นอกจากความพยายามที่จะสร้างซีนดนตรีฮิปฮอปแบบ EsanTrap ทั้งโดยการใช้ภาษาถิ่นในการแรปและการนำเสียงเครื่องดนตรีอีสานเข้ามาใช้ไมว่าจะเป็นแคนหรือพิณ สิ่งที่ VKLถ่ายทอดออกมาผ่านซาวน์ของอัลบั้มนี้คือความบาลานซ์และรสชาติที่กลมกล่อมระหว่างสไตล์การแรปที่ดุดัน ตรงไปตรงมา พุ่งไปข้างหน้าและการแรป/ร้องประกอบกับการใช้autotune ซึ่งให้เซนส์ของความเป็น pop rap/trap rap ที่ลื่นไหล ไพเราะ และติดหู

.

ตลอดทั้งอัลบั้ม 'VONG VISION' อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาที่เขาต้องการจะนำเสนอ 'ตัวตน' ของเขาไปพร้อมๆกับการวิพากษ์วิจารณ์วงการแรปไทยโดยใช้วิธีการบอกเล่าผ่านสิ่งที่เขาต้องเผชิญ ซึ่งถ้าเราไม่ได้รู้จักติดตาม VKL มากนัก เราก็จะพอรู้แค่ว่าเขาเป็นใครและเขาทำอะไร แต่ผ่านอัลบั้มนี้เราจะได้ทำความรู้จักทั้งตัวเขา สภาพแวดล้อมและสิ่งที่เขาประสบพบเจอต่างๆ ผ่านเส้นทางของการเป็นแรปเปอร์และนอกจากการพูดถึงเรื่องตัวเขาต่อสังคมวงการแรปแล้ว เขาก็ยังสะท้อนกลับมาพูดถึง 'ตัวตน' ภายในของตัวเองอีกด้วยซึ่งเขาก็สามารถถ่ายทอดออกมาผ่านน้ำหนักของเพลงที่บาลานซ์มาเป็นอย่างดี

.

ช่วงแรกของอัลบั้มจะเข้มข้นด้วยซาวน์และบีทtrapที่หนักหน่วง มืดหม่น ไดนามิกและสไตล์การแรปถูกออกแบบมาอย่างหลากหลายทั้งดุดันเกรี้ยวกราด ทั้งรวดเร็วพุ่งพล่าน ทั้งหนักหน่วงแต่เพิ่มความติดหูเข้าไปประสานไปกับการใช้autotune ที่แม้จะใช้ค่อนข้างเยอะแต่เราก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ล้นเกินอะไร และค่อนข้างจะเพิ่มความฟังง่ายกลมกล่อมให้กับเนื้อหาที่ตรงไปตรงมาของเพลง

.

ช่วงกลางอัลบั้มมีการแทรกแทร็กที่มีเนื้อหาและซาวน์ดนตรีเบาลงมาเพื่อเปลี่ยนอารมณ์บ้าง อย่างในแทร็ก '4ever' หรือ 'วันไหน' กับเมโลดี้หวานๆและสไตล์การร้อง/แรปที่ฟังได้เพราะๆ เพลินๆ รวมถึงแทร็ก 'ยาดอง'ที่ลดความตรงไปตรงมาลงแต่เปลี่ยนมาเล่าผ่านการเปรียบเทียบและเพิ่มมิติให้การเนื้อหามากขึ้นและตลอดทั้งอัลบั้ม นอกจากตัว VKL แล้วก็เต็มไปด้วยแรปเปอร์รับเชิญมากกมายที่เข้ามาช่วยถ่ายทอดพลังงานและไดนามิกให้แต่ละเพลงยิ่งน่าสนใจ

.