เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
Who's your Papa?
  • 28

     


     

    ผมแบกความคาดหวังเอาไว้บนบ่า

     

    น้ำหนักของความหวังของตัวเอง ของพี่อู๋ และของแม่ที่ตายไปแล้วกดทับบ่าทั้งสองข้างจนปวดไปหมด การจะประสบความสำเร็จเหมือนที่เคยตั้งใจไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งผมนึกย้อนไปถึงปีก่อนว่าเคยมีความคิดหรือความฝันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง แต่ผมจำไม่ได้ นายก้องเกียรติตอนอายุสิบเจ็ด -- ไม่มีความฝันอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง

     

    “พี่อู๋ ผมไปเรียนแล้วนะ สวัสดีครับ”

     

    ผมบอกผู้ปกครองที่นอนกินองุ่นบนโซฟา เขาหันมาพยักหน้ารับรู้แต่ไม่พูดอะไร กอริลลาก้องที่กำลังท้อใจได้แต่เดินออกจากห้องเงียบๆ สองเท้ามุ่งหน้าสู่สถานีจตุจักรเพื่อไปเรียนพิเศษเหมือนเคย ตลอดทั้งวันผมนั่งเหม่ออย่างใจลอย มันมีแต่คำถามว่าผมทำผิดอะไรนักหนาทำไมพี่อู๋ถึงหลุดปากพูดออกมาแบบนั้น  เขาไม่ชอบเด็กตั้งใจเรียนเหรอ พี่อู๋ไม่ชอบคนที่ขยันมุ่งมั่นเพื่อไปให้ถึงจุดหมายเหรอ แทนที่จะชื่นชมนายก้องเกียรติที่ขยันแทบตายแม้ร่างกายจะไม่ไหว แต่เขากลับคว่ำบาตรผม เขามึนตึงใส่ ไม่พูดไม่จา ไม่หยอกล้อหรือเอ่ยปากห้ามซักคำ

     

    ผมบอกตัวเองว่าพี่อู๋ทนไม่ไหวหรอก เขาคงทนเงียบเป็นใบ้ได้ไม่กี่วันแต่คุณอิศรินทร์กลับทำให้ประหลาดใจอีกหน ถ้าไม่ชวนคุย พี่อู๋จะไม่คุยกับผมเลย เราแทบไม่ได้กินข้าวด้วยกันเพราะพี่อู๋ใช้ชีวิตตามตารางเวลาของตัวเอง หิวก็กิน เบื่อก็ออกไปข้างนอก เขาไม่รอหรือถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว น่าแปลกที่นายก้องเกียรติควรดีใจที่ผู้ปกครองเลิกจุกจิกยุ่มย่ามกับชีวิต แต่ผมกลับเสียใจมากกว่าเดิมที่ถูกเพิกเฉย

     

    “ถูกค่ะ ถูกค่ะลูก ถูกค่ะ – ”

     

    เสียงของคุณครูดังขึ้น ส่วนนายก้องเกียรตินั่งจมอยู่ในโลกของตัวเอง ใครถูก? พี่อู๋เหรอ? หรือผม? ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก ไหนคุณครูช่วยพูดให้มันเคลียร์ๆหน่อย

     

    “ถูกค่ะ”

     

    คุณครูว่าใครเป็นฝ่ายถูกครับ?

     

    “ถูกค่ะ”

     

    ผมเหรอ?

     

    “ไม่ใช่ลูก คิดใหม่นะ”

     

    อ้าว – หรือพี่อู๋?

     

    “ถูกค่ะ”

    “อะไรถูกวะ?”

     

    ผมพึมพำ เสียงคงดังจนผู้หญิงที่นั่งข้างๆได้ยิน เธอหันมาหาผมก่อนจะใช้ดินสอชี้ไปที่ข้อสิบห้าแล้วบอกว่าตอบสอง ผมมองหน้าเธอ ก้มมองหนังสือเรียนที่ขาวโพลนจนน่าอาย ก่อนจะมองหน้าเธออีกครั้ง

     

    “ตอบสองเหรอ?”

    “อื้ม”

    “รู้ได้ไงอ่ะ?”

    “เราคิดออกมาได้แบบนี้” เธอบอก

    “อาจจะไม่ถูกก็ได้นะ” ผมเถียง

    “งั้นคิดว่าข้อไหนถูกอ่ะ?”

     

    ผมเงียบ เพราะไม่รู้ว่าข้อไหนถูก ถ้ารู้ ผมจะนั่งกัดปลายดินสอกดเฉยๆไหมล่ะ เอ้อ

     

    “ข้อนี้ตอบ – สองค่ะ”

     

    คุณครูเฉลยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนนายก้องเกียรติหน้าเป็นตูด เพราะยายคนข้างๆตอบถูกอีกแล้ว

     

     

     

     

     

    เหตุการณ์หน้ามืดเกิดขึ้นวันละสองสามครั้งเป็นอย่างต่ำ

     

    เดี๋ยวนี้ผมฉลาดพอที่จะหยุดเดินเมื่อโลกหมุนติ้วๆจนทรงตัวไม่ได้ เมื่อร่างกายส่งสัญญาณประท้วง ผมจะรีบหาที่นั่งและจิบชาเขียวหวานๆที่ซื้อติดกระเป๋าเป้ทันที พอนั่งรอซักพักจนแน่ใจว่าจะไม่ล้มหัวทิ่มที่ไหนจึงลุกขึ้นเดินไปเรียนพิเศษต่อ ส่วนตอนพักเที่ยงผมยอมเสียเวลากินข้าวให้หมดเพื่อฝืนขึ้นไปเรียนที่ชั้นสิบสี่ แต่อาการพวกนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยข้าวจานเดียว วิธีแก้คือต้องหยุดพักจนกว่าจะหายดีอย่างที่หมอว่าซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ผมเรียนพิเศษมาห้าสัปดาห์แล้ว ผมจะยอมแพ้และหยุดเรียนกะทันหันไม่ได้

     

    นายก้องเกียรติที่คิดว่าตัวเองเก่งนักหนาไม่รู้เลยว่าการฝืนร่างกายต่อไปเรื่อยๆจะสร้างปัญญาใหญ่จนผู้ปกครองเดือดร้อน เพราะวันหนึ่งขณะเดินลงบันไดที่บีทีเอสพญาไทเพื่อข้ามถนนไปตึกวรรณสรณ์ จู่ๆผมก็เป็นลมล้มหัวฟาดพื้นจนหัวโน คราวนี้ต่างจากคราวก่อนตรงที่ผมวูบไปเลย ไม่ใช่แค่หน้ามืดจนเดินไม่ไหว แต่วูบหลับชนิดที่ลืมตาอีกทีก็เห็นเพดานของโรงพยาบาล และแน่นอนว่าข้างๆเตียงก็ไม่ใช่ใคร พี่อู๋ยืนกอดอกจ้องผมตาเขม็งตั้งแต่ยังมองอะไรๆไม่ชัดจนเห็นใบหน้าของเขาเต็มสองตา

     

    “แต่งตัวเนี๊ยบแบบนี้ ไปสัมภาษณ์มาใช่ไหมครับสุดหล่อ”

     

    พี่อู๋ไม่ตอบ เขาคงโกรธมากจริงๆถึงไม่ยอมพูดอะไรซักคำ ผมได้แต่หัวเราะแหะๆและปรือตาจ้องหน้าผู้ปกครอง ผมบอกเขาว่าไม่ต้องคิดมากหรอก ผมไม่ได้เป็นไร ที่ล้มเพราะอากาศร้อน จริงๆแล้วผมยังแข็งแรงนะ เตะพี่ปลิวยังได้เลย

     

    “พี่ได้งานหรือยังครับ?”

     

    ผมพยายามง้อด้วยการถามอีก แน่นอนว่าพี่อู๋ไม่ตอบ เขามองผมราวกับผิดหวังมากที่นายก้องเกียรติมาจบที่โรงพยาบาลอีกแล้ว ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะค่อยๆขยับตัวและเอื้อมมือไปจับแขนเขา แต่พี่อู๋ถอยหลังหนี เขากอดอกมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร

     

    “พี่เอาเงินค่าบ้านของผมไปจ่ายค่าโรงพยาบาลก็ได้”

     

    พี่อู๋ก็ยังไม่พอใจ

     

    “ถ้าพี่ไม่คุย ผมจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”

     

    คุณอิศรินทร์หันหลังเดินออกจากห้องทันที ปล่อยให้นายก้องเกียรตินอนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่คนเดียว พอเขาหายไปผมก็เริ่มเครียดอีกครั้ง วันนี้ผมขาดเรียนเคมี แถมยังหัวโนเป็นลูกมะนาวเพราะตกบันไดอีก ที่ร้ายกว่านั้นคือโดนพี่อู๋โกรธจนไม่ยอมพูดจาและเดินหนีไปเลยราวกับผมไม่ใช่คนสำคัญในชีวิตของเขาอีกแล้ว

     

    ผมถอนหายใจก่อนจะเลียริมฝีปากแห้งผาก ไม่รู้ว่าในน้ำเกลือมียาอะไรอยู่ถึงทำให้ง่วงขนาดนี้ มันง่วงจนผมต้องยอมแพ้และหลับตาลง ในหัวไม่คิดมากเรื่องพี่อู๋อีกเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะนึกหาเหตุผลอะไร ผมนอนนิ่งๆอยู่อย่างนั้นหลายนาทีจนวูบหลับ มันเป็นการหลับที่เต็มอิ่มและสดชื่นที่สุดตั้งแต่เรียนพิเศษมาเลย

     

     

     

     

     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสามนาที

     

    สิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในสมองคือพี่อู๋อยู่ไหน

     

    โทรทัศน์ที่วางอยู่ปลายเตียงเปิดช่องข่าวสามมิติทิ้งเอาไว้ ในห้องไม่มีสัญญาณของใครอยู่นอกจากกอริลลาตัวเดียว ผมที่เพิ่งตื่นยังมึนงงเกินว่าจะนึกน้อยใจใครจึงไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากหาวปากกว้าง ผมหาวและหลับตา หาวอีกครั้งทั้งๆที่ยังหลับตา และนอนมึนหัวอยู่อย่างนั้นเกือบห้านาทีจนได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำ ผมมั่นใจว่าคนที่เดินผ่านปลายเตียงต้องเป็นพี่อู๋แน่ๆเพราะกลิ่นสบู่นกแก้วที่เขาชอบใช้ ดังนั้นผมจึงฝืนลืมตาและหาวปากกว้างอีกครั้งตอนที่พี่อู๋กลับมายืนข้างเตียงพอดี

     

    “พี่ไปไหนมา?” ผมถามแต่ไม่ได้รับคำตอบ “พี่อู๋ --”

     

    ผมเรียกชื่อเขาและหยุดไว้แค่นั้นเพราะหาวอีกรอบ ถ้าพี่อู๋ไม่ตอบก็ช่างเถอะ ผมไม่สนใจหรอกเพราะผมเพลียมาก เพลียเหมือนตัวเองเป็นปลาหมึกอบแห้งที่พร้อมปลิวตามลมตลอดเวลา พอเห็นนายก้องเกียรติทำท่าจะเคลิ้มหลับอีกรอบ พี่อู๋ก็ยอมแพ้ เขาปรับระดับเตียงให้ผมนั่งก่อนจะเข็นโต๊ะที่มีโจ๊กเย็นชืดกับน้ำเก๊กฮวยมาให้

     

    “ผมหิวพอดีเลย” ผมพยายามง้อคุณอิศรินทร์อีกครั้ง “โจ๊กร้านไหนครับ?”

     

    พี่อู๋ยังคงไม่ตอบเหมือนเดิมนอกจากป้อนโจ๊กให้โดยไม่ต้องขอ ผมนอนหลับตากินโจ๊กบนเตียงจนหมดเกลี้ยง หลังจากนั้นก็จิบเก๊กฮวยหวานๆเป็นการปิดท้าย พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน แต่ก่อนจะหลับอีกรอบผมขอให้พี่อู๋พาไปห้องน้ำหน่อย แน่นอนว่าผู้ปกครองของผมไม่ใช่คนใจจืดใจดำถึงขนาดปล่อยให้นายก้องเกียรติคลานเข้าห้องน้ำ เขาช่วยพยุงไปทำธุระจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นก็พากลับมาที่เตียงและห่มผ้าให้ ผมจึงเคลิ้มหลับยาวอีกครั้งโดยไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเขาเสียที

     

     

     

     

    พี่โรมกับพี่ตั้มมาเยี่ยมผมในเช้าวันถัดไป

     

    คุณครูเปียโนผู้ใจดีซื้อซูชิมาฝากด้วย ดังนั้นตอนที่พี่อู๋กับเพื่อนๆนั่งคุย กอริลลาที่กำลังป่วยจึงเคี้ยวแซลมอนจนแก้มตุ่ยไม่เข้าร่วมบทสนทนา ทุกอย่างที่พี่โรมกับพี่ตั้มซื้อมาฝากนั้นอร่อยไปหมด ซูชิหน้าแซลมอนดิบก็ดี แซลมอนเบิร์นก็อร่อย หน้าไข่หวานและปลาหมึกก็ละมุนลิ้นจนต้องเคี้ยวช้าๆ เคี้ยวนานๆเพื่อซึมซับรสชาติอูมามิ นานมากแล้วที่ผมไม่มีโอกาสได้กินของดีๆ ไม่ใช่เพราะพี่อู๋ไม่เลี้ยง แต่เพราะผมเรียนจนหัวฟูเลยไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นกับเขาต่างหาก

     

    ระหว่างที่กำลังกิน พี่อู๋ก็เรียกพี่ตั้มไปคุยข้างนอก ผมรู้ทันทีว่าหัวข้อสนทนาของพวกเขาคงไม่พ้นนายก้องเกียรติที่สรรหาแต่เรื่องเสียเงินมาให้ทุกวี่ทุกวัน ผมมองแผ่นหลังของผู้ปกครองจนสุดสายตาก่อนจะหันมาหาพี่โรมที่นั่งยิ้มแหะๆตรงโซฟา

     

    “พี่อู๋โกรธผมมากไหมครับ?”

     

    พี่โรมส่ายหน้าและบอกว่าเปล่าหรอก อู๋ไม่ได้โกรธ ไม่โกรธเล้ย ไม่โกรธจริงๆ เขาย้ำว่าไม่โกรธจนมีพิรุธ ในที่สุดคุณครูสอนเปียโนก็ยอมรับตามตรงว่าคุณอิศรินทร์โกรธมาก เมื่อวานเขาโมโหจนแทบจะแดกหัวนายก้องเกียรติเลย

     

    “ก็สมควรโกรธ ผมดีแต่ทำให้พี่อู๋เสียเงิน”

    “ก้อง เรื่องเงินมันไม่ใช่ปัญหาของอู๋หรอกนะ”

     

    ผมเลิกคิ้วมองหน้าพี่โรมเป็นเชิงขอให้เขาเฉลยว่าถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา แล้วมันคืออะไร

     

    “อู๋มันไม่อยากให้ก้องเรียนพิเศษ”

     

    ผมตัวชาวาบทันทีที่ได้ยินแบบนั้น สมองมึนงงว่าทำไมพี่อู๋ถึงไม่อยากให้เรียนต่อในเมื่อเราเคยคุยกันว่าหากสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ผมจะตั้งใจเรียนให้จบและทำงานหาเงินมาคืนเขา ตอนนั้นพี่อู๋ยังไม่ว่าอะไรซักคำเมื่อผมขอตังค์ไปเรียนพิเศษ แต่พอผมเริ่มเรียนได้แค่เดือนกว่าๆ เขากลับบอกพี่โรมว่าไม่อยากให้นายก้องเกียรติเรียนแล้ว

     

    “ก้อง – พี่เข้าใจนะว่าสอบเข้ามันยาก มันต้องเรียนหนัก ต้องขยัน ต้องตั้งใจ แต่ก้องช่วยขยันน้อยลงกว่านี้ได้ไหม? ขอแบบพอดีๆไม่หักโหมจนป่วย”

    “แต่ผมแค่เป็นลมเอง ผมไม่ได้เป็นอะไร”

    “สำหรับอู๋มันไม่ใช่แค่เป็นลม มันคือเรื่องคอขาดบาดตาย” พี่โรมว่า “ก้องคิดบ้างไหมว่าถ้าเป็นลมตอนข้ามถนนหรือตอนขึ้นรถไฟฟ้า ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาอู๋มันจะเสียใจแค่ไหน”

    “พี่อู๋ไม่เห็นต้องเสียใจเลยครับ ผมจะเป็นหรือตาย ยังไงมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาอยู่แล้ว”

    “ก้อง --” พี่โรมถอนหายใจเหมือนเหนื่อยจะพูดอธิบาย “คนเราเกิดมามีชีวิตเดียว ถ้าตายแล้วกลับมาแก้ไขไม่ได้นะ”

    “ครับ ผมรู้ เพราะเรามีชีวิตเดียว ผมถึงอยากทำให้เต็มที่ไง”

    “พี่เข้าใจ แต่ถ้าวันหนึ่งก้องเป็นอะไรขึ้นมา อู๋มันจะคิดว่าตัวเองทำพลาดเป็นครั้งที่สองนะ”

    “พี่โรมหมายความว่าไงครับ?”

     

    พี่โรมอึกอักเหมือนลังเลว่าควรพูดดีหรือเปล่าเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากสำหรับพี่อู๋ เขาไม่อยากคิดเอาเองว่าพี่อู๋มองเรื่องนี้ยังไง แต่ถ้าถามความเห็นของเพื่อนสนิทที่คุยกับคุณอิศรินทร์ค่อนข้างบ่อย เขาคิดว่าพี่อู๋ยังคงโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุทำให้เอมตาย

     

    “ตอนนั้นอู๋มันก็ทำแบบนี้เหมือนกัน มันจ่ายเงินให้เอมเรียนพิเศษแต่ไม่ค่อยมีเวลาดูน้องเท่าไหร่ กว่าจะรู้ว่าเอมเครียดมากก็ตอนโรงพยาบาลโทรให้ไปรับศพแล้ว”

     

    ผมอยากถามพี่โรมต่อว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง เอมอยากเรียนอะไรทำไมถึงฆ่าตัวตาย แต่คุณอิศรินทร์ก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน พี่โรมจึงปิดปากเงียบไม่พูดถึงเอมอีก พวกเขาใช้เวลาในห้องพักผู้ป่วยอีกแค่สิบนาทีก่อนจะขอตัวกลับเพราะหมอเข้าตรวจพอดี วันนี้คุณหมอถือชาร์ตผลเลือดและค่าความดันมาด้วย เขาถามผมว่าเป็นยังไงบ้าง ยังกินยาต้านเศร้าอยู่หรือเปล่า ผมตอบว่ากินครับ ผมกินยาครบไม่เคยขาด แต่ถึงกินยาก็ยังมีปัญหาเรื่องการนอนอยู่ดี

     

    “อาจจะต้องปรับยาใหม่กับคุณหมอที่ตรวจประจำนะครับ”

     

    คุณหมอแนะนำก่อนจะส่งชาร์ตให้พยาบาล เขาหยิบหูฟังขึ้นมาตรวจและพยายามชวนผมคุยเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันเช่น เบื่ออาหารไหม ตอนไปเรียน นอกจากแซนด์วิชแล้วยังได้กินอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า อาการหน้ามืดล่ะเป็นไง ปวดหัวปวดตัวร่วมด้วยไหม ผมจึงบอกเขาว่ายังมีอยู่บ้าง แค่ขยับตัวนิดหน่อยโลกก็หมุนคว้างแล้ว บางทีเดินเฉยๆก็ใจสั่น ตัวหวิวๆเหมือนไฟช็อตเป็นครั้งคราว พอได้ยินอาการทั้งหมดหมอก็ถอนหายใจและพูดว่าอาการที่ผมเป็นอยู่คือพักผ่อนน้อย วิธีรักษาคือพักผ่อน ต้องพักผ่อนจริงๆจังๆ ไม่งั้นก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่หายเสียที

     

    “แต่ผมขาดเรียนไม่ได้ ผมกลัวตามเพื่อนไม่ทัน”

    “เราก็ต้องเลือกเนอะว่าอะไรสำคัญกว่า”

     

    หมอพูดเป็นเชิงให้คิด แต่ขอโทษเถอะครับ สิ่งที่นายก้องเกียรติเห็นเป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้คือเรื่องเรียนเท่านั้น

     

    “ผมว่าผมไม่เป็นไร คราวหน้าถ้าเวียนหัวอีกผมจะจิบน้ำหวานเยอะๆ”

    “น้ำหวานก็ไม่ช่วยหรอก มันต้องแก้ตั้งแต่พักผ่อนให้เพียงพอ ตอนนี้ร่างกายเราประท้วงแล้วว่าไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ ไอ้มุ่งมั่นตั้งใจเรียนมันก็ดีนะ แต่ถ้าฝืนจนเป็นลมแบบนี้บ่อยๆหมอกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ”

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่น่าจะถึงตาย”

    “ใครว่า เดี๋ยวนี้คนตายเพราะอดนอนเยอะแยะ”

     

    คุณหมอบอก แต่ผมก็ยังไม่สำนึกเพราะผมไม่ได้อดนอนเรื้อรัง ผมเพิ่งอดนอนแค่ไม่กี่สัปดาห์เอง อีกไม่นานคอร์สเรียนพิเศษก็จะหมดแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยนอนก็ยังได้ ผมมีข้อแก้ตัวมากมายในหัวที่พร้อมจะโต้เถียงกับคุณหมอรุ่นพ่อ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก ประโยคถัดมาก็ทำให้ผมเงียบเพราะพูดไม่ออก

     

    “ถ้าเราตายไป เราไม่สงสารพี่เหรอ? เขาต้องอยู่คนเดียวไม่มีเราอยู่เป็นเพื่อนนะ”

     

    ผมมองหน้าพี่อู๋ทันทีแล้วก็คิดได้ว่าถ้าวันหนึ่งผมตาย ผู้ปกครองจะอยู่กับใคร

     

    “เรื่องเรียนพิเศษไม่ต้องเลิกก็ได้ ขอแค่นอนให้เต็มอิ่มก่อนไปเรียน การบ้านทำไม่ทันก็ช่างมัน เว้นไว้ทำวันหลังบ้าง”  

     

    หมอสอนผมแค่นั้นก่อนจะบอกว่าถ้าไม่มีอะไรแล้วจะกลับบ้านเลยก็ได้ แต่อ่านจากประวัติยาต้านเศร้าที่กินอยู่ มันมียาตัวนึงที่ทำให้ง่วงรวมอยู่ด้วย คุณหมอบอกว่าเป็นไปได้ที่ผมหลับแทบตลอดเวลาเพราะยาตัวนี้ ถ้ายังไงลองกลับไปปรึกษาคุณหมอประจำตัวดูนะว่าเปลี่ยนยาได้ไหม เผื่อมียาใหม่ไม่ง่วง ผมจะได้ตั้งใจเรียนในห้องเต็มที่ ไม่ต้องตะบี้ตะบันกลับมาอ่านหนังสือจนเกือบเช้าทุกวัน

     

    ผมยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอก่อนจะหันมามองหน้าพี่อู๋ ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ทำให้เขาไม่สบายใจขนาดนี้ แต่ทำไงได้ อนาคตของผมก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายเหมือนกัน

     

    “จะกลับบ้านวันนี้เลยไหม?”

    “วันนี้ก็ได้ครับ”

     

    ผมบอก ดังนั้นพี่อู๋จึงเดินออกไปนอกห้องเพื่อแจ้งพยาบาล หลังจากนั่งรอบิลและรับยาเกือบสองชั่วโมง เราก็มุ่งหน้ากลับลาดพร้าวพร้อมกัน

     

     

     

     

     

     

    คุณอิศรินทร์แวะซื้อของที่บิ๊กซีโดยมีนายก้องเกียรติเดินเหม่อเหมือนร่างไร้วิญญาณ ตอนนั่งบนเตียงของโรงพยาบาลยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่พอเดินด้วยเท้าตัวเองกลับใจสั่น ตัวเบาหวิวพร้อมจะเป็นลมตลอดเวลา ต่อให้รู้สึกไม่โอเคแค่ไหนผมก็ยังเดินตามหลังพี่อู๋ไม่ห่าง ผมคอยช่วยเขาหยิบของ ช่วยเลือกเนื้อสัตว์ เลือกของกินอร่อยๆไปตุนในห้องเหมือนที่เคยทำประจำ พอเริ่มเดินเยอะขึ้น ร่างกายมันเริ่มไม่ไหว โลกทั้งใบหมุนทวนเข็มนาฬิกาช้าๆจนทรงตัวไม่ได้ ในที่สุดผมต้องเดินไปพิงหลังพี่อู๋เพื่อหยุดพักสายตา

     

    “ไม่ไหวเหรอ?”

    “ครับ”

     

    ผมพึมพำเบาๆจนเหมือนไม่ได้พูดออกมา พอรู้ว่ากอริลลาเหยาะแหยะใกล้ตาย คุณอิศรินทร์ก็ทิ้งรถเข็นแล้วพาไปลานจอดรถทันที เขาปล่อยให้ผมนั่งพักในรถจนค่อยๆรู้สึกดีขึ้น มันก็แค่รู้สึกดีขึ้นเท่านั้น แต่อาการเวียนหัวหน้ามืดยังไม่หายเสียที

     

    “ผมขอโทษนะที่ทำให้พี่ต้องลำบาก”

     

    ผมบอกผู้ปกครองที่กำลังเปิดขวดชาเขียวส่งมาให้ พี่อู๋ไม่พูดอะไรซักคำนอกจากสั่งให้ค่อยๆจิบจะได้มีแรง

     

    “พี่คงโกรธผมมาก”

    “อืม”

    “เดี๋ยวเรียนจบผมจะหาเงินมาคืนค่าหมอให้หมดเลยครับ”

    “เงินมันไม่สำคัญหรอกก้อง!” พี่อู๋กลับมาเป็นอิศรินทร์ขี้วีนอีกแล้ว “ที่ทุกคนพูดก้องยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?!”

     

    ผมบอกพี่อู๋ว่าเข้าใจสิ เข้าใจดีเลยว่าพี่อู๋เป็นห่วง แต่ยิ่งพยายามแสดงความเข้าอกเข้าใจพี่อู๋ก็ยิ่งโมโหขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นการดุด่า ผมงงจริงๆว่าทำไมเขาถึงไม่ภูมิใจที่เด็กในปกครองตั้งใจเรียนจนไม่กลัวตาย ทำไมเขาถึงไม่มีความสุขเมื่อเห็นผมพยายามออกจากบ้านไปเรียนทุกวันเพื่อให้คุ้มกับเงินที่เขาจ่าย ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมการเป็นเด็กดีถึงไม่ได้รับคำชม ทำไมเด็กขยันอย่างนายก้องเกียรติถึงโดนตำหนิซ้ำๆเหมือนทำผิดร้ายแรงนักแหละ

     

           พอโดนว่าเยอะๆ ผมชักมีน้ำโหก็เลยเถียงกลับ คราวนี้เราตะเบ็งเสียงใส่กันในรถแถมยังใช้อารมณ์อีก ผมถามพี่อู๋ว่าในสายตาของเขา ต้องเป็นเด็กแบบไหนถึงจะเรียกว่าเด็กดี ผมขยันขนาดนี้ ผมมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ทำไมเขากลับไม่พอใจ ทำไมต้องเอาแต่ว่าผม ด่าผม ตำหนิผมด้วยทั้งๆที่ผมทำเพื่อเราสองคน พี่อู๋ถึงกับแสยะยิ้มเลยเมื่อได้ยินคำว่าเราสองคน เขาบอกว่าผมไม่ได้ทำเพื่อเขาหรอก สิ่งที่ผมทำมีแต่เพื่อตัวเอง

          

    “เพื่อตัวเองเหี้ยอะไร ที่ผมทำทุกอย่างก็เพื่อพี่ทั้งนั้น ผมอยากสอบเข้ามหาลัยดีๆ อยากเรียนสูงๆเพื่อทำงานหาเงินมาคืนพี่ ผมวางแผนทุกอย่างก็เพื่อพี่ พี่นั่นแหละเห็นแก่ตัว ทำไมถึงขัดขวางไม่ให้ผมเรียนหนังสือวะ!”

    “เพราะกูเป็นห่วงมึงไงก้อง!”

     

    มาแล้วมึงกู -- แสดงว่าโมโหของแท้

     

    “กูจ่ายเงินเป็นหมื่นให้มึงเรียนหนังสือ ไม่ได้จ่ายให้มึงมาเจ็บตัวซ้ำๆซากๆ! มึงเห็นไหมเนี่ยหัวมึงโนเท่าลูกมะนาว! เห็นไหม?! เห็นไหม?! ดูกระจกสิเห็นไหม?!”

     

    เขาดึงแผ่นกันแสงออกมาแล้วเปิดประจกให้นายก้องเกียรติดู ผมตะโกนใส่เขาว่าเออ! เห็นแล้ว! หัวโนแค่นี้ไม่ตายหรอก! แต่ถ้าสอบเข้าไม่ได้ผมตายแน่!

     

    “มึงไม่ต้องรอสอบเข้าไม่ได้หรอก ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปมึงตายสมใจอยากแน่!”

     

    แช่งกันอีก

     

    “มึงจะรักตัวเองบ้างไม่ได้เหรอก้อง? กูถามจริงๆเถอะ รักตัวเองนี่มันยากมากเหรอ? แค่ดูแลตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขนี่มันยากตรงไหนวะ!”

     

    ยากสิวะ! ผมตะโกนกลับและถามเขาว่าทุกวันนี้การใช้ชีวิตเฉยๆไปวันๆมันทำได้เสียที่ไหน ผมไม่ได้เกิดมาเก่งเหมือนพี่ ผมไม่มีเงินเก็บเยอะจนไม่ต้องทำงานก็ได้ ผมไม่มีอะไรเลยถึงต้องสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง พี่อู๋ก็รู้ว่าใบปริญญาสำคัญ ถ้าไม่ตั้งใจเรียนตั้งแต่ตอนนี้แล้วเมื่อไหร่จะรวย! เมื่อไหร่จะยืนได้! ถ้าไม่มีเงิน – พี่คิดว่าเราจะมีความสุขได้จริงๆเหรอ! จะแดกข้าวถุงนึงก็ต้องมีเงินสิบบาท คิดหน่อยสิวะอิศรินทร์! คิดถึงมุมของคนอื่นบ้างจะได้ไหมวะ!

     

    แล้วเราก็เถียงกันไม่จบไม่สิ้น พี่อู๋โมโหใส่ผมเหมือนที่เคยทำกับคุณหมูพีเปี๊ยบ เขาทั้งพูดมึงกู ทั้งตะคอกจนหน้าแดง ทั้งยกเหตุผลส้นตีนอะไรก็ไม่รู้มาตำหนินายก้องเกียรติที่พยายามทำเพื่ออนาคต เด็กอายุสิบแปดที่ประสบการณ์น้อยกว่าอย่างผมเถียงสู้เขาไม่ได้ ในที่สุดผมก็ร้องไห้โฮออกมา ร้องฟูมฟายเหมือนคนบ้าและตัดพ้อเขาว่าทำไมไม่เปิดใจรับฟังผมบ้าง ผมต้องเรียนหนังสือ ผมต้องสอบเข้ามหาลัยดีๆเพื่ออนาคตตัวเอง ที่ผมทำก็เพราะอยากมีเงินมาคืนพี่ ไหนๆพี่ก็ไม่ให้ผมตายแล้ว พี่ปล่อยให้ผมดิ้นรนเพื่อมีชีวิตดีๆไม่ได้เหรอ

     

    “ชีวิตดีๆไม่ได้ผูกติดไว้กับมหาลัยไงก้อง”

     

    พี่อู๋ใจอ่อน ยอมเป็นฝ่ายยกธงขาวเมื่อเจอกอริลลาอาละวาด เขาหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำตาให้แต่ยังไม่เอ่ยขอโทษ คุณอิศรินทร์ยืนยันเหมือนเดิมว่าผมไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองขนาดนี้เพื่อมหาวิทยาลัยเพราะเขาไม่สนใจเลยว่าผมจะสอบติดที่ไหน ต่อให้ไม่ใช่จุฬา ธรรมศาสตร์ ไม่ใช่มอรัฐบาลก็ไม่เห็นเป็นไร ประเทศนี้ยังมีมหาลัยเปิดอย่างรามคำแหงรออยู่

     

    “แต่ผมอยากให้พี่ภูมิใจ ผมอยากให้พี่บอกใครต่อใครว่าผมสอบเข้าที่ดีๆได้”

     

    ผมสะอึกสะอื้นร้องไห้บอกเขา และยังบอกอีกว่าตอนนี้ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอนาคตตัวเองเลย ผมอยากเรียนจุฬา อยากเรียนธรรมศาสตร์ หรืออยากเรียนมหาลัยไหนก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าผมต้องทำให้ได้ ผมต้องทำให้พี่ภูมิใจให้ได้ พี่อู๋ถอนหายใจแล้วลูบหัวกอริลลาจิตป่วย เขาบอกว่าความภูมิใจของเขาไม่ได้วัดที่มหาวิทยาลัย แต่มันอยู่ที่ผม แค่นายก้องเกียรติตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง เขาก็ภูมิใจมากๆแล้ว ทิ้งเรื่องมหาลัยไปเถอะนะ โฟกัสแค่ว่าอยากเรียนคณะอะไรดีกว่า เลือกเรียนสิ่งที่ชอบก่อน มหาลัยไว้ค่อยเลือกเป็นอันดับสอง เพราะถ้าโฟกัสแค่มหาลัยจนไม่สนใจว่าจะได้เรียนคณะอะไร นรกสี่ปี่จะทรมานผมจนตาย

     

    “ผมจะรู้ได้ไงครับว่าอยากเรียนอะไร?”

    “จะไปรู้เหรอ” พี่อู๋คาดเข็มขัดให้ผมก่อนจะเตรียมตัวขับรถออกจากบิ๊กซี “ก้องชอบวิชาอะไรล่ะ?”

    “ผมชอบคณิตศาสตร์”

    “คณิตอย่างเดียวเหรอ?”

    “ฟิสิกส์ผมก็ชอบ ผมชอบแค่สองวิชานี้”

    “ภาษาอังกฤษล่ะชอบไหม?”

    “เฉยๆครับ พอทำได้” ผมตอบพลางเช็ดน้ำตาออกจากแก้ม “แต่ผมไม่ชอบเคมี”

    “พี่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน”

    “ตอนเอนทรานซ์ – พี่อู๋รู้ได้ไงว่าอยากเรียนคณะอะไร?”

    “พี่เหรอ? เลือกจากที่ตัวเองถนัดที่สุดอ่ะ” เขาบอก “พี่ไม่ชอบคำนวณใช่ไหม พี่ก็ตัดคณะที่เกี่ยวกับเลขออกไป อันดับแรกเลยคือวิศวะปลิวไปก่อนใครเพื่อน ต่อมาก็หมอ นักวิทยาศาสตร์ พอรู้ตัวอีกว่าเป็นคนขี้เกียจไม่ชอบอ่านหนังสือหนักๆ พี่ก็ตัดนิติศาสตร์ ตัดรัฐศาสตร์ ตัดนั่นตัดนี่ ตัดไปตัดมา ไอ้ชิบหาย เหลือแค่คณะภาษา”

    “พี่ก็เลยเรียนอักษร?”

    “อืม”

    “ทำไมพี่ไม่เรียนอักษรจุฬาครับ?”

    “หัวไม่ถึง” พี่อู๋ตอบด้วยท่าทีสบายๆ “สอบจุฬาไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร เลือกเรียนสิ่งที่เราชอบก่อน ถ้าเป็นสิ่งที่เราชอบและทำได้ดี ยังไงมันก็ออกมาดีเพราะเรามีความสุขกับมัน”

    “งั้น – ผมควรทำไงดี?”

    “หาหมอ”

    “หาทำไมครับ?”

    “ปรับยาใหม่”

     

    พี่อู๋พูดอย่างจริงจัง

     

    “พี่ดูจากสภาพแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปไม่น่ารอด”

     

    ผมเห็นด้วย คำว่าไม่น่ารอดของเขาไม่ได้หมายถึงตาย แต่หมายความว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่อีก ความสัมพันธ์ของเราคงไปไม่รอดแน่ๆ

     

     

     

     

     

     

    วันถัดมา กอริลลาก้องกับผู้ปกครองตื่นแต่เช้าเพื่อรอคิวพบหมอ ผมนั่งท่องในใจถึงเรื่องที่ต้องปรึกษา หนึ่งคือเรื่องยา สองคือเรื่องความเห็นที่ไม่ลงรอยกับพี่อู๋ พอถึงคิวนายก้องเกียรติ ผมก็เดินเข้าห้องตรวจทันทีด้วยความเคยชิน ผมยกมือไหว้คุณหมอ สวัสดีครับ วันนี้มาหาก่อนนัดเพราะมีเรื่องจะปรึกษา ผมไม่รอให้หมอถามด้วยซ้ำว่าเป็นยังไงบ้างนอกจากรีบวางถุงยาลงบนโต๊ะแล้วบอกเขาว่าขอหยุดยาได้ไหม วันก่อนผมไม่สบายหนักถึงขนาดเข้าโรงพยาบาล คุณหมอที่ตรวจบอกว่ายาพวกนี้ทำให้ง่วง เขาแนะนำให้กลับมาปรึกษาหมอ คุณหมอช่วยดูให้หน่อยได้ไหมครับ

     

    “ก้องจะขอเปลี่ยนยาเป็นตัวที่ไม่ง่วงเหรอ?”

    “เปล่าครับ ผมจะขอหยุดยา” ผมบอกความต้องการของตัวเองเพราะเชื่อว่าต่อให้เปลี่ยนเป็นยาตัวใหม่ ยังไงก็คงง่วงมากอยู่ดี “ผมเรียนไม่ทันเพื่อนเพราะหลับทุกครั้ง ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้แล้ว ให้ผมหยุดยาได้ไหมครับ?”

     

    ในทีแรก คุณหมอแสดงออกว่าไม่ค่อยเห็นด้วย แต่พอลองคุยลองซักถามอาการเพิ่มเติม เขาก็ยอมให้หยุดยาโดยมีข้อแม้ว่าถ้าไม่ไหวต้องรีบกลับมาหาหมอทันที เอาล่ะวันนี้เป็นยังไงบ้าง มีอะไรให้หมอช่วยนอกจากขอเปลี่ยนยาไหม คุยกันถึงตรงนี้ผมก็ถอนหายใจและเล่าให้หมอฟังเกี่ยวกับความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างผมกับพี่อู๋ เขาเอาแต่บังคับให้ผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งความสุขของผมก็คือการมีอนาคตดีๆและไม่เอาเปรียบเงินของใคร ผมบอกหมอว่าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงชอบเห็นนายก้องเกียรติขี้เกียจ พวกเขาควรชมสิที่ผมขยันเอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่โดนดุโดนด่าเหมือนทำความผิดอะไรมา

     

    “ผมไม่เข้าใจจริงๆนะ ทำไมทุกคนต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ --”

     

    กอริลลาก้องยังคงคร่ำครวญต่อไป ผมระบายความอัดอั้นตันใจออกมายาวเหยียดเกือบสิบนาที ยังดีที่หมอไม่เข้าร่วมกับคนอื่นด้วยการตอกหน้าว่าผมฝืนตัวเองเกินไป เขาแค่รับฟังเงียบๆจนผมบ่นจบ หมอถึงถามว่าอยากรู้ไหมว่าตอนเขาสอบเข้า เขามีเคล็ดลับยังไง

     

    “หมอพยายามนอนให้ได้วันละเจ็ดชั่วโมงตลอด” เขาเฉลย “ถ้าเรานอนน้อย สมองเราจะรับข้อมูลใหม่ๆได้ช้าลงหรือไม่ก็รับไม่ได้เลย”

     

    แล้วข้อมูลเชิงวิชาการก็พรั่งพรูออกจากปากของเขา ผมได้แต่นั่งฟังหูซ้ายทะลุหูขวาเพราะจับใจความในสิ่งที่หมอพูดไม่ได้ ดังนั้นเมื่ออธิบายกลไกการทำงานของสมองจบ หมอก็ถามว่าไม่เข้าใจใช่ไหม ผมตอบว่าใช่ ไม่เข้าใจอะไรเลย หมอจึงย้ำอีกครั้งว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะนอนไม่พอ

     

    “ที่ก้องบอกหมอว่าเรียนไม่รู้เรื่อง หมอว่าบางทีมันไม่ใช่เพราะก้องหัวไม่ดีหรอก แต่เพราะร่างกายมันเหนื่อยเกินไปจนไม่รับต่างหาก พอเป็นแบบนี้ทุกวันก็เลยเรื้อรังเป็นลูกโซ่ พักนี้ก้องเองก็หงุดหงิดโมโหง่ายจนทะเลาะกับพี่อู๋ด้วยใช่ไหม?”

    “แต่เขาเป็นคนชวนผมทะเลาะ”

    “เพราะเขารักก้องไง เขาถึงไม่สบายใจที่เห็นก้องป่วย”

     

    หมอบอก แต่ผมยังปล่อยวางเรื่องเรียนไม่ได้ ผมบอกหมอว่าการสอบเข้ามันน่ากลัวจริงๆ ผมกลัวว่าถ้าทำพลาดอีกจะไม่มีโอกาสที่สาม กลัวว่ามันจะยิ่งยืดยาวออกไปไม่ถึงปลายทางเสียที หมอรู้ไหมว่ามันน่าหงุดหงิดมากนะที่ใจเราพร้อมสู้แต่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย ลำพังเรียนไม่รู้เรื่องก็เครียดแล้ว นี่ยังต้องทะเลาะกับพี่อู๋เกือบทุกวันอีก ผมเหนื่อย ผมเหนื่อยจริงๆ คนเราเกิดมาเรียนเพื่ออะไรในเมื่อสุดท้ายก็ตายอยู่ดี

     

    “บางครั้งผมคิดจริงๆนะว่าอยากเกิดเป็นหมา”

    “ทำไมล่ะ?”

    “ก็หมามันไม่ต้องสอบเข้ามหาลัย ไม่ต้องดิ้นรนทำงานหาเงิน วันๆมีแค่กินกับนอนสบายจะตาย ถ้าชาติหน้ามีจริงผมอยากเกิดเป็นหมาของไฮโซ”  

     

    หมอขำก๊ากเมื่อกอริลลาก้องโอดครวญอยากเกิดเป็นหมา หลังตัดพ้อชีวิตเสร็จเราก็กลับมาคุยเรื่องเรียนอีกครั้ง หมอบอกผมว่าจริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องกดดันเลยถ้าเรียนวิชาไหนไม่เข้าใจ ใครๆก็มีวิชาที่ไม่ถนัดด้วยกันทั้งนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆเลยก็พี่อู๋ ในสายตาของก้อง ก้องว่าพี่อู๋เก่งไหม

     

    “เก่งครับ พี่อู๋เก่งมากนะหมอ”

     

    ผมอวดผู้ปกครองทันทีที่มีโอกาสเล่าซ้ำเป็นหนที่สองว่าพี่อู๋ของผมเก่งภาษาญี่ปุ่นมาก เขาเคยแปลเอกสารห้าหน้าในครึ่งชั่วโมงด้วย เมื่อก่อนพี่อู๋ทำงานในบริษัทใหญ่ได้เงินเดือนเป็นแสน โบนัสเกือบครึ่งล้านก็เคยได้มาแล้ว แถมยังมีรถมีบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย พี่อู๋เนี่ย – เป็นเทพมาเกิด เขาเก่งมาก เก่ง เก่งที่สุดสำหรับนายก้องเกียรติ

     

    หลังฟังคำอวยจบ หมอไม่พูดอะไรอีกนอกจากหยิบกระดาษโน้ตออกมาหนึ่งแผ่นแล้วเขียนบางอย่างลงไป พอเขียนเสร็จเขาก็ส่งให้ผมและบอกว่าลองเอาอันนี้ให้พี่อู๋นะ ถามเขาดูว่าได้เท่าไหร่

     

    “นี่มันโจทย์เลขไม่ใช่เหรอครับ?” ผมพลิกกระดาษโน้ตไปมาก่อนจะถามคุณหมอ เขาพยักหน้ายิ้มๆ

     

    “ก้องคิดข้อนี้ออกไหม?”

     

     

     

     

    อ่า – โจทย์แนวนี้เหรอ

     

    “หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดครับ”

     

    หมอชมว่าเก่งมากแต่ผมก็ถ่อมตัวด้วยการบอกว่าโจทย์ข้อนี้ง่ายเหมือนปอกกล้วย ไม่มีใครทำไม่ได้หรอก เผลอๆถามเด็กปอหกก็คงได้คำตอบไม่ต่างกัน

     

    “แต่หมอให้ผมถามพี่อู๋ทำไมครับ?”

    “หมอคิดว่าถ้าพูดยาวไปก้องก็คงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าลองถามพี่อู๋ดูก็แล้วกันนะ ก้องน่าจะรู้ว่าสิ่งที่หมออยากบอกคืออะไร”

     

    ผมขมวดคิ้วก่อนจะตอบครับๆแล้วพับกระดาษใส่กระเป๋ากางเกง หลังสรุปเรื่องยา ผมก็เตรียมจะเดินออกจากห้องแต่โดนคุณหมอรั้งไว้ เขาถามผมว่าอยากรู้วิธีเลิกทะเลาะกับผู้ปกครองไหม ผมตอบทันทีว่าอยากครับ

     

    “ง่ายมาก ต่อไปนี้ถ้ามีอะไร ก้องต้องบอกพี่อู๋เหมือนที่บอกหมอนะ”

    “ทำไมครับ?”

    “เพราะพี่อู๋ไม่ใช่คนดื้อ เขาพร้อมฟังเหตุผลของก้องอยู่แล้ว”

    “ผมรู้สึกว่าบอกไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ขนาดเมื่อวานผมอธิบายแทบตาย เขายังด่าผมรัวเป็นปืนกลเลย”

    “พี่อู๋คงโมโหน่ะ แต่จริงๆเขารักก้องมาก” หมอบอก “เดี๋ยวเรียกพี่อู๋เข้ามาพบหมอด้วยนะ หมอมีเรื่องอยากคุยกับเขานิดหน่อย”

     

    ผมตอบครับก่อนจะเดินออกจากห้องแล้วเรียกผู้ปกครองเข้าไปคุย ระหว่างนั่งรอผมก็เหลือบมองกอริลลาร่วมชะตากรรมที่กำลังต่อคิวพบคุณหมอ ผ่านไปแค่สองนาทีก็มีโรงละครเปิดแสดงด้านหน้าเหมือนช่วงแรกที่มารักษา ผมมองกอริลลารุ่นป้าร่ายรำร้องเพลงจนพี่อู๋ออกจากห้อง เขาเหวอนิดๆเมื่อคุณป้าวิ่งไปสวมกอดและออดอ้อนเพราะคิดว่าคุณอิศรินทร์เป็นสามีในโลกจินตนาการ ผมขำก๊ากทันที ในที่สุดพี่อู๋รูปหล่อก็ได้เป็นพระเอกกับเขาบ้าง

     

    “อะไรวะ เดินอยู่ดีๆก็ได้เป็นผัวเลย”

     

    พี่อู๋พึมพำเมื่อเราเดินออกจากอาคารของโรงพยาบาล ส่วนผมยังหัวเราะไม่หยุดเพราะตลกสีหน้าของผู้ปกครอง พี่อู๋แว้ดด่าผมว่าขำอะไรนักหนา อยากมีผัวเหรอ ผมหัวเราะหนักกว่าเดิมอีก

     

    “หมอบอกว่าหยุดยาได้ แต่ถ้าอาละวาดขึ้นมาต้องรีบกลับมาหาหมอนะ”

    “ครับ” ผมขานรับทั้งๆที่ยังยิ้มอยู่ “เอ้อ – พี่อู๋ครับ พี่ว่าคำถามข้อนี้ตอบอะไรอ่ะ?”

     

    ผมส่งกระดาษให้เขา คุณอิศริทน์ที่กำลังขาดเข็มขัดรับมันไปอ่านออกเสียงก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เขาถามว่าเราจะรู้ไปเพื่ออะไรวะว่ายกกำลังเกือบพันมันได้เท่าไหร่ มีเครื่องคิดเลขก็กดเอาสิ สิบเอ็ดคูณกันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าครั้งหารด้วยสิบเอ็ดคูณกันเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดครั้ง ใครมีปัญญาคิดก็คิด พี่ไม่คิด

     

    “พี่คิดไม่ออกจริงๆเหรอครับ?” ผมประหลาดใจเพราะโจทย์ข้อนี้มันง่ายมาก ง่ายชนิดที่แค่ท่องสูตรคูณก็ได้คำตอบแล้ว แต่พี่อู๋กลับไม่รู้เลย “พี่อ่านใหม่อีกรอบสิ มันง่ายจริงๆ”

     

    พี่อู๋อ่านออกเสียงอีกครั้งก่อนจะบ่นว่าเรื่องเหี้ยอะไรวะเนี่ย เขานั่งเกาหัว เกาแก้ม เกาทุกที่ที่สามารถเกาได้ก่อนจะบอกว่าคิดไม่ออกแล้วก็ฉีกกระดาษแม่งเลย โมโห

     

    “พี่! มันง่ายจะตาย! พี่แค่เอาสิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดก็จบแล้ว!”

    “ทำไมต้องเอาสิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดด้วย?”

    “ฐานมันคือสิบเอ็ดเหมือนกันใช่ไหม? พี่ก็เอาเลขยกกำลังของมันมาลบกัน เก้าร้อยเก้าสิบเก้าลบเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดได้สอง สิบเอ็ดยกกำลังสอง?”

    “ได้เท่าไหร่?”

    “สิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดเองนะพี่อู๋!” ผมเบ้หน้า นึกสงสัยว่าเขาไม่รู้จริงๆหรือแค่หลอก “สิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดได้ร้อยอะไรครับ?”

    “ร้อยสิบ”

    “ร้อยยี่สิบเอ็ด!”

     

    ผมอยากร้องอ๊ากกก!ดังๆแล้วเขย่าตัวเขาจริงๆ

     

    “ข้อนี้ตอบร้อยยี่สิบเอ็ดครับ!”

    “อ๋อเหรอ อืมๆ”

     

    พี่อู๋พยักหน้าไม่แคร์ ปล่อยให้นายก้องเกียรติงงว่าทำไมคุณอิศรินทร์คนเก่งถึงนึกวิธีคิดข้อนี้ไม่ได้ พอเห็นท่าทีโนสนโนแคร์ของเขา กอริลลาก้องก็ปิ๊งขึ้นมาในหัว ผมเข้าใจแล้วว่าหมอกำลังจะบอกอะไร

     

    เขากำลังบอกว่าแม้แต่พี่อู๋ที่เก่งที่สุดในโลกของผม ก็ยังมีเรื่องที่ไม่ถนัดเหมือนกัน

     

    แต่ถึงจะไม่เก่งคณิตศาสตร์ พี่อู๋ก็ไม่ได้สนใจ เขายังคงเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานในบริษัทญี่ปุ่นตามความถนัดของตัวเอง เขาสามารถหาเงินได้เป็นแสนโดยไม่จำเป็นต้องท่องสูตรคูณได้ เห็นไหม? คุณอิศรินทร์ผู้เป็นเทพมาเกิดของนายก้องเกียรติก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกด้านเหมือนกัน

     

    แต่พอสงสัยว่าหมอรู้ได้ยังไงว่าพี่อู๋โง่เลข ผมก็ถึงบางอ้อ คราวก่อนผมเป็นคนบ่นให้เขาฟังเองว่าผู้ปกครองคิดเลขไม่เก่งขนาดไหน ทั้งเรื่องประกอบตู้ เรื่องคำนวณเลขง่ายๆเพื่อปูกระเบื้องพี่อู๋ยังทำไม่ได้ ว้าว – ถ้าสิ่งที่ผมเชื่อมโยงคือเรื่องจริง หมอก็สุดยอดไปเลย เขาไม่จำเป็นต้องพูดยาวเหยียดว่าคนเราล้วนมีมุมที่ไม่ถนัดด้วยกันทั้งนั้น แค่เอาโจทย์เลขให้พี่อู๋ทำ นายก้องเกียรติก็เข้าใจทั้งหมดโดยไม่ต้องฟังคำอธิบาย พอคิดแบบนี้ได้ผมก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยเด็กในปกครองที่วันๆไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรก็มีสิ่งที่ทำได้ดีกว่าพี่อู๋ ถึงผมจะพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ผมท่องสูตรคูณแม่สิบเอ็ดได้ ในขณะที่พี่อู๋คิดเลขไม่ได้ เขาก็มีพรสวรรค์ด้านภาษาที่โดดเด่นจนไม่จำเป็นต้องสนใจคณิตศาสตร์ด้วยซ้ำ

     

    “เป็นอะไร? นั่งทำหน้าว้าวอยู่คนเดียว”

    “ผมเพิ่งเข้าใจเมื่อกี๊เองว่าหมอพยายามบอกอะไร” ผมคุยกับผู้ปกครอง “ผมไม่ต้องเก่งทุกวิชาก็รวยเหมือนพี่ได้”

    “ไม่ใช่ม้าง”

    “ใช่สิครับ ต้องใช่แน่ๆ” ผมยืนยัน “แต่ – แต่กว่าจะรวยแบบพี่ ก็ต้องสอบเข้ามหาลัยก่อนนี่หว่า”

    “กลับมาดราม่าอีกละ” พี่อู๋ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “พี่เคยบอกว่ายังไง? ไม่ถนัดวิชาอะไรก็ตัดคณะนั้นทิ้ง ก้องไม่ถนัดเคมีใช่ไหม? ตัดหมอ ตัดเภสัช ตัดสายสุขภาพ --”

    “แต่ผมยังรู้สึกดีกับชีวะนะ”

     

    พี่อู๋ดูสับสนกว่าเด็กอายุสิบแปดอย่างผมอีก เขานวดขมับอยู่หลายครั้งระหว่างติดไฟแดง การปักธงว่าจะเรียนคณะอะไรนี่เป็นเรื่องยากจริงๆ วิชานั้นผมก็ชอบ วิชานี้ก็พอทำได้ ผมเกลียดเคมีแต่ยังมีเยื่อใยให้ชีวะ ถ้าจะต้องตัดสายสุขภาพก็คงเสียดายแย่ แต่ที่แน่ๆคือคัดเภสัชทิ้งไปได้เลย ผมคงใช้ชีวิตอยู่กับเคมีตลอดหกปีไม่ไหว น่าจะตายก่อน

     

    “ตอนเด็กๆก้องอยากเป็นอะไร?”

    “อยากเป็นทหารครับ”

    “ขีดทิ้ง ไม่ให้เป็น” พี่อู๋ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย “อาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องเสี่ยงตายอ่ะ”

    “มันก็เสี่ยงทุกอาชีพทั้งนั้นแหละ ขนาดแม่ค้าขายข้าวแกงยังเสี่ยงแก๊สระเบิดเลย”

    “ก็เลือกที่มันเสี่ยงน้อยๆหน่อย อืม – ครู ดีไหม? อยากเป็นครูไหม?”

    “ผมสอนใครไม่เป็นอ่ะ”

    “เพราะงั้นมันถึงมีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ไง” เขาบอก “ไหนนึกอีกสิว่าประเทศนี้มีอาชีพอะไรบ้าง?”

    “ผมนึกอาชีพไม่ออก แต่นึกคณะออกครับ มีบริหาร บัญชี --”

    “เออ เข้าท่า”

    “นายกรัฐมนตรี --”

    “เริ่มเพ้อเจ้อละ” พี่อู๋หัวเราะ

    “แล้วก็มีนิติศาสตร์ หรือผมจะเรียนกฎหมายดีครับ? ต่อไปถ้าพี่ทำงานแล้วเจอบริษัทเอาเปรียบอีก ผมจะฟ้องให้เหี้ยนเลย”

     

    พี่อู๋หัวเราะก่อนจะบอกว่าบริษัทใหญ่ๆไม่มีทางพลาดหรอก พวกนี้ศึกษากฎหมายในบ้านเรามาดี น้อยมากที่จะปล่อยช่องโหว่ให้ได้ฟ้อง แต่ถ้าก้องสนใจกฎหมายจริงๆก็บอกพี่ได้ พี่มีเพื่อนคนนึงเรียนนิติรามฯ ตอนนี้ก็แฮปปี้ดี มีงานเข้าเรื่อยๆ เผื่อก้องอยากรู้อะไร พี่จะถามให้

     

    “ขอบคุณครับ”

     

    ผมบอกผู้ปกครอง เราเงียบใส่กันอยู่ครู่หนึ่งก่อนผมจะถามเขาว่าคุยอะไรกับหมอบ้าง พี่อู๋ไม่ได้ลงรายละเอียดทั้งหมด เขาเล่าแค่ว่าหมออยากให้พี่อู๋ช่วยสังเกตอาการกอริลลาก้องเท่านั้น พูดถึงตรงนี้เราก็เงียบอีก ผมรู้สึกว่ายังมีบางอย่างยังค้างคาใจจึงรีบใช้โอกาสนี้เพื่อขอโทษพี่อู๋ที่ตะคอกใส่เขาเมื่อวาน ขอโทษที่พูดคำหยาบ ต่อไปผมจะไม่ทำนิสัยเสียแบบนี้กับพี่อีกแล้วครับ

     

    “ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก” พี่อู๋บอก “แต่ก้องรู้ใช่ไหมว่าพี่โอเคกับทุกอย่างที่ก้องเลือก ก้องจะเรียนอะไรก็ได้ จะเรียนมหาลัยไหนก็ได้ ถ้ามันเหนื่อย มันไม่ไหวจริงๆจะเรียนรามฯก็ได้ พี่ไม่ว่าหรอก พี่จะส่งให้เรียนเหมือนเดิม”

    “พี่ดีกับผมมากๆจนผมรู้สึกผิดเลยอ่ะ” ผมน้ำตาซึม “พี่รู้ไหม พี่มีบุญคุณกับผมยิ่งกว่าพ่ออีก ผมโคตรรักพี่เลย”

    “มาพ่อเพ่ออะไร ใครพ่อเอ็งวะ?”

     

    พี่อู๋เบ้หน้า เขาคงเขินกับคำว่าพ่อที่นายก้องเกียรติเรียกแน่ๆเพราะมุมปากของเขาแอบยกยิ้มหน่อยๆ เราสองคนไม่ได้คุยเรื่องอะไรต่อนอกจากนั่งฟังเพลงจนถึงบ้าน ที่ผมไม่ชวนพี่อู๋คุยเพราะกำลังคิดว่าหลังจากนี้ควรวางแผนกับตารางเรียนพิเศษที่ขาดตอนยังไงดี ส่วนคุณอิศรินทร์เงียบเพราะมีเรื่องให้ครุ่นคิด ท่าทางคงเป็นเรื่องใหญ่น่าดู เพราะใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงแค่ความกังวลเท่านั้น


                                                                       



                                                                    TBC


                                                           _______________


                                                    #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in