ชอบการเริ่มประโยคแบบนี้แล้ว) ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่จะกลับไปหาพี่แป๊ด พี่ส้ม ชาลี และร้านหนังสือก็องดิดให้ได้เลย

    4 สิงหาคม 2564


    หลังจากการได้ลองทำงานทั้งสองรูปแบบ เราได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า ถึงแม้การทำงานที่ร้านจริง ๆ จะไกล ต้องใช้เวลานาน และลงแรงบางครั้ง แต่ใช่ว่าการทำงานออนไลน์จะง่ายและดีกว่า เพราะอุปสรรคก็มีเหมือนกัน เช่น การทำรายชื่อ บางครั้งเราก็ใส่ข้อมูลผิดพลาด เราต้องติดต่อลูกค้าเพื่อชี้แจง และขอโทษในความผิดพลาด จากเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่าลูกค้าร้านหนังสือก็องดิดทุกท่าน (ที่เราเจอหรือคุยด้วย) น่ารักมาก เนื่องจากเข้าใจข้อผิดพลาดและยินดียอมรับการแก้ไข ส่วนเราก็บอกตัวเองว่าต้องรอบคอบกว่านี้ และเวลาติดต่อลูกค้าก็ต้องคิดให้ดีว่าควรพูดแบบไหน ให้เขาเข้าใจและไม่รบกวนเวลา 

    เราได้รู้ว่า เมื่อมีปัญหาหรือเรื่องอะไรเกิดขึ้น เราก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือ ยอมรับความผิดพลาด แก้ไขปัญหา และเรียนรู้จากสิ่งที่เกิด เพื่อสั่งสมทักษะและประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ ให้คุ้มค่าที่สุด

    15 สิงหาคม 2564


    ตั้งแต่ได้ฝึกงานออนไลน์ นี่ก็ผ่านมา 3 อาทิตย์เท่าฝึกงานที่ร้านแล้ว เรารู้สึกว่าอยากไปทำที่ร้านมากกว่า ค่อนข้างเสียดาย แทนที่จะได้ออกไปใช้เวลาฝึกงานตรงนี้ให้คุ้มค่าแต่ก็ต้องอยู่บ้าน ไม่ใช่ว่าทำงานออนไลน์แล้วเราไม่ได้ทักษะ เราได้เหมือนกัน แต่คิดว่าถ้าได้ออกไปร้านคงได้ทำมากกว่านี้เป็นเท่าตัว ตอนพี่แป๊ดบอกเครียดและเหนื่อยเพราะออเดอร์เยอะ เราก็กังวลใจไปด้วย แต่การเดินทางไปร้านเราต้องอาศัยรถสาธารณะซึ่งเสี่ยงพบเจอผู้คนมากมาย เราเลยไม่กล้าออกจากบ้านอย่างไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่กล้าเลย ทำได้แค่อดทน และทำเท่าที่ทำได้ต่อไป  

    20 สิงหาคม 2564

    วันสุดท้ายของการฝึกงาน วันนี้ครบกำหนดการฝึกงานของเราแล้ว รู้สึกแปลกๆ คงเรียกว่าอาการใจหาย เสียดายที่ไม่ได้บอกลาพี่แป๊ด พี่ส้ม ตัวต่อตัว ต้องคุยกันผ่านข้อความ (รวมถึงชาลีที่พี่ส้มส่งรูปมาบอกลา) รู้สึกไม่เต็มอิ่มกับการฝึกงาน แต่ก็ต้องบอกว่าดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของร้านหนังสือก็องดิด แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ แต่เราเชื่อว่าประสบการณ์การเป็นเด็กฝึกงานร้านหนังสือก็องดิดคงจะอยู่ในความทรงจำเสมอ 

    31 สิงหาคม 2564


    ความจริงเราตั้งใจช่วยลงข้อมูลและทำรายชื่อลูกค้าที่สั่งหนังสือ Pre-Order เล่มหนึ่งของร้านให้เสร็จ
    วันนี้ปิดพรีฯ เรียบร้อย ถือว่าสิ้นสุดการทำงานในฐานะเด็กฝึกงานจริง ๆ แล้ว :(

    6 กันยายน 2564


    ถึงผู้อ่านทุกคนที่ได้เข้ามาอ่าน (ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม) หลายคนอาจจะประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน หรืออาจจะไม่ สิ่งที่เราอยากฝากไว้มีเพียงความรู้สึกและคำอวยพรที่อยากแบ่งปัน 

    การฝึกงานนั้นยาก
    แต่ฝึกในยุคโควิดยากกว่า! 

    ใครที่เคยเจอหนักกว่านี้ก็ขอปรบมือให้และชมว่าเก่งแล้วที่ผ่านมาได้ ใครที่เจอเหมือนเราก็ขอจับมือแล้วมาผ่านมันไปด้วยกัน ส่วนใครที่ยังไม่เคยเจอก็ขอให้เอาชนะอุปสรรคที่จะผ่านเข้ามาได้ ดีที่สุดคือขอให้เจอแต่ความราบรื่นไปเลย เราเป็นกำลังใจให้ทุกคน


    สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณคนที่แวะเวียนเข้ามาอ่านเรื่องราวการฝึกงานของเรา
    ถ้ามีโอกาส :) หวังว่าจะได้พบเจอกันใหม่


    ป.ล. เรื่องบันได เราเคยตั้งใจลองนับขั้นตั้งแต่จุดหมายถึงปลายทางว่าวันหนึ่งเราเจอกี่ขั้น แต่ยังไม่มีโอกาสได้นับเพราะต้องรีบเดิน เพื่อให้ทันกลับบ้านก่อนฝนมา เพื่อไม่ขวางทางตอนคนเยอะ หรือเพื่อรีบไปขึ้นรถให้ทันไม่งั้นต้องรอขบวนถัดไปอีกสักพักใหญ่ ดูแล้วมีหลายเหตุผลเลย แต่เราตั้งใจว่าถ้าได้กลับไปที่ร้านอีกจะลองนับจำนวนขั้นบันไดดูให้ได้ หวังว่าจะเป็นความตั้งใจที่ไม่ล้มเหลวนะ


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in