เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
my writings.anonym.
[SF] Midnight Canvas

  • Pairing : Hwang Minhyun x Kim Jonghyun 
    Rating : Mature
    Warning : Romantic - Horror ผสม Dark Fantasy นะคะ ส่วนนี่คือสกอร์ที่เราฟังตอนแต่ง เผื่อใครอยากเปิดฟังสร้างบรรยากาศเวลาอ่าน










     

    Let the ocean fill your lungs
    Struggle not, soon peace will come
    Taking in your final breath
    Sink down to the ocean's depths

    Siren Song – Sara Singer

     

     

    เรือนผมสีดำสนิทไหวตามสายลมอ่อนคลอเคลียผิวแก้ม นัยน์ตากลมโตเหม่อมองผืนน้ำที่ถูกความมืดมิดของยามรัตติกาลย้อมจนดำสนิท หากได้สบใกล้ จะเห็นถึงประกายความหวาดหวั่นสั่นระริกในดวงตาคู่นั้น

     

    น้ำตาหยดแรกหล่นเผาะเมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มขับร้องบทเพลงทำนองหวาน...

     

    เสียงไพเราะแว่วกังวานมาจากท้องทะเลกว้าง ขับกล่อมให้ใครต่อใครเคลิบเคลิ้มและหลงใหล แต่หารู้ไม่ว่าสุรเสียงงดงามนี้ไม่ต่างจากเปลวเพลิงที่ล่อหลอกเหล่าแมลง... ให้บินเข้าไป

     

    ไม่มีใครรู้ นอกจากเขา

     

    “ปล่อย...พวกเขาซะ...” เสียงแหบของชายหนุ่มสั่นพร่าอย่างน่าสงสาร ยามสบกับเงาดำของบางอย่างที่เพิ่งโผล่พ้นผิวน้ำดำมะเมื่อม แสงสีเขียวคล้ายนัยน์ตาคู่หนึ่งสว่างวาบ

     

    จับจ้องมายังเขา

     

     

     

     

     

     

    ความบังเอิญที่น่าหัวร่อเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นไม่ถึงเดือน

     

    ตั้งแต่วันที่พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และจากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ นี่เป็นครั้งแรกที่คิมจงฮยอนตัดสินใจกลับมาเยือนที่ ๆ เคยเป็นบ้านของเขา

     

    ชีวิตของนักข่าวสายอาชญากรรมที่วัน ๆ ขลุกอยู่กับการสัมภาษณ์ตำรวจ นักการเมือง อาชญากรในตาราง แม้กระทั่งพวกปีศาจในคราบนักบุญ... ในตอนนั้นนักข่าวไฟแรงที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์หวานหอมได้ตัดสินใจเขียนคอลัมน์เจาะลึกเกี่ยวกับระบบธุรกิจใต้ดิน เม็ดเงินมหาศาลถูกฟอกจนขาวสะอาดโยงไปมาจนน่าเวียนหัว เขากับเพื่อนลงทุนหาข้อมูลมาเกือบปี แน่นอนว่าผลตอบรับหลังจากคอลัมน์นี้ได้ตีพิมพ์ออกไป หัวข้อข่าวรวมทั้งเนื้อหาได้กลายเป็นปรากฏการณ์ใหญ่ของสังคม

     

    จึงไม่แปลกเลยที่วันนี้จะมาถึง

     

    ขณะที่เขากำลังดื่มด่ำกับความสำเร็จ เพื่อนร่วมงานซึ่งควบตำแหน่งเพื่อนสนิทสมัยเรียนได้ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม น่าตกใจไปกว่านั้น คนที่โทรมาบอกข่าวร้าย รวมทั้งส่งไฟล์ภาพนับสิบและวิดีโอมาทางแชทส่วนตัวของเขาไม่ใช่กองบรรณาธิการที่เขาทำงานด้วย หรือตำรวจผู้รับผิดชอบคดี แต่เป็นเจ้าของน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคยเพราะเพิ่งสัมภาษณ์อีกฝ่ายเมื่อสองเดือนก่อน

     

    ปาร์คกียุล นักการเมืองเฒ่าที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งใหญ่โตในสภา...

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    ความคั่งแค้นและอึดอัดใจทำให้คืนแรกในบ้านเกิดไม่ค่อยจะราบรื่นนัก จงฮยอนนอนไม่หลับ... เพราะเมื่อหลับตาลง ภาพร่างไร้วิญญาณของเพื่อนสนิทยังตามหลอกหลอนและซ้ำเติมถึงความผิดพลาด

     

    นานทีเดียวกว่าจะรู้สึกว่าบรรยากาศของที่อยู่ใหม่ไม่ช่วยเยียวยาจิตใจบอบช้ำของเขาเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินออกมาสูดอากาศข้างนอก ตามเสียงคลื่นลัดเลามาเรื่อย จนมาหยุดมาชายหาดเงียบสงบแห่งหนึ่ง

     

    แสงไฟตามทางพอจะช่วยให้เห็นทิวทัศน์รอบ ๆ อยู่บ้าง ที่แห่งนี้เลยไม่น่ากลัวเท่าไรในความคิดของเขา

     

    จงฮยอนยืนทอดอารมณ์สลับถอนหายใจ ก่อนจะบังคับเปลือกตาอ่อนล้าให้ปิดลง ซึมซับสายลมเย็นและกลิ่นอายทะเล พลางปล่อยให้กระแสลมบางเบาตีกระทบใบหน้า ปรารถนาให้พัดพาความเจ็บปวดที่อัดแน่นในใจของเขาออกไป แต่ก็ทำได้เพียงปลอบประโลมคนที่ร่ำไห้อย่างเงียบงันเท่านั้น

     

    เสียงคลื่นกระทบฝั่งสาดซัดผืนทรายเป็นจังหวะ

     

     

    “มาสิ...”

     

     

    คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินเสียงเพรียกของบางอย่าง เสียงนั้นดังกังวานไม่ใช่กระซิบแผ่ว ชายหนุ่มจึงมั่นใจว่าหูของเขาไม่ได้ฝาดอย่างแน่นอน

     

    ใครสักคนกำลังร้องเพลง ...

     

    ดวงตากลมกวาดมองรอบกายไปมาอย่างตระหนก ไม่มีใครอื่นนอกจากเขา บทเพลงท่วงทำนองหวานยังคงถูกขับขานดำเนินเอื่อย เคล้าคลอสายลมหวีดหวิว

     

    ไพเราะจนแทบหยุดหายใจ

     

     

    “มาสิ...ตามฉันมา...”

     

     

    เสียงที่ร้องเรียกได้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงของคน ๆ หนึ่ง...

     

     

    จะไม่มีใครทำอะไรนายได้...”

     

     

    เพื่อนสนิทของเขาแย้มยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า พลางยื่นมือมาให้เขา

     

     

    จงฮยอน... มากับฉัน...”

     

     

    เขาเอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล นั่นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าคุ้นเคยของคนตรงหน้ากว้างขึ้น

     

     

    ใช่... แบบนั้นแหละ”

     

     

    เห็นไหม... ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย...”

     

     

    ไปอยู่กับฉันนะ... จงฮยอน”

     

     

     

    ไป... ด้วยกัน...”

     

     

     



     

     

    “จงฮยอน!”

     

    เสียงเรียกกึ่งตะคอกของหญิงสาวคนหนึ่งดึงเขาที่กำลังเคลิ้มหลับให้ลืมตาโพลง เบื้องหน้าของเขาคือท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไร้ซึ่งดวงดาว กะพริบตาเรียกสติอยู่พักใหญ่กว่าจะรู้ตัวว่าเขาไม่ได้อยู่บนหาดแห่งนี้เพียงคนเดียว

     

    “คุณโอเคไหม?”

     

    จงฮยอนที่ยังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะไม่อาจสลัดภาพรอยยิ้มน่าขนลุกของเพื่อนสนิทไปจากหัวได้ เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบกลับไป... นานทีเดียวเหมือนกันกว่าเขาจะหันไปมองเจ้าของเสียงทุ้มละมุน

     

    ใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีดำขลับตัดกับผิวกายขาวสะอาดทำให้คน ๆ นี้ดูดีจนผู้ชายด้วยกันอย่างเขานึกชื่นชมในใจ ถึงกระนั้น คิมจงฮยอนก็คือคิมจงฮยอน... เมื่อหางตาเห็นว่าปลายนิ้วของอีกฝ่ายขยับใกล้ใบหน้าของตน อดีตนักข่าวหนุ่มจึงถอยกายหนีทันที

     

    “ขอโทษครับ“ เอ่ยขึ้นมาเพราะเห็นอีกฝ่ายหน้าเสียจากการกระทำที่ดูจะไร้มารยาทของเขา

     

    “ผมควรจะเป็นฝ่ายขอโทษคุณมากกว่าที่ถือวิสาสะแบบนั้น“ ชายแปลกหน้ายิ้มให้เขา ก่อนจะยกมือขึ้นชี้ตามหน้าของตน เหงื่อคุณน่ะ...”

     

    สัมผัสเปียกชื้นตรงหน้าผาก หรือแม้กระทั่งลำคอและแผ่นหลัง ช่วยสนับสนุนคำพูดของชายหนุ่มคนนี้ได้เป็นอย่างดี

     

    คิดยังไงถึงมาหลับในที่แบบนี้ล่ะคุณ แถมอยู่คนเดียวอีก”

     

    จงฮยอนขมวดคิ้ว

     

    “หลับ? ผมหลับไปงั้นเหรอ?”

     

    “ใช่ครับ เกือบชั่วโมงเลยล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะปลุกคุณอยู่ แต่เห็นคุณหลับสบาย เลยปล่อยให้คุณพักผ่อนดีกว่า”

     

    อดีตนักข่าวหนุ่มเช็ดเหงื่อของตนลวก ๆ ในหัวพยายามนึกย้อนเหตุการณ์ไปหลังจากที่ได้ยินเสียงคนร้องเพลง เห็นเพื่อนที่ตายไปแล้ว นอกจากนั้น ทุกอย่างก็ขาวโพลนไปเสียหมด

     

    จงฮยอน...”

     

    “สีหน้าของคุณดูไม่ดีเลย” ชายแปลกหน้าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ดวงตาสีเข้มทอดมองเขาอย่างอ่อนโยน “กลับไปพักผ่อนเถอะครับ คุณดูเหนื่อยมาก รู้ไหม?”

     

    นัยน์ตากลมยังคงมองเหม่อไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า

     

    เมื่อรู้สึกตัวว่าเขาเสียเวลากับการจ้องมองคลื่นทะเลไปมากเกินไป ซ้ำยังทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนต้องมาเสียเวลากับเขาด้วย แม้จงฮยอนไม่ใช่คนประเภทซึ้งใจกับความดีของเพื่อนมนุษย์ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายสองคนจะมานั่งด้วยกันดึก ๆ ดื่น ๆ แบบนี้

     

    คิดได้เช่นนั้นจึงถอนหายใจยาว พลางยันร่างของตนขึ้นจนลุกยืนเต็มความสูง มือเล็กปัดเม็ดทรายที่เกาะตามตัวไปมา “คุณเองก็กลับบ้านเถอะ นี่มันดึกมากแล้ว”

     

    เมื่อเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่เงียบไป คนที่ง่วนกับการปัดเนื้อปัดตัวจึงหันไปมอง และพบว่าเขาถูกอีกคนจ้องมองอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว

     

    ดวงตาคู่นั้นคล้ายจะมองทะลุในห้วงความคิดอันยุ่งเหยิงของเขา การถูกคนที่เพิ่งเจอไม่ถึงวันมองด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก สำหรับจงฮยอนแล้ว ช่วงเวลาแบบนี้คือจังหวะที่แย่ที่สุดที่จะเปิดรับหรือสร้างมิตรภาพใด ๆ กับใคร

     

    “ผมขอตัวก่อนนะ” ทำได้เพียงโค้งตัวและฝืนยิ้มให้ตามมารยาท ตั้งใจกับตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมาเหยียบชายหาดแห่งนี้

     

     

     

    โลกนี้... ไม่ได้มีคุณแค่คนเดียวหรอกนะ”

     

    เขาชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองเจ้าของประโยคเมื่อครู่ซึ่งตอนนี้ได้ลุกขึ้นยืนแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องแบกทุกอย่างเอาไว้ จะอมทุกข์ไปทำไมกัน ทั้ง ๆ ที่คุณก็มีความสุขได้

     

    คนฟังหัวเราะหึ แย้มยิ้มที่มั่นใจว่าพ่อคนดีตรงหน้าจะต้องเกลียดเขาอย่างแน่นอน งั้นลองบอกผมหน่อยสิ ว่าอะไรจะทำให้คนที่โลกหันหลังให้อย่างผมมีความสุขได้... ดูหนัง ฟังเพลง ... อะไรดีล่ะ?”

     


    ลองมาที่นี่ทุกวันดูเป็นไง เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลย”

     

    คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้เขาอึ้ง ใช่ ไม่ปฏิเสธด้วยว่าใจเต้นเล็กน้อยยามเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นจริงจังกับทางออกที่ตนเสนอมากแค่ไหน

     

    คุณไม่เข้าใจที่ผมพูด—”

     

    อะไรก็ตามที่คุณเคยทำ ถ้ามันดีจริง คุณคงไม่มานั่งหมดอาลัยตายอยากที่นี่หรอก จริงไหม?”

     

    นัยน์ตากลมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา พลางกัดริมฝีปากของตนอย่างหงุดหงิดใจ เขาเกลียดรอยยิ้มคล้ายจะยั่วเยาะของชายคนนั้น พอ ๆ กับความสามารถที่ทำให้เขาจนต่อคำพูด

     

    คิมจงฮยอนจึงเลือกที่จะเดินหนี

     

     


    ... และได้กลืนน้ำลายตัวเองในอีกสองวันต่อมา


    เขาเดินมายังหาดแห่งเดิม เพราะบุหรี่และนมร้อนไม่อาจช่วยให้เขาข่มตาหลับได้อีกต่อไป หวังเพียงว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่อยู่บนชายหาดแห่งนี้ แต่... ก็พบว่าความหวังนั้นถูกทำลายในพริบตา


    ชายแปลกหน้าคนนั้นได้ยืนอยู่ริมหาดเรียบร้อยแล้ว

     

    ท่ามกลางบทสนทนาที่เรียบง่ายและเสียงคลื่น ชายหนุ่มร่างสูงได้มอบรอยยิ้มนุ่มนวลและแนะนำตัวกับเขา

     


    คืนวันนั้นจึงเป็นครั้งแรก... ที่เขาได้รู้จักกับฮวังมินฮยอน...

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    หลังจากนั้นเขากับมินฮยอนมักจะเจอกันที่ชายหาดแห่งนี้เกือบทุกวัน ที่ใช้คำว่า 'เกือบ' เพราะสี่วันที่ผ่านมา เขาไม่ได้ออกไปไหนเลย นอกจากนอนซมโง่ ๆ ด้วยพิษไข้รุมเร้า และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ .....

     

    "หนีไป จงฮยอน!"

     

    เสียงตะโกนร้องดังลั่นให้ห้วงนิทราของชายหนุ่ม แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็นึกขอบคุณหญิงสาวคนนี้ไม่น้อยที่เสียงของเธอช่วยเขาให้ตื่นจากฝันร้ายหลายต่อหลายครั้ง

     

    ครั้งนี้ก็เช่นกัน

     

    จงฮยอนยกมือปิดหน้า ออกแรงกดฝ่ามือบนผิวกายชื้นเหงื่อจนรู้สึกเจ็บ บ่งบอกว่าเขาได้ตื่นจากฝันแล้วจริง ๆ ... ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจกลับมาที่นี่ ทุก ๆ คืนเขามักตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยเนื้อตัวเปียกชุ่มและหอบจนตัวโยนอย่างคนเสียขวัญ คนที่ตัดขาดจากทุกสิ่งไม่อาจหวังคำปลอบโยนจากใครได้ แต่ก็ไม่เสมอไป

     

    รู้ตัวอีกที คนที่ตั้งใจจะนั่งอัดบุหรี่อยู่กับบ้านก็เดินออกมาจนถึงริมหาดแห่งนี้แล้ว เขาถอนหายใจกับตัวที่ไม่อาจฝืนความต้องการของตนได้ แม้บางอย่างจะกระซิบเตือนแล้วก็ตาม

     

    ไม่มีใครอยากอยู่คนเดียวหรอก จริงไหม

     

    สายตาเหลือบเห็นเจ้าของแผ่นหลังคุ้นเคยยืนอยู่ลิบ ๆ ตรงนั้น

     

    รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของจงฮยอนโดยไม่รู้ตัว

     

    ไง มินฮยอน”

     


    “จง...ฮยอน...”

     


    “ผม... นึกว่าคุณจะไม่มาที่นี่ซะแล้ว...“

     

    เจ้าของร่างเล็กนิ่งไปครู่หนึ่งกับประโยคนั้น น้ำเสียงตัดพ้อของมินฮยอนทำให้ขนอ่อนตามร่างกายของเขาลุกชันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     

    เพราะเสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงทุ้มนุ่มที่เขาคุ้นเคย...

     

    จงฮยอนหันไปมองคนข้างกายทันที แต่เพราะอีกฝ่ายมองตรงไปยังทะเลผืนกว้าง สิ่งที่เขาเห็นจึงเป็นเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ดูนิ่งเฉยกว่าปกติ

     

    “คุณ... เป็นอะไรหรือเปล่า...?“ 

     

    มินฮยอนหันมายังเขา ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยเฉกเช่นแววตา พลันนั้นคล้ายกับว่าทุกอย่างรอบตัวได้หยุดนิ่ง ไม่ได้ยินเสียงคลื่น ลม หรือแม้กระทั่งเสียงหัวใจของตัวเอง

     

    “คุณกลัวเหรอ จงฮยอน?“

     

    ดวงตาเรียวสบนิ่ง บางอย่างในนัยน์ตาสีดำคู่นั้นทำให้เขากลัว มินฮยอนไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนตลอดเวลาที่พวกเขารู้จักกัน

     

    “......ไม่รู้สิ“

     

    “ข่าวลือไร้สาระนั่นสินะ... คุณเชื่ออย่างนั้นเหรอ?“

     

    เรื่องที่มินฮยอนกำลังพูดถึงคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อยากมาเดินเล่นที่นี่อีก

     

    เมื่อสี่วันก่อนมีข่าวลือหนาหูว่าเจอศพชาวประมงที่ชายหาดฝั่งตะวันออก ถัดชายหาดแห่งนี้ประมาณสิบกิโล และเหตุที่ทำให้ชาวประมงคนนั้นเสียชีวิต ไม่ใช่เพียงพลัดตกน้ำ

     

    เพราะศพที่สองซึ่งพบหลังจากนั้นอีกสองวันก็มีลักษณะการตายคล้ายคลึงกัน

     

    นั่น... เกี่ยวข้องกับความฝันของเขาโดยตรง...

     

     

     

     

     

    “คุณ“

     

     

    “คุณ“

     

     

    “จงฮยอน!

     

    “หนี...ไป.....จง......ฮยอน.........”

     

    คนที่เหม่อลอยสะดุ้งสุดตัว สัมผัสเย็นเฉียบของอีกฝ่ายจับที่แขนของเขา ดวงตากลมเบิกกว้าง และยิ่งเบิกกว้างเข้าไปอีกเมื่อเห็นชายที่ยืนข้างตน


    “อัน...ตราย......”

     

    “ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณกลัว“

     

    “เปล่าหรอก... คะ... แค่เหม่อ แล้วคุณก็ทักมา เลยตกใจ“ จงฮยอนบอกปัด หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ภาพในความฝันซ้อนทับกับความจริงตรงหน้าจนแทบแยกไม่ออก ชายหนุ่มร่างเล็กส่ายหน้า เขารีบหันหลังกลับทันที แต่ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อมือหนาคว้าแขนของเขาไว้

     

    “จงฮยอน เกิดอะไรขึ้น นี่คุณจะไปไหน?!“

     

     

    “นะ....หนี......ไป.............”

     

     

    “ผมขอตัว“ จงฮยอนปฏิเสธแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงโหยหวนของหญิงสาวคนนั้นในหัว ก่อนที่ร่างเล็กจะสลัดกายออกมาจากอีกฝ่าย เขารีบเดินออกมาจากที่แห่งนั้น โดยไม่หันกลับไปมองอีก

     

    ดวงตากลมสั่นไหว ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความสับสน เขารู้ดีว่าไม่ควรทำแบบนั้นกับมินฮยอน ผู้ชายคนนั้นดีกับเขามาก คอยอยู่กับเขาเสมอ เป็นที่พักพิงให้เขา ปลอบโยนเขา แล้วไหนจะ.......


    “เวรเอ๊ย...“


    ขอบตาของชายหนุ่มร้อนผ่าว


    เขาไม่ควร... ไม่ควรเห็นบางอย่างในดวงตาเรียวคล้ายพระจันทร์เสี้ยวคู่นั้น

     

    ไม่ควรเลยจริง ๆ


    “ทำไม... ต้องเป็นแบบนี้วะ...“

     

    เพราะนั่นทำให้ความไว้วางใจที่เขามีให้อีกฝ่ายพังทลายเสียไม่มีชิ้นดี

     

     

     

     

     

    เช้าวันต่อมา

     

    ข่าวคนตายไม่ใช่ข่าวลืออีกต่อไป เมื่อมีคนพบร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวซึ่งอาศัยอยู่ละแวกเดียวกับเขาลอยติดกับอวนจับปลาของชาวประมง... ตรงท่าเรือฝั่งตะวันตก...

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    สิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้ความฝันของเขา เห็นจะเป็นข่าวคราวการตายศพแล้วศพเล่าตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา

     

    สภาพศพของผู้เคราะห์ร้ายแต่ละรายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะมีรอยกัดเหวอะหวะที่ลำคอ บางศพนั้นส่วนเชื่อมกันระหว่างลำคอกับหัวไหล่แทบขาดออกจากกัน ราวกับว่าฆาตกรได้บันดาลโทสะทั้งหมดผ่านบาดแผลยับเยินเหล่านั้น ผิวกายของผู้ตายขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดตามเนื้อตัว น่าแปลกที่ไม่ปรากฏร่องรอยการต่อสู้หรือขัดขืนใด ๆ บนร่างของเหยื่อ


    พวกเขาต่างหลับตาพริ้ม ริมฝีปากม่วงคล้ำคล้ายจะคลี่ยิ้มบาง... อย่างเป็นสุข...

     

    ไซเรน... ภูติพรายในนิทานปรัมปรา จึงถูกยกขึ้นมาในวงสนทนาของเหล่าชาวบ้าน ปีศาจแห่งท้องทะเลที่ใช้เสียงไพเราะหลอกล่อนักเดินเรือและเปิดประตูแห่งความตายให้กับพวกเขา ดื่มกินฉีกทึ้งร่างมนุษย์หล่อเลี้ยงกายา

     

    ปกติแล้วจงฮยอนไม่เคยเชื่อเรื่องราวพวกนี้เลย แต่หลังจากเขาตัดสินใจไม่กลับไปที่หาดนั้นอีก ฝันร้ายของเขาก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น...

     

    จากที่เคยเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อน กลับกลายเป็นผู้ชม... แว่วเสียงหวานลอยมาจากกระแสคลื่นล่อลวงให้มนุษย์แสนโง่เขลาให้หลงใหล ทุก ๆ คืนเขาจะเห็นคนที่จะกลายเป็นศพในเช้าของอีกวัน หันมาฉีกยิ้มชวนขวัญผวาให้ ก่อนที่เขาเหล่านั้นจะเดินตามบทเพลงแห่งความตายสู่ทะเลดำมืด

     

     

    เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเรียกสติของชายหนุ่มกลับมา ดวงตามองบุหรี่ที่ใกล้จะหมดมวนแล้ว แต่เขากลับได้สูบมันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

     

    เส้นขนตามร่างกายของเขาพลันลุกชัน

     

    ใครกัน?

     

    คำถามนี้ผุดขึ้นในใจเมื่อคิดได้ว่าตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ยิ่งสถานการณ์ที่มีคนตายไม่เว้นแต่ละวันแบบนี้ ใครเล่าจะกล้ามาเดินเผ่นผ่าน ความสงสัยระคนหวาดกลัวที่ตามมาทุกครั้งยามนึกถึงความฝัน ทำให้เขาลังเลที่เดินไปยังประตู

     

    “จงฮยอน...“

     

    ร่างกายของเขาแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชายที่เขาไม่ได้เจอมาเกือบอาทิตย์

     

    “มีอะไรรึเปล่า?“ ตัดสินใจโต้ตอบอีกฝ่ายผ่านบานประตู มือเล็กกำจี้ไม้กางเขนที่มารดามอบให้ไว้จนแน่น “ขอโทษที่เสียมารยาท แต่ตอนนี้ผมจะนอนแล้ว... คุณเองก็รีบกลับบ้านเถอะนะ มันดึกแล้ว“

     

    มินฮยอนเงียบไป

     

    เงียบไปนานทีเดียว

     

    “มินฮยอน...” เขาเรียกอีกฝ่ายอย่างร้อนใจ “มินฮยอน... คุณกลับไปแล้วเหรอ?“

     

     

    ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา

     

     

     

    คืนนั้นจงฮยอนนอนไม่หลับทั้งคืน ดวงตากลมจ้องมองเพดานห้องขณะครุ่นคิด เหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ ตอนแรกเขาสนุกที่ได้เรียง ตื่นเต้นที่ได้เห็นความพยายามของตนเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง พอตัวต่อเหลือน้อยชิ้น รูปภาพที่ปรากฏเริ่มเด่นชัด ความสนุกค่อย ๆ หายไป และในที่สุดเมื่อเขาหยิบชิ้นสุดท้ายขึ้นมาประกบปิดช่องว่างเพียงหนึ่งเดียว รูปภาพที่รอคอยก็เสร็จสมบูรณ์

     

    ช่างน่าเศร้าที่เขากลับไม่รู้สึกพอใจในภาพ ๆ นั้นเลยแม้แต่นิด...

     

     

     

    ไม่รู้ว่าเขาหลับไปตั้งแต่เมื่อใด อาจเพราะเสียงฝนที่กระหน่ำตกลงมาเมื่อเช้ามืดหรือความอ่อนล้าที่สะสมมาหลายวัน จนกระทั่งเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจของหญิงคนหนึ่งปลุกเขาจากนิทรา


    คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เพราะรู้สึกถึงลมเย็นกระทบผิวกาย เมื่อมองตามก็พบว่ามาจากหน้าต่างที่เปิดกว้าง พอคิดได้ว่าเขาอาจลืมปิด จึงขยับกายลงเตียง

     

    “อ๊ะ!“

     

    ร้องขึ้นอย่างแปลกใจขณะที่เท้าสัมผัสกับบางอย่างที่คล้ายหยดน้ำบนพื้น

     

    ใบหน้ามุ่นลงอย่างงงงวย ก่อนที่จะก้มลงไปดูว่าตนเหยียบอะไรลงไป

     

    ดวงตากลมเบิกกว้างก้มมองพื้นเบื้องล่างสลับกับหน้าต่างที่เปิดกว้าง ความกลัวแทรกไปทั่วร่างจนไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านั้น

     

    รอยน้ำที่คล้ายรอยเท้าของคน ปรากฏตั้งแต่หน้าต่างบานนั้นจนมาถึงเตียงของเขา...

     

     

     

    กว่าเจ้าของร่างเล็กจะตั้งสติได้ก็ใช้เวลาเกือบค่อนวัน เขาพาร่างอ่อนแรงเดินออกมาจากบ้านพัก หมายจะไปคุยกับเจ้าของบ้านเช่า เพื่อขอเปลี่ยนไปอยู่บ้านเช่าใจกลางเมืองแทน

     

    แต่ไปได้เพียงครึ่งทาง หญิงวัยกลางคนที่เขาต้องการพบก็ได้กึ่งเดินกึ่งวิ่งมายังเขา ไม่ใช่ เธอวิ่งผ่านเขาไป ก่อนจะล้มลงกับพื้น เสียงร้องครวญครางน่าสงสารดังทุกขณะที่จงฮยอนพยุงร่างของเธอขึ้นมา พบว่าใบหน้ายับย่นตามวัยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

     

    จงฮยอน ชะ... ช่วยพาป้าไปที่หาดฝั่งตะวันตกได้ไหม...”

     

    เขาทำตามคำขอของเธออย่างง่ายดาย ในใจหวาดกลัวสารพัด แม้เขาไม่เห็นความตายของใครในความฝันที่ผ่านมาเลยก็ตาม... ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยเริ่มเข้ามาสู่กรอบสายตา ดวงตาโศกมองรอบกายสลับหญิงวัยกลางคนในอ้อมแขน


    ได้โปรด...

     

    ขอบตาร้อนผ่าวเมื่อเห็นชายหญิงนับสิบมุงอยู่ตำแหน่งเดียวกับที่เขาและมินฮยอนชอบนั่ง เสียงร้องไห้ผสานกับเสียงพูดคุยอื้ออึงไปทั่วบริเวณ มียองสะบัดกายออกจากเขา เธอเดินกระเสาะกระแสะไปยังฝูงชน ก่อนจะแผดเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นในสิ่งที่ชาวบ้านเหล่านั้นมุงดู


    เลือดในกายของจงฮยอนเย็นเยียบ น้ำตาของเขาที่เอ่อคลอในตอนแรกไหลออกมาทันทีที่ได้เห็นภาพเบื้องหน้า

     

     

    ร่างไร้ชีวิตทั้งห้า...นอนเรียงกัน...

     

    หนึ่งในนั้นถูกมียองประคองกอด เธอกรีดร้องทั้งร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “ปล่อยทุกคนได้ไหม...“

     

    จงฮยอนตัดสินใจพูดอีกครั้งเมื่อไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ ตอบกลับมาจากดวงไฟสองดวงที่สะท้อนท่ามกลางทะเลมืด

     


     

    “มินฮยอน...“

     

    เงาดำผิดมนุษย์ค่อย ๆ กลายร่างเป็นชายหนุ่มร่างสูง ชายที่เขาหลงไว้ใจ คนที่เคยเป็นความสบายใจของเขา... แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดนับแต่วันที่เขาย่างก้าวมาในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้


    “ในที่สุด คุณก็กลับมาหาผม...“


    ชายหนุ่มรูปงามเดินมาหยุดตรงหน้าของเขา บรรยากาศรายล้อมที่มินฮยอนมอบให้เขาแตกต่างออกไปจากทุก ๆ ครั้งที่เจอกัน

     

    นัยน์ตาสีเข้มคู่นี้... ช่างน่ากลัวยิ่งนัก

     

    “ไม่อยากให้คุณกลัวผมเลย จงฮยอน“ สัมผัสเย็นแตะผิวแก้มร้อนเพราะพิษไข้อย่างแผ่วเบา “แต่คุณทำให้ผมไม่มีทางเลือก... ไม่มีใครที่ต่อต้านมนตร์ของผมได้ ยกเว้นคุณ“

     

    ปลายนิ้วขยับไล้ตามกรอบหน้าได้รูป จนมาหยุดที่ปลายคางมน เชยใบหน้าที่ตนหลงใหลตั้งแต่คราแรกที่ได้เห็นให้เงยขึ้น

     

    “ไม่มีใคร... ทำแบบนี้ได้...“ ชายร่างสูงพึมพำ หากจงฮยอนยอมลืมตาขี้นมาสักนิด เขาอาจได้เห็นถึงความลังเล หรือแม้กระทั่งความเจ็บปวดเพียงเสี้ยววินาทีที่วูบไหวในดวงตาคู่นี้

     

    “ได้โปรด—“

     

    “มองหน้าผมสิ จงฮยอน“ ชายหนุ่มหงุดหงิดไม่น้อยที่เจ้าของร่างเล็กยังคงหลับตาหลีกเลี่ยงที่จะสบสายตากับเขา “ถ้าคุณคิดจะดื้อกับผมเหมือนเมื่อวาน ครั้งต่อไป... จะไม่ใช่แค่ห้าศพนะ...“

     

    เปลือกตาบางเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นลูกแก้วสีเข้มเป็นประกายงดงามยามเอ่อคลอด้วยน้ำตา

     

    “อย่า.. ทำใครอีกเลย...ได้โปรด...“

     

    และรีบหลับตาลงเมื่อร่างตรงหน้าโน้มตัวเข้าใกล้ ก่อนจะรู้สึกถึงริมฝีปากเย็นเฉียบจรดจูบบนเปลือกตาของเขา


    อ่อนโยน และน่ากลัวในคราวเดียวกัน

     

    “ผมคงทำตามคำขอของคุณไม่ได้“ ดวงตาเรียวรีมองปฏิกิริยาบนใบหน้ายับยู่เพราะแรงสะอื้น ขยับปลายนิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาจากใบหน้าน่ารักอย่างแผ่วเบา “แต่ถ้า... คุณยอมทำตามที่ผมขอ จะไม่มีใครตายเพราะผมอีกตลอดไป...“

     

    จงฮยอนมองมือขาวที่ยื่นออกมาตรงหน้า แล้วเงยหน้ามองอีกฝ่าย

     

    “ตลอดไป...งั้นเหรอ...“ ความไม่เชื่อใจฉายชัดในดวงตาคล้ายกวางคู่นั้น แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายรอยยิ้มอบอุ่นที่เขาได้รับในครั้งแรกที่เจอกัน

     

    “ใช่ จงฮยอน ... ตลอดไป ...

     

    ซ้ำยังถูกย้ำชัดด้วยถ้อยคำหนักแน่น มือเล็กจึงค่อย ๆ ยื่นไปจับมือที่ยื่นค้างไว้ อุณหภูมิที่ต่างกันเกินไป ทำให้มีความคิดหนึ่งเข้ามาในหัว เขาควรจะดึงมือออกมาแล้ววิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด...

     

    แต่เขาไม่ทำ

     

    มินฮยอนยิ้มให้เขา พลางกระชับมือจนทุกนิ้วสอดประสานกัน

     


    ทุกอย่างเหมือนในความฝันไม่ผิดเพี้ยน

     


    เสียงคลื่นกระทบฝั่งกลบเสียงย่ำบนกระแสธาราของร่างทั้งสอง สายน้ำหนาวเหน็บบาดผิวจนร่างบอบบางสั่นสะท้าน จากที่สามารถก้าวขาได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อมินฮยอนพาเขาเดินลงในเวิ้งน้ำลึก เรี่ยวแรงของจงฮยอนก็ค่อย ๆ ลดลง... ลดลงเรื่อย ๆ ... จนเท้าไม่อาจแตะถึงผืนทรายเบื้องล่างได้อีก

     

    มือหนาได้แปรเปลี่ยนเป็นบางอย่างที่คล้ายกับพังผืดยังคงไม่ปล่อยจากเขา หนำซ้ำยังโอบกอดเอาไว้ แหวกว่ายดำลึกในความมืดไม่มีสิ้นสุด ราวกับฉากในหนังรักสักเรื่อง... หากแต่หนังรักที่ว่านี้ ไม่มีฉากที่ตัวละครในเรื่องคนใดกำลังจะขาดใจตายเช่นเขา

     

    ร่างกายถูกชักพาให้จมดิ่งทุรนทุรายแทบสิ้นสติ ปอดของเขาเจ็บร้าวเพราะแรงดันที่มากเกินกว่าร่างกายมนุษย์จะรับไหว ทุกลมหายใจช่างทรมาน

     

    สายตาของมนุษย์ตัวน้อยเริ่มพร่ามัว พร้อมกันกับเจ้าของอ้อมแขนตัดสินใจผ่อนแรง ปล่อยให้สายน้ำโอบอุ้มร่างของเขาแทน

     

     

    “หลับตาสิ...“ สุรเสียงไพเราะกระซิบบอกที่ข้างหู

     

     

    จงฮยอนหลับตาลง

     

     

    “ดีมาก... เด็กน้อย...“

     

     

    อีกนิดเดียว ทุกอย่างจะจบลง

     

     

     

    ใช่

     

     

    เราจะอยู่ด้วยกัน... ตลอดไป...”

     

     

    มันจะจบลง...

     

     

     

    .

     

    .

     

    .



    'นายคิมจงฮยอนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ... นายคิมจงฮยอน อายุ 26 ปี ได้หายตัวไปในคืนวันที่ x เดือน xxx ปี xxxx เป็นเวลากว่า 5 วันแล้วที่ตำรวจยังไม่พบเบาะแส คาดว่าอาจเป็นเพราะการเปิดเผยข้อมูลคดีทุจริตของนายปาร์คกียุลในคืนที่หายตัวไป ........................... '

     

     

     

     





    End


















    ? โค้งหักศอกเลยทีเดียว คนละแนวกับเรื่องก่อนโดยสิ้นเชิง มุมสารภาพบาป... เราชอบเขียนอะไรแนวนี้แหละ มีเก็บไว้หลายเรื่องเลย ไว้จะเกลาแล้วเอาลงเรื่อยๆนะคะ /ยิ้ม

    ? อันที่จริงถ้าเอาน้องเจเป็นไซเรนจะเขียนง่ายกว่านี้นะ แต่... เราต้องเลือกคนร้องเพลงเพราะกว่าเป็นไซเรน มินฮยอนเลยคว้าบทนี้ไป /หอมหัวน้องเจ

    ? ธีมของเรื่องคือรักที่บิดเบี้ยว (Distorted Love) ค่ะ เราชอบอิทธิพลของความรักที่ทำให้คนๆหนึ่งทำได้ทุกอย่าง เคยมีคนบอกไว้ว่า เราเกลียดใครสักคนจริงจังน่ากลัวน้อยกว่าเรามอบความรักที่บิดๆเบี้ยวๆให้ใคร

    ? ตอนแต่งนี่จินตนาการเอาเองนะว่าน้องเจเวลาร้องไห้จะเป็นยังไง เคยเจอแต่ไม่ชัดเจนไง พอได้เห็นรูปของแม่ๆช่วงคอนเท่านั้นแหละ /ตบเข่าฉาด แบบนี้แหละค่า ฮืออออ

    ? เผื่อใครไม่รู้จักไซเรน แต่ที่เราจินตนาการเอาไว้ หน้าเป็นคน ตัวเป็นคน แต่หางเป็นปลานะคะ คล้ายเงือกแต่เต็มไปด้วยฟันแหลมคม ประมาณนี้ค่ะ


    ❤️ สุดท้ายนี้มีอะไรติชมบอกได้ที่ #anonymfics หรือ @anonym23659040 นะคะ ขอให้สนุกกับการอ่านค่ะ



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in