เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
Unexpected cost
  • 03

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าตีห้ายี่สิบเจ็ดนาที

     

    ผมนอนแผ่บนพื้นโดยเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้อย่างเช่นทุกทีพี่อู๋หายตัวไปเกือบสัปดาห์ เขาโทรมาทุกวันแต่ไม่ได้เข้ามาที่บ้านเลย

     

    เรื่องหาหมอยังคงค้างคาอยู่อย่างนั้นผมไม่รู้ว่าพี่อู๋จะพาไปหาหมอไหนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรในสายตาของลุงแก่ๆคนหนึ่ง ผมคิดว่าตัวเองสบายดีอาจมีปวดหัวบ้างตามประสาคนเบื่ออาหารแต่โดยรวมไม่ถือว่าเจ็บป่วยร้ายแรง แล้วพี่อู๋จะพาผมไปหาหมออะไรหมอผิวหนังเพื่อรักษาหน้าโทรมๆของผมงั้นเหรอ

     

    เสียงไอ้แดงเห่ากวนประสาทเรียกให้เงี่ยหูฟังมีรถยนต์คันหนึ่งกำลังขับเข้ามาช้าๆหน้าบ้าน ใจผมเริงร่า เดาล่วงหน้าว่าเป็นพี่อู๋พนันสิบบาทเลย ต้องเป็นรถของพี่อู๋แน่ๆ เสียงเครื่องยนต์ดังแถ่ดๆมาจากรถเก่าเท่านั้นซักพักเจ้าของรถก็ดับเครื่อง ไอ้แดงเห่าซ้ำอยู่หลายครั้งแล้วเงียบไปเสียงเอี๊ยดอ๊าดของรั้วบ้านดังขึ้น เสียงฝีเท้าหนักๆเดินขึ้นบันไดเสียงถุงพลาสติกเสียดสีกันดังอยู่หน้าประตู

     

    แล้วเขาก็เปิดเข้ามา

     

    โห ก้องพี่อู๋ทำหน้าเหวอเมื่อเห็นสภาพผมบนพื้นไม่อาบน้ำกี่วันแล้วเนี่ย?

     

    ผมยกมือไหว้สวัสดีพี่อู๋ดีใจที่ได้เจอนะครับ ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาหาซากศพอย่างผมถึงที่แถมยังซื้อกับข้าวมาให้อีกใจดีที่หนึ่งแบบนี้ควรเป็นเจ้าภาพงานศพของนายก้องเกียรติซักคืน

     

    ไปอาบน้ำเร็ว พี่จะพาไปข้างนอก

    ไปไหนครับ?

    หาหมอ

    ผมไม่ไปผมกลอกตาเบื่อเหลือเกินกับความจุ้นจ้านของตาลุงนี่ ผมไม่มีเงิน

    พี่จ่ายให้ ไปเร็วก้อง --”

     

    พี่อู๋วางถุงโจ๊กแล้วฉุดมือผมให้ลุกขึ้นนั่งผมต่อต้านด้วยการพยายามทิ้งตัวบนพื้น แต่พี่อู๋ก็จับข้อมือของผมเอาไว้แน่นเขาลากผมไปตามพื้นไม้ สอดแขนเข้าใต้รักแร้ของผมแล้วหิ้วลงบันได ลากต่อไปจนถึงหน้าห้องน้ำแล้วเปิดประตู

     

    จะอาบเองหรือจะให้พี่อาบให้?

    ไม่อาบ

    ได้

     

    เขาลากผมเข้าไปในห้องน้ำผมร้องโวยวายด้วยความรำคาญ จะอะไรกันนักกันหนา คนเคยเจอกันแค่สองสัปดาห์จะมายุ่งย่ามทำไม

     

    อาบเองครับ! อาบเอง!”

     

    ผมตะโกนบอกในที่สุด

     

    พี่ไปรอข้างนอกเลย เดี๋ยวผมออกไป

     

    พี่อู๋พูดว่า ดีมาก แล้วหายเข้าไปในครัวผมปิดประตู ได้ยินเสียงจานชามกระทบกันอยู่เบาๆ เขาคงกำลังจัดโต๊ะมื้อเช้า ส่วนผมต้องอาบน้ำตามที่ได้รับคำสั่งแบบงงๆสิบนาทีถัดมาผมสวมเสื้อยืดสีชมพูกับกางเกงขาสั้น พี่อู๋นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารเขายิ้มเมื่อเห็นผมเดินลงมา

     

    ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะเลย

     

    เหรอครับ ผมตอบแล้วนั่งกินโจ๊กเป็นเพื่อนเขา ผมเกลียดโจ๊กใส่ขิงแต่ถึงเกลียดก็ต้องกินไม่งั้นเขาจะบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เราใช้เวลากับมื้อเช้าจนถึงตอนที่พี่น้องไบรท์เริ่มรายงานข่าวพอดีเสียงเพลงเปิดรายการดังขึ้น ผมเก็บจานชามไปล้าง แล้วเราก็ออกจากบ้านด้วยกัน

     

     


     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงห้าสิบสองนาที

     

    พี่อู๋ขับรถขึ้นสะพานผ่านโรงพยาบาลศิริราช เลี้ยวซ้ายเข้าซอยที่มีเซเว่นขับผ่านโรงเรียนคริสต์แล้วมาโผล่แถวคลองสาน ผมที่ไม่เต็มใจมาได้แต่นั่งเหม่อมองนอกกระจกพี่อู๋ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีส่วนผมถอนหายใจเพราะเบื่อที่ต้องโดนใครก็ไม่รู้มาเจ้ากี้เจ้าการชีวิต

     

    ผ่านไปสามนาทีรถเลี้ยวซ้ายอีกครั้งผ่านไฟจราจรสองแยก ความเร็วเริ่มชะลอลงเรื่อยๆเมื่อใกล้ถึงที่หมาย ผมหันหน้าไปทางขวามือตามเสียงไฟเลี้ยวที่ดังก๊อกแก๊กมีป้ายบอกชื่อสถานที่เขียนอยู่บนแผ่นหินแกรนิต ผมอ่านในใจ

     

    สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา

     

    ไอ้พี่อู๋ -- หลอกผมมาโรงพยาบาลบ้างั้นเหรอ--

     

    พี่มาผมมาที่นี่ทำไมครับ?

    หาหมอไงเขาตอบหน้าตายแล้วเลี้ยวรถข้ามสะพานเข้าเขตโรงพยาบาลค่ายาไม่แพง หมอเก่ง ก้องต้องดีขึ้นแน่นอน

    ผมไม่ได้เป็นบ้า!”

    พี่ไม่ได้ว่าก้องบ้าพี่แค่บอกว่าก้องต้องให้หมอช่วย

     

    พี่อู๋จอดรถเขาลากผมลงอย่างถูลู่ถูกังเหมือนละครน้ำเน่าที่แม่ชอบดู พระเอกลากนางเองขึ้นเตียงส่วนของผมโดนลากเข้าโรงพยาบาลจิตเวช

     

    เรายุดยื้อกันในลานจอดรถเกือบสิบนาทีผมเริ่มไม่พอใจที่คนแปลกหน้าคนนี้เข้ามาบงการชีวิตตัวเองจนเกินไปผมถามพี่อู๋ด้วยคำหยาบว่าพี่จะเสือกอะไร เขานิ่งทันทีใช้สายตาเย็นเยียบมองมาจนผมเริ่มกลัว

     

    อยากตายมากใช่ไหม?

     

    พี่อู๋เค้นเสียงถาม

     

    งั้นก็เดินไปที่สะพานที่ขับผ่านเมื่อกี๊ไงขึ้นไปยืนแล้วกระโดดลงมาเลย เดี๋ยวพี่เรียกปอเต็กตึ๊งมาเก็บศพให้ แล้วจะจุดธูปนั่งหน้ารถไปส่งถึงวัดด้วย!”

     

    ผมพูดไม่ออกเมื่อโดนประชด ใช่ ผมเคยคิดอยากฆ่าตัวตายใช่ ผมเคยตั้งใจจะกระโดดสะพาน ใช่ ผมนั่งรอความตายทุกวินาที แต่พอพี่อู๋ไล่ให้ไปตายแบบนี้ผมกลับไม่ชอบเลย

     

    แต่ก่อนไปก็จ่ายเงินมาด้วย

    ค่าอะไร?

    ค่าโลงไง

     

    พี่อู๋กำลังบอกผมทางอ้อมว่าไม่เล่นด้วยแล้ว

     

    รู้ไหมว่างานศพมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ค่าโลง ค่าคนขับรถส่งศพ ค่าบำรุงศาลาบำรุงไฟของวัด ค่าผ้าบังสุกุล ค่าดอกไม้จันทน์ค่าทำบุญถวายพระ แล้วยังต้องจ่ายให้สัปเหร่ออีก เผาเสร็จจะไปอยู่ที่ไหน จะลอยน้ำจะอยู่คอนโดนวัด หรือฝังดินใต้ถุนกุฏิเจ้าอาวาส แถมยังเดือดร้อนเพื่อนบ้านต้องเป็นธุระไปจัดการให้เสียเวลาทำมาหากินของเขา ถ้าคิดว่าการตายเป็นเรื่องของตัวเองคนเดียวก็ตามใจ แต่ก่อนไปก็จ่ายเงินมาด้วยเพราะพี่จะไม่ยอมจ่ายอะไรให้ก้องอีกแล้วนอกจากค่าหมอและค่าของกิน จำไว้

     

    คำแดกดันของพี่อู๋ทำให้ผมคิดถึงงานศพแม่งานเรียบง่ายที่มีแขกแค่เพื่อนบ้านก็ใช้เงินตั้งหลายพัน ต่อให้พระท่านจะเมตตาไม่รับปัจจัยแต่อย่างน้อยเราต้องจ่ายค่าน้ำมันเผาศพและค่าสัปเหร่อเอง

     

    ซึ่งผมจำราคาได้ -- ประมาณสองพันห้า

     

    ค่าน้ำมันเผาศพของแม่ให้กลายเป็นขี้เถ้าก่อนนำไปลอยอังคารมีราคาตั้งสองพันห้าใช้น้ำมันพืชไม่ได้เหรอ แกลลอนละไม่กี่บาทเอง ร่างของผมก็น่าจะไหม้เหมือนกัน

     

    พี่พามาที่นี่เพราะอยากให้ก้องได้อยู่ต่อพี่อู๋พูดเมื่อเห็นผมน้ำตาคลอเบ้า เขาเสียงอ่อนลงกว่าปกติ ก้องเพิ่งจะอายุสิบเจ็ดเอง ชีวิตยังมีอะไรให้เจออีกเยอะนะก้องอย่ายอมแพ้แค่ตรงนี้สิ

    แต่ผมเหนื่อย ผมทรมาน

    พี่เลยพามาหาหมอไงเขาขยับเข้ามาใกล้ รังสีความโกรธจางหายไป พี่อู๋คนเดิมกลับมาแล้ว อย่าดื้อเลย มากับพี่เถอะ ถ้าได้กินยาก้องจะรู้สึกดีขึ้น แล้ววันนึงก้องจะขอบคุณที่พี่พามาที่นี่”

     

    ผมไม่ค้านอีกเมื่อสมองกำลังคำนวณค่าใช้จ่ายในงานศพปล่อยให้พี่อู๋จับข้อมืออย่างว่าง่าย เขาพาผมตรงไปที่อาคารสีขาวสามชั้นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเพื่อทำบัตรคนไข้ใหม่แล้วเราก็นั่งรอ

     

     


     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงแปดนาที

     

    ผมยังไม่ได้เข้าตรวจ

     

    พี่อู๋บอกว่าการพบแพทย์ด้านนี้ใช้เวลานานกว่าปกติและเราทำได้แค่รอ เขาบอกให้ผมคิดเรื่องที่จะคุยกับหมอเป็นการฆ่าเวลาผมเลียริมฝีปากแห้งแตก ไม่ใส่ใจคำแนะนำของเขาเพราะยังคงหมกมุ่นคิดคำนวนค่างานศพคร่าวๆของตัวเอง

     

    ถ้าไม่เอาดอกไม้หน้างาน ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง

    ถ้าใช้โลงไม้อัด ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง

    ถ้าสวดแค่คืนเดียว ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง

    ถ้าเจ้าอาวาสเมตตาไม่รับปัจจัย ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง

    ถ้าสัปเหร่อใจดีเผาให้ฟรี ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง

     

    ถ้าตัดทุกอย่างทิ้งไป งานศพผมคงออกมาอนาถามากแขกคงมีแค่ลุงชัย ลุงชื่น พี่ลี ข้าวฟ่าง กับเจ๊หมิวแม่ข้าวฟ่าง พี่อู๋และบางทีป้าเพ็ญอาจมาด้วยแต่ไม่ร่วมทำบุญ แกมาเพื่อกินข้าวแล้วกลับเหมือนไอ้แดงอาจจะแวะจุดธูปหน้าโลงบอกผมว่าไม่ต้องกลับไปแถวบ้านเพราะแกกลัวผี ส่วนไอ้แดงนี่ไม่ต้องพูดถึงมันมาแน่ มาเพื่อกินข้าวฟรี มาเพื่อหลีสาวแถวศาลา มาเพื่อกัดกับเจ้าถิ่นแล้วเดินกลับบ้านโดยไม่แม้แต่จะชายตาแลรูปหน้าศพ

     

    ไอ้หมาเวร

     

    ขอด่าอีกซักครั้งเถอะ

     

    ไอ้หมาเวร ไอ้หมาเวร ไอ้หมาเวร

     

    ผมสะบัดหัวไล่งานศพอนาถาของนายก้องเกียรติออกไปการนั่งรอแบบไม่มีจุดหมายเริ่มทำให้รู้สึกกระสับกระส่าย สิ่งที่รบกวนจิตใจอันเหี่ยวเฉาตอนนี้คือสภาพแวดล้อมชวนหดหู่เหมือนสวนสัตว์โรงพยาบาลมีเหล็กดัดเกือบทุกที่ ไม่ว่าจะตรงบันได หน้าต่างชั้นสองหรือจุดไหนที่สามารถกระโดดลงมาได้ล้วนมีกรอบกั้นทั้งสิ้น

     

    เหล็กดัดทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นกอริลลาป่วยๆที่ยืนอยู่ในกรงรอบตัวผมคือฝูงกอริลลาหน้าบึ้งนั่งรอพบหมอ ส่วนพยาบาลคือเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์พวกเขาเป็นผู้เป็นคนที่สุด อารมณ์ดีที่สุด และน่าเข้าหามากที่สุดในบรรดาพวกเรา

     

    ผมเหลือบมองผู้ป่วยคนหนึ่งที่เริ่มชี้หน้าแม่ตัวเองก่อนโรงละครลิเกเฉพาะกิจจะเริ่มขึ้นเมื่อเธอร่ายรำ พี่อู๋ไม่หันไปมองราวกับไม่อยากใช้สายตาสมเพชเวทนาของตนเองทำร้ายจิตใจใครส่วนผมได้แต่นั่งอ้าปากเหวอ นี่มันศูนย์รวมคนป่วยชัดๆ

     

    นายก้องเกียรติเชิญเข้าพบหมอที่ห้องสองค่ะ

     

    เสียงพยาบาลประกาศเรียกผมใจเต้นตึกตักเหมือนกอริลลากำลังเข้าโรงเชือดพี่อู๋ให้กำลังใจด้วยการบอกว่าจะรอข้างนอกแต่ไม่ช่วยให้รู้สึกดีเลยคุณพยาบาลเลื่อนบานประตู ในนั้นมีแค่โต๊ะทำงานกับเตียง มีหมอผู้ชายนั่งอยู่อายุน่าจะสามสิบต้นๆ น่าจะรุ่นเดียวกับพี่อู๋

     

    ผมนั่งลงบนเก้าอี้ยกมือไหว้หมอที่เพิ่งเขียนประวัติของคนก่อนหน้าเสร็จ เขาส่งยิ้มแต่ผมไม่ยิ้มตอบดังนั้นการสอบสวนหาความผิดปกติจึงเริ่มต้นแบบเป็นทางการ

     

    มีอะไรให้หมอช่วยไหมครับ?

     

    เขาถาม ผมส่ายหน้า

     

    ไม่มีครับ

     

    แล้วเราก็เล่นเกมจ้องตากัน หมอไม่ยิ้มอีกเลยเขามองผมราวกับจะล้วงเอาเศษซากความพินาศที่ซ่อนไว้ออกมาให้ได้ส่วนผมก็หน้าบึ้งเป็นกอริลลาป่วยหนักที่พร้อมจะทุบอกร้องอาละวาดทุกเมื่อหมอปล่อยให้ห้องเงียบเกือบนาทีจนเราอึดอัดด้วยกันทั้งคู่ แต่แล้วเขาก็พูดต่อ

     

    ลองแนะนำตัวหน่อยสิครับ

    ชื่อก้องครับ มาจากก้องเกียรติผมพูดเนิบนาบ อายุสิบเจ็ดปี

     

    แล้วจบประโยคแค่ตรงนั้น

     

    ผมไม่รู้ว่าหมอคาดหวังอะไร เขาหวังจะได้เห็นน้ำตาหวังจะได้ยินเรื่องราวน่าอดสูของผู้ป่วยอายุสิบเจ็ดอย่างนั้นหรอกเหรอผมมองคุณหมอที่ยังไม่แสดงอาการหนักใจออกมาด้วยแววตาว่างเปล่า เขายังไม่ยอมแพ้ง่ายๆดังนั้นการถามคำตอบคำเหมือนที่พี่อู๋เคยทำจึงเกิดขึ้นอีกครั้งในห้องตรวจ

     

    เคยคิดอยากฆ่าตัวตายไหม?

    เคยครับ

    เคยพยายามทำอะไรมาบ้าง?

    กระโดดสะพานครับ

    ทำไมถึงเลือกกระโดนสะพานล่ะ?

    เพราะตายแน่นอนผมจะตายเพราะแรงกระแทก

    ทำไมถึงอยากตายล่ะ?  

    แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องอยู่เหรอครับ

     

    ผมไม่ได้กวนตีนก็แค่ตอบตามความคิดของตัวเอง คุณหมอยังไม่ลดละเขาถามด้วยท่าทีสบายๆเพื่อให้ผมผ่อนคลาย เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นน้ำตาของผมแน่ๆฝันไปเถอะ มันแห้งหมดแล้วน้ำตาของผมหมดลงตั้งแต่วันที่พี่อู๋พยายามพรากเอาอนุสรณ์ของแม่ไปแล้ว

     

    ก้องนอนหลับไหม?

    ไม่หลับครับ

    ปกตินอนกี่โมง?

    ห้าทุ่มครับ

    ตื่นกี่โมง?

    ตีสอง สาม สี่ ห้า

     

    ผมกลอกตาพลางนึกย้อนว่าเคยมองนาฬิกาตอนไหนบ้าง

     

    สอง สาม สี่ ห้าครับ

     

    ผมยืนยันคำตอบคุณหมอดูพอใจกับคำให้การของกอริลลาป่วยจิตตัวนี้ เขาบอกว่าถ้าไม่อยากพูดถึงเรื่องเก่าๆงั้นเราคุยเรื่องปัจจุบันก็ได้

     

    ใครเป็นคนพามาหาหมอ?

    พี่อู๋ครับ

    พี่อู๋คือใครเหรอ?

     

    ผมนิ่ง กัดปากพลางครุ่นคิด

     

    ไม่ทราบครับ

    อ้าว แล้วก้องรู้จักพี่อู๋ได้ยังไง?

    ผมกำลังจะกระโดดสะพานแล้วเขาก็เข้ามาขวาง

     

    หมอยิ้ม แสดงออกชัดเจนว่าดีใจที่ผมยอมเล่าให้ฟังบ้าง

     

    ตอนนี้ก้องเรียนหนังสืออยู่รึเปล่า?

    ไม่ได้เรียนครับ

     

    ผมจ้องหน้าเขา อย่าเชียวนะอย่าพูดเรื่องเรียนต่อ ไม่งั้นผมจะคว่ำโต๊ะตัวนี้จริงๆด้วย

     

    ทำไมไม่เรียนต่อล่ะ?

    คะแนนไม่ถึงครับ

    ก้องเลือกเรียนที่ไหนบ้าง?

     

    ธรรมศาสตร์ เกษตร ศิลปากร ขอนแก่น

     

    ผมนึกแต่ไม่ได้บอกอยากให้เกมถามตอบนี้จบลงซักที

     

    ก้องสนใจอะไรเป็นพิเศษไหม?

    ไม่ครับ

    สาขาที่อยากเรียนล่ะ?

    คนตายไม่เรียนหนังสือครับ

     

    ผมตัดบท เริ่มแสดงสีหน้ารำคาญ คราวนี้หมอเงียบไปนานมากเขาคงรู้สึกอับจนหนทางเพราะกอริลลาตัวนี้ดื้อด้านกว่าตัวอื่นๆ

     

    ที่บอกว่าคะแนนไม่ถึงนี่เพราะก้องได้คะแนนน้อยหรือเพราะอะไรเหรอ?

    ผมขาดสอบโอเน็ตครับ

    ทำไมล่ะ?

     

    ทำไมล่ะ?

    ทำไมล่ะ?

    ทำไมล่ะ?

     

    คำถามกดดันนี้บีบใจผม ทำไมน่ะเหรอเหตุผลที่นักเรียนมอปลายคนหนึ่งต้องขาดสอบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตน่ะเหรอมันจะเป็นเรื่องอื่นได้ไงนอกจากเรื่องคอขาดบาดตาย

     

    แม่จำวันสอบผิดครับ

     

    ผมเงยหน้า หมอไม่ถามจี้ต่อ เขาหยุดรอเวลาให้ผมได้เล่าทุกอย่างออกมาเสียงนาฬิกาบนผนังเดินต็อกแต๊กเป็นจังหวะ ความเงียบคือแรงกดดันมหาศาลที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าและหมอก็ใช้มันกดดันผม สายตากับท่าทีของเขาเชื้อเชิญให้ผมต้องพูดอะไรซักอย่าง ไม่งั้นเขาจะฆ่าผมด้วยความเงียบเขาจะเฉือนเนื้อของผมออกเป็นชิ้นๆจนกว่าจะรู้ความลับที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ข้างใน

     

    จู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนกรอบเหล็กดัดของโรงพยาลกำลังพุ่งเข้ามามันค่อยๆบีบให้จนตรอกเรื่อยๆตามเสียงนาฬิกา ต็อกแต๊ก บีบเข้ามาเรื่อยๆ ต็อกแต๊กเรื่อยๆ -- ต็อกแต๊ก พูดซักทีสิก้องต็อกแต๊ก ระบายมันออกมาเลยก้องเกียรติ ระบาย ต็อกแต๊กบอกเขาไปว่าใครทำชีวิตแกพัง!

     

    ต็อกแต๊ก

    ผมจนมุมแล้ว

     

    ผมกลืนน้ำลายลงคอกระสับกระส่ายเมื่อคิดถึงวันนั้น ท่าทางลุกลี้ลุกลนของผมดูแย่จนคุณหมอส่งน้ำให้จิบเขาบอกว่าถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แต่กรงในใจกำลังบีบผม เหมือนผมจำเป็นต้องพูดผมต้องระบายมันออกมา ผมต้องบอกให้ใครซักคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    ก้อง

     

    หมอเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

     

    ก้องเล่าให้หมอฟังได้นะ มันจะเป็นความลับระหว่างเราสองคนหมอไม่บอกใคร

     

    มุมปากของผมเริ่มกระตุกถี่ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะพยายามกลืนก้อนขมในลำคอ คงถึงเวลาที่ผมต้องคายมันออกมาหนามในอกที่ทิ่มแทงผมมาหลายเดือน ผมต้องคายมันออกมาให้ใครซักคนรู้

     

    แม่ผูกคอตายวันที่มีสอบโอเน็ตครับ

     

    ผมพูดไปแล้ว

     

    แม่ผูกคอตายที่บันไดบ้านผมต้องทำธุระเรื่องศพก็เลยไปสอบไม่ได้ครับ

     

     


     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงตรง

     

    ไฟในห้องตรวจเริ่มทยอยดับทีละดวงๆกอริลลาที่เคยนั่งรอบนเก้าอี้พลาสติกจากไปหมดแล้วเหลือแค่กอริลลาก้องตัวเดียวที่ยังนั่งหน้าห้องตรวจหมายเลขสอง รอเจ้าของพากลับบ้าน

     

    ผมคุยกับหมอเรื่องวันสอบแค่นั้นแล้วหยุดกลายสภาพเป็นคอมพิวเตอร์ที่ถูกชัตดาวน์อย่างเต็มรูปแบบ ไม่พูด ไม่สบตาไม่ตอบสนองต่อคำถามใดๆนอกจากมองนาฬิกาเท่านั้นหมอเห็นว่าการยื้อคนใบ้เอาไว้ไม่เกิดประโยชน์ก็เลยขอพบญาติ ผมบอกเขาว่าไม่มีหรอกครับ ผมอยู่คนเดียว หมอจึงพูดสวนขึ้นมา

     

    พี่อู๋ไง

     

    เขาไม่ใช่ญาติผม

    แต่พี่อู๋ก็เสนอหน้าเดินเข้าห้องตรวจไปแล้ว

     

    หลังการรอคอยอันทรมานและแสบไส้พี่อู๋ออกมาเสียที ไฟในห้องตรวจที่สองดับลงคุณพยาบาลเชิญไปชั้นล่างเพื่อชำระเงินและรับยา เราจึงเดินลงไปพร้อมกัน

     

    ก้อง

    ครับ?ผมมองพี่อู๋เขายกมือโคลงหัวผมเบาๆ

    ต่อไปนี้พี่คือผู้ปกครองของก้องนะ

     

    ครับ เอาที่สบายใจ ต่อให้บอกว่าอย่ายุ่งเขาก็คงไม่ฟังอยู่ดี

     

     

     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบห้านาที

     

    ผ่านไปสิบวันแล้วหลังจากหาหมอที่โรงพยาบาลผมได้ยามาสองตัว เป็นยาหลังอาหารเช้าและก่อนนอน พี่อู๋กับเภสัชบอกว่าถ้าได้กินยาจะรู้สึกดีขึ้นโกหกทั้งเพ เพราะตั้งแต่วันแรกที่กินยาจนถึงวินาทีนี้ไม่มีวันไหนที่ผมไม่ร้องไห้เลย

     

    ก่อนจะเจอพี่อู๋ ผมผ่านช่วงเวลาน้ำตานองหน้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมาแล้วและหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่สภาวะไม่ยินดียินร้ายที่ร้องไห้ไม่ออกผมกลายเป็นคนตายด้านกับทุกอย่างรอบตัวไม่สนุกหรือมีความสุขตามประสาเด็กอายุสิบเจ็ด ไม่มีกิจกรรมที่อยากทำไม่มีอนาคตที่อยากจินตนาการ ไม่มีเรื่องให้คิด มันว่างเปล่า มันตื้อตันมันไม่เหลืออะไร

     

    ภาวะไม่ยินดียินร้ายเหมือนเรากำลังยืนในห้องสี่เหลี่ยมอับๆที่ไม่มีหน้าต่างเพดานเตี้ยจนเกือบชิดศีรษะ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีสิ่งบันเทิงใจ ไม่มีแสงสว่างและเราทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนหายใจทิ้งไปเฉยๆ ผมตกอยู่ในภาวะนั้นเป็นสัปดาห์มุ่งมั่นตั้งใจจะทำลายกำแพงเพื่อปลดปล่อยตัวเองให้ได้รับอิสรภาพด้วยการฆ่าตัวตายแต่แล้วพี่อู๋ก็เข้ามา --

     

    พี่อู๋ทำชีวิตผมพัง

     

    เขาทำให้ผมกลับมาอยู่ในวงจรเก่าๆเขาไม่ได้อยู่กับผมทั้งวันเขาไม่รู้หรอกว่ากี่คืนที่ผมทุรนทุรายร้องไห้เพราะคิดถึงเรื่องในอดีต ผมนึกถึงใบหน้าที่ลิ้นจุกปากของแม่นึกถึงรถมูลนิธิมาที่บ้าน นึกถึงงานศพ นึกถึงเชิงตะกอนนึกถึงใบหน้าเรียบเฉยอันสงบสุขของแม่ก่อนเข้าเตาเผา นึกถึงเถ้ากระดูกสีเทาบนผ้าดิบนึกถึงภาพตัวเองโปรยเศษร่างกายของแม่ลงน้ำ นึกถึงความมืด นึกถึงเสียงพระสวดนึกถึงเชือก นึกถึงทุกอย่าง

     

    มันหลอกหลอนจนผมไม่กล้าแม้แต่จะลงบันไดเพราะกลัวเชือกของแม่ที่พาดอยู่ผมระแวงตกใจเสียงกุกกักจากบานประตูเมื่อลุงชัยแขวนข้าวเหนียวไก่ทอดหรือแม้กระทั่งตอนที่พี่อู๋มาเยี่ยมผมเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ผมเหนื่อยเกินกว่าจะทนหายใจให้ครบชั่วโมง ดังนั้นเมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาผมก็ปาของใส่เขา

     

    อะไรเนี่ยก้อง?!”

     

    เขาถาม ส่วนผมเอาแต่ร้องไห้ ฟูมฟายโวยวายเสียงดังว่าเพราะเขาพาไปหาหมอเพราะเขาบีบบังคับให้ผมต้องเล่าในสิ่งที่ไม่อยากเล่า ผมก็เลยตกอยู่ในสภาพนี้ แถมยาพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยมันกำลังฆ่าผม ยาเฮงซวยที่อย.รับรองนั่น มันกำลังกัดกินจิตใจผมจนเปื่อยยุ่ยพอกันที ผมจะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เวลานี้ พี่อู๋รอดูได้เลย

     

    หยุดเดี๋ยวนี้นะก้อง!”

     

    ผมไม่ฟัง

     

    แล้วสงครามยื้อแย่งก็เกิดขึ้นในบ้านข้าวของพังระเนระนาดเพราะผมกวาดทิ้งและพยายามขัดขืนพี่อู๋ ผมกรีดร้องจนเจ็บคอปวดหัวตุบๆเพราะความดันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของผมคือมีดในครัว

     

    ผมจะกรีดแขนตัวเอง

    กรีดให้ลึกถึงกระดูก

    กรีดให้ยาวจนถึงข้อศอก

    กรีดให้ตาย

     

    ผมเดินตรงไปอย่างมุ่งมั่นแต่พี่อู๋รู้ทันเขาคว้าเอวผม กดผมให้นอนลงไปบนพื้นแล้วกอดแน่น จากนั้นก็พยายามพูดให้เข้าใจ

     

    ก้อง -- ก้อง--” เขาเรียก น้ำเสียงสั่นเหมือนคนกำลังกลัวสุดขีด ก้องทรมานใช่ไหม? ก้องเหนื่อยใช่ไหม? ยาไม่ทำให้ดีขึ้นเลยเหรอก้อง?

     

    ผมส่ายหน้าแล้วร้องไห้ ผมด่าเขาด่าพี่อู๋ว่าเสือก ด่าว่าไม่น่าสาระแนชีวิตคนอื่นเลย น่าแปลกที่คราวนี้เขาไม่โกรธพี่อู๋ปล่อยให้ผมด่าทอจนพอใจ ยอมให้ด่าจนเหนื่อย และเมื่อหมดแรงจะพูดตัวผมก็อ่อนปวกเปียกในอ้อมกอดเขา

     

    พี่จะรั้งผมให้อยู่ต่อไปทำไมผมไม่เหลือใครแล้ว

     

    ผมร้องไห้บอกเขาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวอย่างทุกข์ทรมาน

     

    ไหนพี่บอกว่ามันจะดีขึ้นไง?

    มันต้องใช้เวลายาจะเริ่มออกฤทธิ์ช่วงอาทิตย์ที่สอง ก้องอดทนหน่อยได้ไหม อีกแค่สี่วันเองสี่วันพี่จะพาก้องไปหาหมอตามนัดไง เราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ?

    ผมไม่อยากไป ผมเกลียดพี่ผมเกลียดที่นั่น

     

    มันเหนื่อยจนบรรยายไม่ออกว่าเกลียดแค่ไหนผมพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆเมื่อเริ่มสงบลง การปลดปล่อยพลังงานเมื่อครู่ทำให้ผมหมดแรงผมอ่อนเพลียจนลุกไม่ไหว ทำได้แค่นอนนิ่งๆให้พี่อู๋กอดปลอบเท่านั้น

     

    เขารอเวลาจนแน่ใจว่าผมจะไม่อาละวาดอีกจึงคลายกอดที่รัดแน่นออกเหลือไว้แค่การโอบหลวมๆประคองไม่ให้ผมลงไปกองบนพื้น เขาลูบเส้นผมเหนียวเหนอะที่ไม่ได้สระมาเป็นอาทิตย์อย่างไม่รังเกียจเขาคือคนแรกที่ปลอบผมแบบนี้ หลังจากสูญเสียทุกอย่างไปไม่เคยมีใครกอดผมเหมือนเขาเลย

     

    คืนนี้พี่จะอยู่เป็นเพื่อน

     

    พี่อู๋พูดเมื่อเห็นผมเริ่มล่องลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

     

    ก้องไม่ได้อยู่คนเดียวก้องยังมีพี่เป็นผู้ปกครองทั้งคน



    แล้วผมก็ร้องไห้อีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคนั้นของเขา






    #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in