‘ร้านหนังสือก็องดิด’ คือที่ที่เราได้มาฝึกงาน ร้านเปิดทุกวัน แต่หลังจากที่เราตกลงกับ ‘พี่แป๊ด’ พี่ผู้จัดการและเจ้าของร้านแล้ว เราจะได้ฝึกงานวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 10.00 - 18.00 น.
เริ่มฝึกงานวันแรก เราเดินทางออกจากบ้านด้วยความตื่นเต้น เมื่อเข้าร้านก็เจอพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง เราแนะนำตัวกับพี่เขา หลังจากนั้นก็ได้เจอพี่แป๊ด พี่แป๊ดบอกเราว่า 'พี่ส้ม' พี่คนแรกที่เราเจอจะคอยเป็นพี่เลี้ยงฝึกงานให้ ความรู้สึกแรกหลังจากได้เจอพี่ ๆ ที่ร้าน ก็รู้สึกถึงความเป็นกันเอง เมื่อเราและพี่ ๆ ทำความรู้จักกันแล้ว พี่แป๊ดก็กลับไปห้องทำงานพร้อมทิ้งท้ายด้วยประโยค "มีอะไรก็ถามพี่หรือพี่ส้มได้นะ" ด้วยรอยยิ้ม ปกติจะมีแค่พี่ส้มที่ประจำอยู่หน้าร้าน และพี่แป๊ดจะออกมาเป็นครั้งคราว ไม่นับรวมวันเสาร์อาทิตย์ ที่พี่แป๊ดจะเป็นคนดูแลหน้าร้านตลอดทั้งวัน เมื่อได้อยู่กับพี่ส้มสองคน เราก็แนะนำตัวกับพี่เขาและพูดคุยทำความรู้จักกันเพิ่มเติม หลังจากนั้นพี่ส้มก็เริ่มชี้แจงสิ่งที่เราควรรู้ให้ฟัง
พี่ส้มบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงโควิด จำนวนลูกค้าหน้าร้านลดจำนวนลงไปมาก ยอดขายส่วนใหญ่จะมาจากออนไลน์ เรารู้สึกเสียดายที่จะไม่ได้เห็นบรรยากาศที่ลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อหนังสือและนั่งอ่านหน้าร้าน แต่ก็ตั้งใจแล้วว่าจะทำงานในส่วนที่ทำได้ให้ดีที่สุด
สิ่งแรกที่พี่ส้มชี้แจงให้เรารู้คือตำแหน่งปลั๊ก ควรเสียบปลั๊กไหนบ้าง และเปิด-ปิดคอมพิวเตอร์คิดเงินยังไง สอนคิดเงินแบบคร่าว ๆ อย่างการยิงบาร์โค้ดหนังสือ กดเมนูเพื่อใส่จำนวนเงิน วิธีคิดเงินด้วยเครื่องรูดบัตร พี่เขานำหนังสือมาให้เราลองทำเองและยืนดู คอยบอกวิธี ทันทีที่ทดลองทำรายการเสร็จ เรารู้สึกสนุก เพราะเหมือนได้ทำงานที่อยากลองทำมาตั้งแต่เด็ก (เป็นพนักงานคิดเงิน) แต่ก็ยังมีส่วนที่งง ๆ อยู่บ้าง พอทำรายการเรียบร้อย เราเก็บใบเสร็จแรกนั้นมา แล้วจดสิ่งที่ควรจำเอาไว้หลังกระดาษเก็บไว้ในกระเป๋า (พี่ส้มบอกว่าจะสอนเราอีกทีตอนที่มีลูกค้าเข้าร้าน เราจะได้เรียนรู้ขณะลงมือจริง)
ถัดจากนั้น พี่ส้มก็สอนให้เราห่อหนังสือโดยทำให้ดูก่อน พี่ส้มมีวิธีของเขาซึ่งทำให้เราดูและบอกว่าจะทำให้การห่อแข็งแรง หนังสือไม่เสียหาย เราลองทำตาม แต่พี่ส้มก็แนะนำว่าถ้าเราห่อไปเรื่อย ๆ เราจะใช้วิธีที่ตัวเองถนัดก็ได้ แต่เราก็เลือกทำตามพี่ส้มก่อนเพราะรู้สึกว่าเป็นการห่อที่ดี เราลองห่อวันแรกยังไม่สวยเท่าไหร่ และยังไม่รู้สึกชินมือมากนัก หลังห่อเสร็จก็ต้องติดชื่อที่อยู่ลูกค้า จุดนี้ต้องตรวจทานให้ดีว่าใส่ถูกทั้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และระบุการส่งพัสดุตรงกับที่ลูกค้าเลือกไหม
ช่วงบ่าย ก็ต้องนำหนังสือที่ลูกค้าสั่งในวันนั้นไปส่ง โชคดีที่มีไปรษณีย์และขนส่ง Kerry อยู่ในห้างไอคอนสยามอยู่ไม่ไกลจากร้านมาก ปกติพี่ส้มจะเป็นคนไปส่งพัสดุแต่หลังจากนี้จะเป็นหน้าที่ของเรา วันนี้พี่ส้มเลยนำทางเราไปให้รู้เส้นทางก่อน พอส่งเสร็จ พี่ส้มก็เลยเลี้ยงเลี้ยงชานมไข่มุกหนึ่งแก้วเพื่อต้อนรับการฝึกงาน ความจริงรู้สึกเกรงใจแต่ก็ขอบคุณพี่เขามาก ๆ
ต้องบอกเลยว่าวันแรกก็ได้เรียนรู้และทำอะไรหลายอย่าง และเราคิดว่าในวันข้างหน้าน่าจะมีงานอีกเยอะให้เราได้ฝึก เวลาเลิกงานมาถึงอย่างรวดเร็ว สำหรับเรา ถือว่าจบวันแรกไปได้ด้วยดีแค่มีฝนตกหนักก่อนกลับบ้านเท่านั้น เราเลยรอให้ฝนซาก่อน เป็นเรื่องปกติกับการฝึกงานในช่วงฤดูฝน เราเลยเตรียมตัวและเตรียมใจมาบ้าง หวังว่าวันต่อ ๆ ไปฝนจะไม่ตกหนักจนเกินไป
28 มิถุนายน 2564
วันที่สอง เริ่มต้นด้วยการปัดฝุ่นชั้นหนังสือเพราะฝุ่นลงเร็วมาก ดังนั้นการปัดทุกเช้ารวมถึงคอยจัดหนังสือให้เข้าที่เป็นระเบียบจะกลายเป็นกิจวัตรของเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราคิดว่าการได้ทำแบบนี้มีประโยชน์ ด้วยความที่เราอยากตอบคำถามลูกค้าเวลาถามถึงหนังสือได้ ระหว่างปัดฝุ่นเราก็จะจำตำแหน่งของหนังสือไปพลาง ๆ ด้วย (แต่คงต้องใช้เวลาสักพักในการจำเลย)
วันนี้พอมีลูกค้าเข้าร้านบ้าง ทำให้ได้ลองคิดเงินด้วยตัวเองดู ใบเสร็จแรก... ใจเต้นเร็ว... มีพูดติด ๆ ขัด ๆ กับลูกค้าบ้าง กดผิดบ้าง พี่ส้มก็จะคอยอยู่ข้าง ๆ และบอกเรา ให้เราลองทำและแก้ปัญหาที่เกิดเอง จะได้รู้ว่าถ้าเกิดกรณีนี้ขึ้น ครั้งต่อไปจะต้องทำยังไง เรื่องนี้นอกจากจะขอบคุณพี่ส้มที่คอยแนะนำแล้วยังต้องขอบคุณลูกค้าทุกท่านด้วย เพราะตอนที่พี่ส้มขออนุญาตลูกค้าเพื่อฝึกงานเราระหว่างคิดเงินไปด้วย ลูกค้าก็ให้ความยินดีอย่างจริงใจ
ระหว่างวัน พี่แป๊ดจะเดินมาหน้าร้านบ้างและถามเรื่องงานหรือพูดคุยทั่วไปบ้าง ในช่วงที่ไม่มีลูกค้าเข้าร้านพอเราจัดการกับหนังสือที่ต้องห่อเรียบร้อย พี่ส้มก็ให้เราลองเช็กสต็อกสินค้า เป็นหนังสือจากสำนักพิมพ์ผีเสื้อ เราก็ทำตามที่พี่เขาสอนแต่ทำเสร็จพี่ส้มก็ต้องตรวจความเรียบร้อยอีกอยู่ดี เราเลยแอบรู้สึกเกรงใจเล็กน้อยเพราะต้องสอนเราแล้วก็ต้องเก็บงานอีกทีแต่ก็ยังให้เราได้เรียนรู้งาน
ตกบ่าย ถึงเวลาที่เราจะได้ไปส่งพัสดุคนเดียวครั้งแรก หน้าที่เด็กส่งของจึงเป็นของเราเริ่มตั้งแต่วันนี้ รู้สึกไม่เบื่อเพราะงานร้านหนังสือมีอะไรให้ทำหลายอย่าง
29 มิถุนายน 2564
ลุยวันที่สาม รู้สึกว่าเวลาทำงานผ่านไปรวดเร็ว อาจเพราะได้ทำงานหลายอย่างแบบเพลิน ๆ ได้ลงรายชื่อลูกค้า ห่อหนังสือ คิดเงิน ส่งของ ทำป้ายลดราคา รวมถึงให้อาหารคุณชาลี (แมวประจำร้าน) แม้จะไม่ได้ให้บ่อยนักเพราะมีคนแวะเวียนให้อาหารคุณชาลีหลายคนก็ตาม
ที่สำคัญ วันนี้เรายังได้กินอาหารที่พี่แป๊ดซื้อมาให้ด้วย มีทั้งอาหารไทยและขนมไทย อร่อยมาก ๆ
การฝึกงานในสัปดาห์ที่สองเริ่มต้นด้วยกิจวัตรเดิมที่ทำทุกเช้าคือปัดฝุ่นชั้นหนังสือเช่นเคย
ด้วยความที่ร้านเราติดกับร้านกาแฟ ซึ่งร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องขนมด้วย บ่อยครั้งที่นั่งอยู่แล้วได้กลิ่นขนมปังโชยมา จนต้องพูดกับพี่ส้มว่า "หอม" ตลอดเลย ที่สำคัญร้านมักเปิดเพลงที่เราชอบด้วย ถ้าเช้าวันไหนที่เพลง when you say nothing at all หรือ how deep is your love ดังขึ้น เราจะคิดตลอดว่า วันนี้เริ่มต้นด้วยเพลงที่ชอบอีกแล้ว!
สัปดาห์นี้บรรยากาศยังไม่แตกต่างมากนัก พี่ส้มจะสอนเราแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้เจอสถานการณ์จริงแล้วให้เรียนรู้ขณะนั้นเลยมากกว่า ไม่ใส่มาทีเดียวทั้งหมด ตรงนี้เราคิดชอบมาก เหมือนยิ่งทำงานไปเท่าไหร่ ก็ยังมีเรื่องใหม่ ๆ ที่รอให้เราเรียนรู้เพิ่มอยู่ดี
อย่างวันนี้ เราเจอลูกค้าที่เลือกจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตเป็นครั้งแรก เรารู้สึกขอบคุณคุณลูกค้าที่ยินดีสละเวลาให้พี่ส้มสอนเราทดลองใช้บัตรกับเครื่องคิดเงิน อาจดูเป็นเรื่องที่ไม่ยิ่งใหญ่แต่บอกเลยว่าถ้าได้ลองทำครั้งแรกในฐานะเด็กฝึกงาน ก็มีใจสั่นเหมือนกัน
5 กรกฎาคม 2564
วันนี้มีหนังสือเรื่องใหม่มาลงที่ร้านหลายเรื่อง พี่ส้มถือโอกาสสอนให้เราลองคีย์ข้อมูลหนังสือเข้าระบบคอมพิวเตอร์ สนุกเหมือนเดิมเลย แต่ตอนทำก็ต้องรอบคอบเพราะต้องเลือกหมวดหมู่ ใส่ชื่อหนังสือ จำนวนสต็อก และลงราคาให้ถูกต้อง
นอกจากนี้เราต้องนำข้อมูลหนังสือที่เข้าร้านใหม่ลงเว็บไซต์ของร้าน ต้องใส่รายละเอียดหนังสือให้ถูก รวมถึงเขียนเรื่องย่อและคำโปรยหนังสือให้ดี งานนี้ทำให้เราเจอหนังสือที่อยากอ่านหลายเล่มเลย
6 กรกฎาคม 2564
เข้าสัปดาห์ที่สาม เราคิดว่าตัวเองห่อหนังสือเก่งขึ้นมาก วันนี้ได้เจอ ‘พี่กาแฟ’ ผู้มีหน้าที่รีวิวหนังสือ พี่กาแฟแวะเข้ามาเอาหนังสือที่ต้องรีิวิวที่ร้านทำให้เราได้เจอพี่เขาครั้งแรก ตอนที่พี่เค้าเลือกหนังสือกับพี่แป๊ดอยู่ เราแสดงท่าทางสนอกสนใจอย่างมาก (เพราะแน่นอนว่าเราสนใจจริง ๆ) เราอยากลองรีวิวหนังสือดูสักครั้ง ตกเย็นวันนี้พี่แป๊ดถามเราว่า อยากลองรีวิวหนังสือไหม (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการที่แสดงออกมาเกินไปของเราทำให้พี่เขาเห็นหรือเปล่า) เรารีบพยักหน้ารัวอย่างดีใจ พี่แป๊ดเลยให้เราเลือกหนังสือที่อยากรีวิว แต่เราเลือกไม่ถูกเพราะมีแต่เรื่องน่าสนใจทั้งนั้นก็เลยเลือกเล่มที่พี่แป๊ดแนะนำให้ และนี่ก็คือวันแรกที่เราได้หนังสือกลับไปอ่านที่บ้านเพื่อเตรียมเขียนรีวิวลงสื่อออนไลน์ของร้าน
13 กรกฎาคม 2564
ระหว่างนั่งทำงานอยู่ที่ร้าน ถ้าจัดการกับการห่อหนังสือเสร็จและยังไม่มีลูกค้าเข้า พี่ส้มก็บอกให้เราเอาหนังสือมาอ่านได้ด้วย เราก็เลยหยิบขึ้นมาอ่าน แต่ระหว่างนั้นใจก็ยังจดจ่อกับหน้าร้านบ้าง มีลูกค้าเข้าไหม มีรายการสั่งซื้อออนไลน์ที่ต้องห่อเพิ่มอีกหรือเปล่า กลายเป็นว่าอ่านหนังสือในร้านไม่ค่อยได้ ไม่มีสมาธิ เลยเก็บไว้อ่านบนรถไฟฟ้าระหว่างเดินทางแทน
ตั้งแต่ที่ได้หนังสือมาเราก็หยิบมาอ่านระหว่างนั่งรถไฟฟ้าตลอด เราเป็นคนอ่านหนังสือช้า จึงอยากรีบอ่าน แต่ไม่รู้ทำไม เวลาอ่านแล้วรู้สึกเวลาผ่านไปเร็วมากเลย เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือก็ต้องเปลี่ยนสาย พอนั่งแล้วเริ่มอ่านอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมาก็ต้องเปลี่ยนขบวน พอได้อ่านอีกที ไม่ทันไรก็ต้องลงจากรถไฟฟ้าแล้ว อ่านหนังสือนี่เพลินจริง ๆ นะ แต่ว่าเราอ่านไปด้วยคิดภาพในหัวไปด้วย เลยทำให้อ่านได้ช้าทุกที
กำหนดส่งรีวิวหนังสือคือวันพรุ่งนี้ ดีใจที่อ่านจบทันเวลา เมื่อกลับถึงบ้านก็เริ่มเขียนรีวิวทันที แต่สำหรับเราไม่ง่ายเลย ใช้เวลาอ่านก็นาน ใช้เวลาเขียนก็ยังนานอีกเหมือนกัน ระหว่างเขียนก็ได้แต่หวังว่าจะออกมาดี
15 กรกฎาคม 2564
เราส่งรีวิวหนังสือให้พี่แป๊ดครั้งแรก พี่แป๊ดอ่านและได้แนะนำจุดที่ควรปรับแก้ให้เรา หลังจัดการงานหน้าร้านเสร็จก็มานั่งแก้รีวิวตามที่พี่แป๊ดได้บอก รู้สึกว่ายากมากแต่สุดท้ายรีวิวก็ใช้ได้หลังต้องแก้ใหม่ถึงสองรอบ พี่แป๊ดบอกว่าไม่เป็นไร ค่อย ๆ ฝึกไป เราก็ได้กำลังใจ หลังจากวันนี้ก็รอเห็นการผลงานตัวเองตอนหนังสือลงโปรโมตแทบไม่ไหว
16 กรกฎาคม 2564
ทุกวันกับการทำงานที่ ‘ร้านหนังสือก็องดิด’ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมาสามสัปดาห์แล้ว...
19 กรกฎาคม 2564
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in