เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
Miserable Expectation
  • 27


     

    มัมมี่ก้องกลับมาแล้วครับ!

     

    หลังจากหายไปอยู่ในป่ามะพร้าวกับผู้ปกครอง ในที่สุดมัมมี่ก้องก็ได้กลับมาอยู่ลาดพร้าวอีกครั้ง ภารกิจแรกที่พวกเราต้องทำคือจัดการเอกสารที่ไหม้ไปกับบ้านเมื่อปีก่อน อาทิตย์แรกที่มาถึง ผมกับคุณอิศรินทร์ออกเดินสายสถานที่ราชการแทบทุกวัน นอกจากโรงพักและหน่วยงานต่างๆแล้ว ผมยังต้องกลับไปโรงเรียนสมัยมัธยมเพื่อขอใบจบและเกรดด้วย

     

    ตอนที่นายก้องเกียรติปรากฏตัวครั้งแรก คุณครูต่างตื่นเต้นตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นผมอีกครั้ง หลายท่านถามถึงมหาวิทยาลัยก่อนความเป็นไปของลูกศิษย์เสียอีก ผมรู้สึกอายทุกครั้งเมื่อบอกพวกท่านว่า ยังไม่มีที่เรียนครับ แต่ยังดีที่ไม่ต้องขยายความว่าทำไม ทั้งเรื่องแม่ที่ตายในวันสอบโอเน็ตและข่าวไฟไหม้บ้านคงรู้กันทั่วโรงเรียนหมดแล้ว

     

    “ก้องเกียรติ เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม?”

     

    คุณครูปริตตาที่สอนภาษาอังกฤษตอนมอปลายถามขึ้น ผมยกมือไหว้คุณครูก่อนจะตอบว่าสบายดีครับ ท่านจึงถามอีกว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน อยู่กับใคร มีญาติมารับไปเลี้ยงดูหรือเปล่า ผมตอบคุณครูปริตตาว่าไม่มีครับ ผมไม่เหลือใครแล้ว แต่มีผู้ชายคนนึงรับเลี้ยงผมไว้ เขาชื่ออิศรินทร์ เป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทญี่ปุ่น

     

    “ไปเจอกันได้ยังไงเหรอ?”

     

    คุณครูถามอีก ผมอึกอักไม่กล้าเล่าถึงเรื่องสะพานก็เลยบอกว่าพี่อู๋เป็นคนใจดีที่ไปเยี่ยมญาติในโรงพยาบาล เราก็เลยบังเอิญเจอกัน เขาได้ยินเรื่องของผมจากเพื่อนบ้านก็เลยรับผมไว้เป็นเด็กในอุปการะ คุณครูปริตตาอมยิ้ม ท่านบอกว่าดีแล้วล่ะที่ยังมีคนเมตตา ก้องเกียรติก็ต้องเป็นเด็กดีอย่าทำให้เขาลำบากใจนะ เขาจะได้เอ็นดูเราไปนานๆ

     

    “เรื่องมหาลัยล่ะว่ายังไง? จะเรียนต่อไหม?”

     

    ผมบอกคุณครูว่าเรียนแน่นอนครับ คุณอิศรินทร์คนนี้แหละที่เอ่ยปากให้ยืมเงินเรียนหนังสือ คุณครูปริตตาดูชอบอกชอบใจใหญ่ ท่านบอกให้ผมพยายามต่อไป ก้องเกียรติเป็นคนเก่ง เป็นเด็กขยัน ก้องเกียรติทำได้อยู่แล้ว ขาดเหลืออะไรก็ติดต่อครูมานะ เผื่อมีเรื่องที่พอช่วยได้ ครูจะช่วย

     

    ผมยกมือไหว้ขอบคุณคุณครูที่ใจดีและถามถึงชีวิตของผมก่อนชื่อมหาวิทยาลัยแล้วขอตัวกลับ ผมใช้เวลาทำธุระในโรงเรียนแค่ชั่วโมงกว่าๆก่อนจะเดินไปขึ้นรถวีออสที่จอดหลับเงาใต้ต้นมะขาม พี่อู๋สวมแว่นกันแดดมองมัมมี่ก้องแล้วถามว่าเป็นไงบ้าง ได้เอกสารครบหรือยัง

     

    “ครบครับ”

     

    ผมตอบและเก็บแฟ้มของสำคัญใส่ไว้ในกระเป๋า เราแวะหาร้านข้าวอร่อยๆกินก่อนจะกลับลาดพร้าว เย็นวันนี้หลังตัดไหมที่คาง ผมจะต้องวางแผนตารางเรียนพิเศษ สมาร์ทบอกว่าวิชาที่ควรเรียนคือวิชาคำนวณเช่นคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี วิชาท่องจำอย่างภาษาไทย สังคม และชีววิทยาค่อยอ่านจากชีทเก่าๆของเขาหรือซื้อหนังสืออ่านเองก็ได้ ส่วนภาษาอังกฤษพี่อู๋สอน –

     

    “เอ๋ – อ๋าเร๋ – มุริดะโย๋ว --” (เอ๋ อะไรนะ ไม่ไหวหรอกมั้ง)

     

    พี่อู๋ว่ามาแบบนั้น ผมก็เลยต้องหาคอร์สภาษาอังกฤษเป็นทางเลือกหนึ่ง ตอนนี้วิชาหลักที่ต้องจ่ายเงินเรียนแน่ๆมีสามวิชา ราคาค่าเรียนเกือบสองหมื่นบาท พอคำนวณออกมาเป็นตัวเลขแล้วผมถึงกับเหงื่อตก ไม่อยากเรียนพิเศษให้เปลืองเลยจริงๆ

     

    “ก็ลองยืนดูโจทย์จากแนวข้อสอบในร้านหนังสือสิ” สมาร์ทแนะนำ “วิชาไหนพอทำได้ก็ไม่ต้องเรียน แต่ถ้าอยากได้มหาลัยดีๆ คณะดังๆนะ เรียนเถอะ การสอบเข้าไม่ได้แข่งกับตัวเอง แต่ต้องแข่งกับคนอีกเป็นแสน หรือจะเถียงว่าไม่จริง?”

     

    ก็จริง

     

    การสอบเข้าต้องแข่งกับเพื่อนร่วมรุ่นอีกเป็นแสนเพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้รับเด็กทุกคนที่คะแนนผ่านเกณฑ์ แต่ยังจำกัดจำนวนเด็กที่จะได้เข้าเรียนด้วย ดังนั้นต่อให้คะแนนของผมจะออกมาเป็นที่น่าพอใจแค่ไหน ถ้ามันน้อยกว่าคนอื่นๆ ผมก็หมดสิทธิ์เหมือนกัน

     

    ในสงครามนี้มีแค่ผู้แพ้และผู้ชนะ

     

    คำพูดของสมาร์ทติดค้างในหัวชนิดที่สะบัดยังไงก็ไม่หลุด

     

    ก้องต้องเลือกแล้วว่าจะสู้ตายหรือจะเลื่อนๆลอยๆจนไม่ประสบความสำเร็จอะไรอีกเลย

     

     

     

    มัมมี่ก้องเกียรติจากไปแล้ว เหลือกอริลลาก้องใจสู้ที่พร้อมลุยทุกอย่างเท่านั้น

     

    ครั้งล่าสุดที่ไปหาหมอที่สองวันก่อนเริ่มเรียนพิเศษ การพบกันครั้งนี้ใช้เวลาแค่สิบนาที มันเร็วจนพี่อู๋ประหลาดใจเมื่อเห็นกอริลลาก้องเดินออกจากห้องตรวจด้วยท่าทางมั่นใจมากกว่าเดิม ผมบอกพี่อู๋ว่าหมอจะจ่ายยาให้สามเดือนเพราะรู้ว่าผมคงไม่ว่างมาหาตามนัดเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้าหากมีไม่สบายใจก็กลับมาได้เสมอ อย่ารอ อย่าปล่อยให้ตัวเองย้อนกลับไปอยู่จุดเดิมโดยไม่มาพบหมอ

     

    “เก่งมากก้อง”

     

    พี่อู๋พูดขณะขับรถกลับลาดพร้าว วันนี้เราจะซ้อมเดินทางไปเรียนพิเศษด้วยรถไฟฟ้ากัน เพราะอีกไม่กี่วันคุณอิศรินทร์คงไม่ว่างรับส่ง เขากำลังจะเริ่มหางาน ผมจำสถานีและประตูทางออกจนขึ้นใจ นั่งเอ็มอาร์ทีไปสถานีจตุจักรเพื่อต่อบีทีเอสหมอชิตแล้วนั่งยาวจนถึงพญาไท หลังจากนั้นก็เดินย้อนไปทางสี่แยก ข้ามถนนที่มีนักเรียนประมาณครึ่งร้อยยืนเบียดกันริมฟุตปาธ สีหน้าของพี่อู๋ดูโคตรเซ็งเมื่อโดนเด็กมัธยมเบียดเสียดแย่งกันข้ามถนน พอเข้าตึกวรรณสรณ์ก็ยังเจอเด็กต่อคิวรอใช้ลิฟต์อีกเป็นร้อย เขาส่ายหัวเซ็งๆก่อนจะบ่นให้ผมได้ยินว่าเด็กตัวแค่นี้ทำไมไม่เอาเวลาไปเล่น มาเรียนพิเศษกันทำไม

     

    “พี่พูดเหมือนผมไม่ได้เรียนงั้นแหละ”

     

    ผมว่าเขาขณะใช้บันไดเลื่อนขึ้นไปชั้นสิบสี่เพื่อรับหนังสือเรียน พอรับเสร็จก็ต้องข้ามไปอีกฝั่งเพื่อรับหนังสือเรียนวิชาคณิตกับฟิสิกส์ ผมได้หนังสือกลับห้องเยอะมาก ทันทีที่ถึงลาดพร้าว ผมก็นั่งเปิดอ่านล่วงหน้าด้วยความตื่นเต้น ผมเคยเรียนกวดวิชาบ้างสมัยที่แม่ยังอยู่ แต่ไม่เคยเรียนที่พญาไทมาก่อน พอได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ ไฟในใจก็ยิ่งลุกโชน ถ้ากำดาบไปรบแล้วเข้ามหาลัยได้ ผมคงทำไปแล้ว

     

    ตกเย็นวันนั้นพี่อู๋พาผมไปซื้อโคมไฟอ่านหนังสือที่ออฟฟิศเมท เขาจริงจังกับการสร้างบรรยากาศเพื่อให้ผมอยากอ่านหนังสือมากจนยอมซื้อโต๊ะใหม่ไปวางในห้องนอนเล็ก ผมบอกพี่อู๋ว่าไม่เห็นจำเป็นเลยเพราะยังไงโต๊ะกินข้าวก็มีอยู่แล้ว แต่เขายืนยันว่าอ่านหนังสือที่โต๊ะกินข้าวไม่มีสมาธิหรอก เดี๋ยวเสียงไอ้นั่นเสียงไอ้นี่ ไหนจะทีวี ไหนจะโซฟาอีก ผมควรมีห้องอ่านหนังสือของตัวเอง ควรมีเครื่องเขียน มีสมุดจดและชั้นวางของ ผมถามคุณอิศรินทร์ว่าจะซื้อให้เปลืองทำไม ยังไงผมก็ใช้แค่ปีเดียว ไม่ได้อยู่กับพี่ตลอดไปเสียหน่อย

     

    “ใจคอสอบติดแล้วจะไม่กลับมาอยู่กับพี่บ้างเหรอ?” ผมนึก เออว่ะ สอบติดมหาลัยไม่ได้แปลว่าผมต้องไปจากเขานี่นา “อีกอย่าง พี่ก็ต้องมีห้องทำงานเหมือนกัน ไว้เราแชร์ห้องด้วยกันก็ได้”

     

    หลังซื้อของเสร็จเราก็ขับรถกลับลาดพร้าว ห้องนอนเล็กนั้นไม่กว้างพอที่จะวางโต๊ะหนังสือได้ก็เลยต้องย้ายไปห้องนอนใหญ่ พี่อู๋บอกผมว่าไม่ต้องกังวล ถ้านายก้องเกียรติอ่านหนังสือเขาจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวาย เขาจะรอข้างนอกจนกว่าผมจะอ่านเสร็จแล้วค่อยเข้านอนพร้อมกัน

     

    “พี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”

     

    ผมบอกขณะมองโต๊ะอ่านหนังสือตัวใหญ่ที่วางตรงปลายเตียง ข้างๆมีชั้นหนังสือโครงเหล็กสำหรับเก็บชีทเรียนพิเศษ มีโคมไฟดวงใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ มีกล่องใส่ปากกา กระดาษโพสอิทสีแสบตาวางอยู่ในลิ้นชักเล็กๆ พี่อู๋ลงทุนกับการเรียนของนายก้องเกียรติมากเกินไป ผมว่ามันฟุ่มเฟือย แต่คุณอิศรินทร์ยืนยันว่าผมจำเป็นต้องมีห้องอ่านหนังสือจริงๆ แล้ววันหนึ่งผมจะขอบคุณเขาที่ลงทุนซื้ออุปกรณ์การเรียนให้ เขามั่นใจว่าต้องมีวันนั้น

     

    เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมก็วางกรอบรูปของแม่ไว้ตรงขอบโต๊ะติดผนัง วางกล่องดนตรีสนู้ปปี้ที่พี่อู๋ซื้อให้ ข้างๆมีแจกันใส่กุหลาบเหี่ยวๆที่ได้เป็นของขวัญวันเกิด ของพวกนี้คือกำลังใจชั้นดีที่ทำให้ผมอยากขยันเรียน ผมมีรูปถ่ายของแม่ มีของที่ได้จากพี่อู๋ ตัวแทนของผู้มีพระคุณทั้งสองวางอยู่ตรงหน้าแล้ว ต่อไปผมจะตั้งใจเรียนเต็มที่เลยครับ

     

     

     

    หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ผมเพิ่งเข้าใจว่าทำไมสมาร์ทถึงบอกว่าให้ไปเรียนที่พญาไท นอกจากตึกวรรณสรณ์จะมีทุกอย่างครบครัน มีสถาบันกวดวิชาครบทุกแขนงแล้ว ที่นี่ยังมีบรรยากาศคุกรุ่นของเด็กเรียนด้วย

     

    ทุกเช้าผมจะเห็นเด็กที่อายุใกล้เคียงกันคาบแซนด์วิชไว้ในปาก พวกเขาจะรีบวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อเข้าให้ทันชั้นเรียนและทำอะไรด้วยความเร่งรีบเสมอ สมาร์ทบอกว่าถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เราจะกระตือรือร้นตามพวกเขาไปด้วย โดยเฉพาะเวลามีการบ้าน ข้อไหนทำไม่ได้หรือทำไม่ทัน ถ้าเห็นว่าคนข้างๆคิดออก ผมจะรู้สึกกดดันทุกครั้งไป

     

    “ถูกค่ะ ถูกค่ะ ถูกค่ะ”

     

    ผมกดดินสอแกรกๆเมื่อได้ยินเสียงติวเตอร์พูดว่าถูกค่ะอยู่หลายหน เด็กห้องส่งนี่หัวดีกันเหลือเกิน โจทย์เคมียากขนาดนี้ทำไมถึงคิดออกในเวลาไม่ถึงนาที ทั้งๆที่ผมเองก็ตั้งใจเรียนมาตลอดแต่คิดไม่เร็วเท่าพวกเขา บางครั้งก็ทำผิด บางครั้งก็ใช้เวลานาน ส่วนใหญ่แล้วผมสู้ผู้หญิงคนข้างๆไม่ได้เลย เธอมักจะจรดมากกาไม่ถึงครึ่งนาที เสร็จแล้วก็นั่งกอดอกรอติวเตอร์เฉลย ส่วนกอริลลาก้องได้แต่หน้ามุ่ยเพราะคิดไม่ออก ผมเข้าใจเนื้อหาโดยคร่าวๆของวิชานี้นะ แต่เจอโจทย์ประยุกต์เข้าไปกลับจนมุม นึกวิธีหาคำตอบไม่ได้เลย

     

    “ถูกค่ะ” เสียงติวเตอร์ดังขึ้นอีก ผมเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว “ถูกค่ะ --”

     

    สัปดาห์แรกของการเรียน นายก้องเกียรติยังทำเป็นใจสู้ ต่อให้ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร ผมจะตั้งใจฟังเฉลยและคอยจดรายละเอียดเสมอ แต่พอความไม่เข้าใจสะสมไปเรื่อยๆ จบบทนี้แล้วยังไม่เคลียร์ ขึ้นบทใหม่ก็มึนๆจำผิดๆถูกๆ ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น มันเริ่มจากผมตามบทเรียนไม่ทัน ในขณะที่ผู้หญิงใส่แว่นข้างๆทำโจทย์ได้เร็วมากจนน่ากลัว เธอดูสบายๆผิดกับนายก้องเกียรติที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เคยคิดออกซักข้อ การบ้านก็ทำไม่ได้ เนื้อหาก็จำไม่แม่น สุดท้ายผมหลุดและปล่อยเบลอเหลือแค่กายหยาบที่เข้าเรียน ชั่วโมงติวกลายเป็นเวลาที่น่าเบื่ออันไม่มีที่สิ้นสุด ผมเบื่อ ผมเซ็ง ผมง่วง ผมสับปะหงกตอนเรียนจนถูกเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาปลุกหลายรอบ ผมอายทุกครั้งเพราะรู้สึกเหมือนเป็นแกะดำที่ไม่ตั้งใจเรียนในห้องนี้ นอกจากจะคิดไม่ออกแล้ว ยังกล้าหลับในห้องทั้งๆที่คนอื่นตั้งใจเรียนขนาดนี้ได้ยังไง

     

    สัปดาห์ที่สองของการเรียน ผมเริ่มอดนอนเพื่อทำการบ้านให้เสร็จ วันนึงผมเรียนสามวิชา แต่ละวิชาก็มีการบ้านให้กลับมาหัดทำทั้งนั้น วิชาที่น่ารักสำหรับผมคือคณิตศาสตร์ รองลงมาคือฟิสิกส์ ส่วนเคมีไม่น่ารักกับผมเลย ไม่ว่าจะพยายามทำความเข้าใจหรือทบทวนโจทย์แค่ไหนมันก็ไม่เข้าหัว ผมไม่เข้าใจ งง และสับสนว่าอะไรคืออะไร ผมตามเนื้อหาไม่ทันและได้แต่มานั่งงมต่อเองที่บ้านแบบงูๆปลาๆ ผมชักสงสารพี่อู๋ที่จ่ายเงินให้นายก้องเกียรติเรียนพิเศษแล้ว เขาไม่น่าส่งผมเรียนเลย ขนาดจ่ายคอร์สละหลายพัน ผมยังไปได้ไม่ถึงไหนเลย

     

     สัปดาห์ที่สาม ผมลดเวลานอนของตัวเองจนเหลือวันละสี่ชั่วโมงเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนตั้งแต่ชั่วโมงแรก ทั้งคณิต ฟิสิกส์ และเคมีเป็นวิชาที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากสำหรับเด็กหัวกลางๆระดับผม แต่ไม่ว่าจะพยายามทบทวนแค่ไหน อาการได้หน้าลืมหลังก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ บางวันผมเรียนบทนี้เข้าใจ แต่พอเลิกเรียนกลับจำอะไรไม่ได้แม้กระทั่งโจทย์ที่เพิ่งทำไปเมื่อซักครู่ เดี๋ยวนี้เวลาทำโจทย์ในห้อง ผมไม่เคยคิดออกเลย จากที่คิดได้บ้างไม่ได้บ้างกลายเป็นนั่งเฉยๆ บางทีก็หลับจนเจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาปลุก ผมพยายามหาวิธีแก้ไขให้ตัวเองหลุดพ้นจากภาวะนี้แล้วแต่ทำยังไงก็ไม่ได้ ผมดื่มกาแฟ กินเครื่องดื่มชูกำลังจนหัวใจเต้นเร็วตุบตับ แต่สุดท้ายผมก็ยังหลับเหมือนเดิม หลับจริงจังชนิดที่พี่เจ้าหน้าที่เอ่ยปากแซวทุกวัน

     

    “เป็นไงบ้างก้อง เรียนรู้เรื่องไหม?”

     

    พี่อู๋ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวถามเมื่อนายก้องเกียรติเปิดประตูบ้าน ผมยิ้มแล้วโกหกว่าเข้าใจครับก่อนจะปลีกตัวไปทบทวนบทเรียนในห้องนอนใหญ่ ตอนนี้ผมรู้สึกขอบคุณพี่อู๋จริงๆที่สร้างโต๊ะอ่านหนังสือให้ เพราะถ้าอ่านที่โต๊ะกินข้าว เขาต้องรู้แน่ว่านายก้องเกียรติคว้าน้ำเหลวกลับบ้านมาเกือบเดือนแล้ว

     

    กิจวัตรประจำวันของผม หลังกลับถึงห้องจะกินข้าวอาบน้ำก่อนอ่านหนังสือในห้อง พี่อู๋นั่งข้างนอกก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง ความเครียด ความผิดหวังในตัวเองมันทับถมจนทุกอย่างพังหมด ผมไม่มีสมาธิที่จะเรียนแล้ว พอกลับบ้านมาอ่านหนังสือก็จำไม่ได้ว่าโจทย์ข้อนี้ได้คำตอบแบบนี้เพราะอะไร ใช้วิธีไหน ทฤษฎีไหน ผมจำอะไรไม่ได้เลยเพราะหลับในเวลาเรียน ลายมือยึกยือที่จดในหนังสือก็ไก่เขี่ยจนอ่านไม่ออก สุดท้ายผมนั่งร้องไห้คนเดียวเพราะคิดโจทย์ไม่ได้ ผมร้องอยู่แบบนี้เป็นอาทิตย์ ร้องเสร็จ ปิดหนังสือ หนีความจริงด้วยการเข้านอนแล้วตื่นแต่เช้าเพื่อไปเรียนใหม่ พอผ่านไปนานเข้า ความมุ่งมั่นในตอนแรกก็เหือดหายจนเหลือแต่ความกล้ำกลืนฝืนใจกลายเป็นไม่อยากเรียนหนังสือ ผมไม่อยากอ่าน ไม่อยากทำโจทย์ ไม่อยากได้ยินเสียงถูกค่ะและหน้าของผู้หญิงที่นั่งข้างๆอีกแล้ว ผมมันไม่เก่งพอที่จะอยู่ในสนามนี้ ลาก่อนเพื่อนๆ ตัดนายก้องเกียรติออกจากรายชื่อคู่แข่งได้เลย มันไม่มีวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหนได้หรอก

     

    หนึ่งเดือนผ่านไป การอดนอนส่งผลให้ผมเป็นเหมือนร่างไร้วิญญาณ

     

    ผมยังคงตื่นเช้าไปเรียนเหมือนเดิม กินแค่แซนด์วิชเป็นมื้อเช้าและมื้อเที่ยง ตกเย็นก็แออัดเบียดเสียดกับมนุษย์เงินเดือนเพื่อขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน การไปเรียนพิเศษเหมือนการถูกส่งไปทรมาน ผมนอนน้อยจนเพลีย เรียนติดกันจนไม่มีเวลากินข้าวเลยซักจาน แถมสมองก็ตื้อตันไม่รับเนื้อหาใหม่ๆเข้ามาอีก ทุกวันนี้ผมเหมือนซอมบี้มากกว่านักเรียนเตรียมสอบ ผมนั่งเหม่อในคาบวิชาเคมี หลับจนโดนปลุก และปล่อยให้หน้ากระดาษขาวโพลนเพราะไม่อยากจดอะไร แม้กระทั่งจับปากกาเพื่อวาดรูปฆ่าเวลา ผมยังไม่อยากทำ

     

    คุณอิศรินทร์ไม่รู้เรื่องนี้เลย พอกลับถึงบ้านผมจะทำเป็นร่าเริงและปลีกตัวไปอ่านหนังสือเงียบๆคนเดียวในห้องนอนใหญ่ พี่อู๋ไม่กล้าเข้ามากวนเพราะกลัวทำผมเสียสมาธิ เขาก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วไอ้โง่ก้องเกียรตินั่งร้องไห้ทุกวันเพราะทำโจทย์ไม่ได้ ทั้งๆที่แต่ละวันก็นอนน้อยเพราะพยายามอ่านหนังสืออยู่แล้ว พอมีความเครียด ผมยิ่งนอนหลับยากขึ้นกว่าเดิมอีก จากที่เคยนอนวันละห้าหกชั่วโมงก็ลดลงเรื่อยๆจนเหลือวันละสี่ชั่วโมง น้อยสุดคือสอง ผมเคยนอนวันละสองชั่วโมงติดกันเป็นสัปดาห์โดยไม่รู้เลยว่ามันส่งผลเสียต่อสุขภาพขนาดไหน

     

    วันหนึ่งขณะนั่งรถไฟฟ้าไปเรียนพิเศษ จู่ๆผมก็รู้สึกตัวเบาหวิวอยู่หลายหน ทีแรกผมคิดว่าเป็นเพราะง่วงเลยไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งหน้ามืดที่สถานีจตุจักร ครั้งแรกที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนคือตอนที่ล้มลงไปนั่งกับพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นผมคิดว่าเป็นเพราะลืมกินข้าวเช้าก็เลยไม่คิดมาก แต่อาการตัวเบาหวิวและใจสั่นยังคงมีมาเรื่อยๆ มันมาบ่อยขึ้นจนผมรู้สึกเหมือนไม่มีสติเวลาเดินไปไหนมาไหน

     

    ผมไม่เคยบอกพี่อู๋ เวลามีคนเข้ามาช่วยเหลือและถามว่ามีเบอร์โทรของผู้ปกครองไหม ผมจะบอกว่าไม่เป็นไรเสมอ ตอนนี้พี่อู๋กำลังยุ่งกับการสัมภาษณ์งาน ผมเห็นเข้าแต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าออกจากบ้านทุกวัน ลำพังแค่หางานก็เครียดจะแย่แล้ว ถ้ารู้ว่านายก้องเกียรติที่แบมือขอเงินเรียนพิเศษกลับไม่ได้อะไรเลยเหมือนที่เขาคิด พี่อู๋คงเสียใจ เขาต้องผิดหวังแน่ๆถ้ารู้ว่าผมกลายเป็นเด็กไม่เอาไหนแบบนี้

     

    “ไม่สบายหรือเปล่าคะ วันนี้หน้าซีดๆนะ”

     

    พี่เจ้าหน้าที่เตรียมจะเดินเข้ามาปลุก แต่พอเห็นผมนั่งก้มหน้า แสดงออกว่าไม่สบายตัวก็เปลี่ยนเป็นถามด้วยความเป็นห่วง ผมบอกเธอว่าไม่เป็นไร ผมแค่หิวข้าวเฉยๆ เลิกเรียนแล้วผมจะลงไปชั้นสองเพื่อกินข้าวเอง

     

    “ถ้าไม่ไหวหยุดก่อนก็ได้นะคะ ค่อยมาชดเชยวันหลัง”

     

    ผมยืนยันคำเดินว่าไม่เป็นไรครับและอดทนเรียนจนหมดเวลา หลังเลิกเรียนแทนที่จะไปกินข้าว ผมกลับรีบเข้าห้องน้ำเพื่อแอบร้องไห้เพราะเครียดและเกลียดตัวเองที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ทั้งๆที่ก่อนเรียนผมขยันและตื่นเต้นกับการเริ่มต้นใหม่ แต่พอเรียนแล้วไม่เป็นดั่งใจ ทุกอย่างที่คิดไว้ก็พังหมด มันพังถล่มไม่เป็นท่าจนความฝันของผมค่อยๆไกลห่างออกไป ขืนยังเป็นอย่างนี้อยู่คงไม่ไหวแน่ๆ ผมคงสอบเข้ามหาลัยไม่ได้เหมือนที่หวังไว้แน่ๆ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงผมควรทำยังไงดี ผมจะบอกพี่อู๋ยังไงว่าผมมันโง่ ผมมันไม่ดีเองที่เอาเงินของเขามาถลุงเล่น แต่สุดท้ายก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้

     

    ผมเก็บความเครียดไว้กับตัวแล้วกลับบ้าน น่าแปลกที่การเดินทางมันเหนื่อยกว่าวันไหนๆ แค่เดินขึ้นบันไดก็หน้ามืดจนมองไม่เห็นทาง แล้วผมต้องเดินแบบนี้อีกหลายกิโลกว่าจะถึงบ้าน ทั้งขึ้นรถไฟฟ้า ทั้งข้ามสะพานลอย แต่ผมก็กัดฟันลากสังขารกลับถึงห้องจนได้ ทันทีที่ไขประตูเข้าไป ผมก็เห็นคุณอิศรินทร์นั่งเล่นโน้ตบุ๊กอยู่

     

    “วันนี้กลับช้าจัง”

    “รถไฟฟ้าเสียครับ”

     

    ผมโกหกก่อนจะปลีกตัวเข้าห้องนอน แสร้งเก็บกระเป๋า เก็บหนังสือให้เข้าที่ก่อนจะออกมานั่งทานมื้อเย็นข้างนอก วันนี้พี่อู๋ซื้อราดหน้ายอดผักมาฝาก ผมฝืนกินจนหมดจานแล้วขอตัวไปอ่านหนังสือในห้องนอนใหญ่เหมือนเช่นทุกที

     

    “เหนื่อยก็พักบ้างนะก้อง”

     

    พี่อู๋พูด แต่ผมไม่ได้ทำตามคำแนะนำนั้น ผมยังคงฝืนถ่างตาอ่านหนังสือที่โต๊ะอีกหลายชั่วโมง พยายามทำความเข้าใจเนื้อหาที่เพิ่งเรียนวันนี้และวันอื่นๆจนถึงตีสอง พอรู้ตัวว่าฝืนต่อไปไม่ไหวจึงเดินออกจากห้องไปปลุกคุณอิศรินทร์ที่นอนอยู่บนโซฟา เห็นเขานอนงอขาแล้วไม่สบายใจเลย ผมสงสารเขาที่ยอมลำบากเพื่อให้ผมคว้าน้ำเหลว

     

    “ต่อไปพี่อู๋นอนในห้องก็ได้ ผมไม่เสียสมาธิหรอก”

     

    ผมบอกผู้ปกครอง แต่คุณอิศรินทร์ยืนยันว่าไม่เป็นไร คืนนั้นเราเข้านอนพร้อมกันตอนตีสองครึ่ง พี่อู๋หลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน ส่วนนายก้องเกียรตินอนคิดมากจนถึงตีห้า ได้หลับแค่ชั่วโมงกว่าๆก็ต้องลุกขึ้น เตรียมอาบน้ำแต่งตัว ไปเผชิญโลกที่มีแต่ความทรมานเหมือนทุกวัน

     

     

     

    ร่างกายส่งสัญญาณเตือนเรื่อยๆแต่ผมไม่เคยคิดสนใจ

     

    ผมยังคงไปเรียนโดยมีขนมปังหมูหยองตกถึงท้องแค่ชิ้นเดียว สายๆหน่อยก็กระดกน้ำเป็นขวดเพื่อให้ปวดฉี่จะได้หายง่วง ตกเที่ยงก็จัดมาม่าหนึ่งถ้วย จากนั้นก็วิ่งข้ามไปอีกฝั่งเพื่อเรียนเคมีต่อ ผมเคยชินกับความเร่งรีบที่ต้องทำเวลาไม่งั้นจะเข้าห้องเรียนไม่ทัน แต่วันนี้ร่างกายของผมประท้วงแล้ว มันไม่เหมือนเดิม มันไม่แข็งแรงจนทำให้แข้งขาของผมอ่อนแรง ในที่สุดระหว่างที่วิ่งเบียดเด็กอีกนับสิบเพื่อข้ามถนน ผมก็ล้มฟุบลงจนทำให้คนที่ข้างหลังสะดุดล้มไปตามๆกัน โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่โบกรถคอยดูแลรักษาความปลอดภัย ดังนั้นนายก้องเกียรติก็เลยรอดจากการถูกรถทับและได้นั่งพักบนเก้าอี้ในอาคาร

     

    “ไหวไหม? กินน้ำก่อนนะ”

     

    ผู้ปกครองที่อยู่บริเวณนั้นช่วยส่งน้ำส่งยาดมมาให้ ผมจิบน้ำเย็นๆและนั่งพักเพื่อให้ร่างกายกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้งแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเหมือนเดิม ผมเหนื่อยและหมดแรงเกินกว่าจะขอบคุณสำหรับน้ำจิตน้ำใจจึงทำได้แค่นั่งเฉยๆ พยายามหายใจเข้าออกโดยมีคนคอยพัดให้ตลอดเวลา

     

    “มีเบอร์แม่ไหม? เดี๋ยวป้าโทรบอกแม่ให้”

     

    ผมตอบคุณป้าผู้ใจดีไปว่าไม่มีครับ ผมไม่มีแม่แล้ว ผมมีผู้ปกครองอยู่คนนึงแต่อย่าโทรหาเขาเลย วันนี้เขาไปสมัครงาน ผมไม่อยากให้เขาเป็นห่วง ไม่อยากให้เขาต้องเสียงานเสียการมาหาผมที่พญาไท

     

    “แต่น้องไม่สบาย น้องต้องบอกให้ผู้ปกครองรู้นะ”

     

    เธอว่า คุณป้าอีกคนจึงพยักหน้ารับและคะยั้นคะยอให้ผมบอกเบอร์พี่อู๋ ในที่สุดความอ่อนเพลียหมดเรี่ยวแรงทำให้ผมส่งโทรศัพท์ให้พวกเขา ผมบอกคุณป้าว่าไม่ไหวแล้วครับ ช่วยบอกผู้ปกครองให้หน่อย เขาชื่อพี่อู๋ บอกเขาว่าผมท้องเสียจนหมดแรงก็ได้แต่อย่าบอกว่าเป็นลม

     

    คุณป้ากดโทรศัพท์ตัวเองโทรหาพี่อู๋ ผมได้ยินแว่วๆว่าเธอขอให้เขามารับเด็กในปกครองที่อาคารวรรณสรณ์หน่อย ดูเหมือนพี่อู๋จะงงๆไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอวางสาย เธอก็บอกว่าพี่อู๋กำลังมา เขาอยู่สุขุมวิท เขาน่าจะมาถึงในครึ่งชั่วโมง

     

    ระหว่างรอผู้ปกครองผมก็ได้จิบน้ำหวานที่มีคนใจดีซื้อให้ พวกเขาชวนผมคุยเรื่องทั่วๆไปก่อนจะคาดคะเนไปต่างๆนานาว่าทำไมนายก้องเกียรติถึงเป็นลม คุณป้าคนหนึ่งเดาว่าอากาศน่าจะร้อนเกินไป ส่วนอีกคนเดาว่าน่าจะเรียนติดกันจนไม่มีเวลาทานข้าว ส่วนคุณตาที่มารอรับหลานลงความเห็นว่าผมคงเรียนหนักเกินไป การศึกษาไทยนี่ไม่ดีเลย บีบบังคับเด็กให้กดดันตัวเองขนาดนี้ไปเพื่ออะไร

     

    ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เหล่าคนใจดีที่เคยช่วยผมเหลือเพียงคนเดียว คุณป้ายังคงนั่งเป็นเพื่อนและคอยส่งน้ำหวานให้จิบเป็นระยะๆ ตอนนี้ผมอาการดีขึ้นมากแล้ว ไม่เวียนหัว ไม่ตาลาย ไม่ตัวเบาหวิวเหมือนก่อนหน้า ผมคิดว่าผมไหวก็เลยขอตัวลาคุณป้าเพื่อไปเรียนเคมีต่อ แต่แกห้ามไว้ว่าอย่าไปเลย การเรียนสำคัญก็จริง แต่สุขภาพสำคัญกว่านะ ถ้าพี่อู๋รู้ว่าผมฝืนตัวเองก็คงไม่สบายใจเหมือนกัน ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากเห็นลูกป่วยหรอก

     

    “เขาไม่ใช่พ่อผมครับ” ผมตอบเสียงอ่อน “เขาเป็นผู้ปกครองเฉยๆ”

    “นั่นแหละ ผู้ปกครองก็เหมือนพ่อเหมือนแม่ เขาต้องห่วงเรามากกว่าการเรียนอยู่แล้ว”

     

    จังหวะที่คุณป้าจะพูดต่อ ผมก็เห็นพี่อู๋วิ่งหน้าตาตื่นมาหา เขาถามคุณป้าว่าผมเป็นอะไร เธอตอบทันทีว่าเป็นลม หมดกันที่เตี๊ยมไว้ว่าท้องเสีย ทำไมป้าลืมง่ายแบบนี้

     

    “เป็นลมตอนข้ามถนน โชคดีนะมียามคอยโบกรถเลยไม่เป็นไร”

     

    พอรู้ว่านายก้องเกียรติเป็นลม พี่อู๋ก็เก็บสีหน้าเก็บอาการไม่อยู่เลย เขาดูกระวนกระวายมากเมื่อรู้ว่าผมเป็นลมกลางถนน ก่อนจะพาผมกลับ เขาขอบคุณคุณป้าผู้ใจดีอีกหลายหน พี่อู๋ควักเงินจ่ายค่าน้ำหวานคืนให้แกด้วย แต่คุณป้าไม่รับ แกบอกว่าให้พาผมไปพักดีกว่า ขนาดเป็นลม ยังคิดจะกลับไปเรียนอีก

     

    “กลับบ้านเถอะก้อง ไม่ต้องเรียนแล้ว”

     

    น้ำเสียงของคุณอิศรินทร์เด็ดขาด เขาประคองผมให้เดินด้วยกันไปถึงลาดจอดรถก่อนจะเปิดประตูให้ ผมที่คิดว่าตัวเองดีขึ้นแล้วกลับขาสั่นอีกครั้ง พี่อู๋คงสังเกตเห็นอาการนี้เหมือนกันถึงได้เปลี่ยนปลายทางจากลาดพร้าวเป็นโรงพยาบาล

     

    “แต่ผมดีขึ้นแล้ว”

     

    ผมพยายามอธิบาย ซึ่งพี่อู๋ไม่ฟัง เขาไม่แสดงออกว่าโกรธที่นายก้องเกียรติขาดเรียนแต่ดูร้อนใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

     

    “พี่ไปสัมภาษณ์งานต่อเถอะครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ”

    “ก้องมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

    “เปล่าครับ” ผมตอบ “พี่ถามทำไม?”

    “มีอะไรก็บอกพี่สิก้อง ทำไมต้องเก็บไว้คนเดียว ก้องไม่ไว้ใจพี่เหรอ?”

     

    ประโยคนั้นของเขาทำเอานายก้องเกียรติบ่อน้ำตาแตก ผมร้องไห้ออกมาเงียบๆเพราะเสียใจที่ทุกอย่างไม่เป็นเหมือนที่คิดไว้ ผมเรียนไม่รู้เรื่อง ผมป่วย ผมไม่สบาย แถมยังทำให้พี่อู๋ต้องผิดนัดสัมภาษณ์เพื่อมาหาถึงพญาไทอีก ผมได้แต่ร้องเงียบๆไม่บอกผู้ปกครองเพราะช้ำใจ ร้องอยู่อย่างนั้นจนถึงโรงพยาบาล ร้องจนปวดหัว แม้แต่ตอนโดนเจาะน้ำเกลือ ผมยังนอนน้ำตาไหลไม่บอกความจริงให้พี่อู๋รู้ คุณอิศรินทร์ก็อดทนอย่างน่าเหลือเชื่อ แทนที่จะโมโหผมซักนิดกลับไม่ว่าอะไรเลย เขาพามาส่งถึงโรงพยาบาล รอจนให้น้ำเกลือเสร็จและรับยากลับบ้าน จากนั้นก็แวะกินเอ็มเค น้ำซุปร้อนๆทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะมาก พอมีอาหารตกถึงท้อง เรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมา ผมหยุดร้องไห้แล้วขอโทษพี่อู๋สำหรับความวุ่นวายในวันนี้อีกครั้ง

     

    “ขอโทษทำไม คนมันไม่สบาย” เขาพูดอย่างเข้าใจ “เรียนเป็นไงบ้าง? เหนื่อยไหม?”

     

    แค่คำว่าเหนื่อยไหมของเขากลับทำให้นายก้องเกียรติน้ำตาแตกอีกหน ผมพยักหน้ายอมรับตรงๆว่าเหนื่อยครับ เหนื่อยมากเลย มันเหนื่อยจริงๆ พี่รู้ไหมว่าผมเรียนสู้ใครไม่ได้เลย ที่นี่มีแต่เด็กเก่ง ผมไม่เก่งเท่าพวกเขา ต่อให้พยายามขนาดไหนก็สู้ผู้หญิงที่นั่งเรียนข้างๆไม่ได้ ผมรู้สึกแย่มากที่เงินของพี่สูญเปล่า ผมคิดว่าผมน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่มีอะไรดีเลยครับ

     

    “เรียนไม่รู้เรื่องก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ พี่เองก็เรียนไม่รู้เรื่องออกจะบ่อย ไม่เห็นเดือดร้อน”

     

    พี่อู๋ไม่โกรธเลย เขาไม่ตำหนิผมซักคำ

     

    “อาทิตย์นี้นอนพักก่อนดีกว่านะ ค่อยเริ่มใหม่อาทิตย์หน้า”

    “แต่ถ้าขาดเรียนจะเรียนต่อไม่รู้เรื่องนะครับ”

    “เรียนต่อไม่รู้เรื่อง ยังดีกว่าฝืนตัวเองไปเรียนหรือเปล่า? นี่ยังดีนะที่รถไม่ชน ถ้าคราวหน้าเป็นลมตอนขึ้นบันไดล่ะ? ถ้าหัวทิ่มตกรางรถไฟล่ะ? ตอนนั้นก้องจะเสียใจไหมที่ไม่นอนพักให้ตัวเองหายดี?”

     

    คุณอิศรินทร์ตั้งคำถาม แต่นายก้องเกียรติกลับไม่รักตัวกลัวตายเลย ใจของผมมีแต่หมกมุ่นกับการเรียนพิเศษ ผมคิดแค่ว่าต้องเรียนให้ครบ อย่าขาด อย่าหาย ต่อให้จะไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมใส่หัว อย่างน้อยๆถ้าจดลงหนังสือก็ยังเอากลับมาอ่านที่บ้านได้

     

    “ถ้ามันเหนื่อย มันเครียดมาก ก้องจะหยุดเรียนก่อนก็ได้”

    “พี่จ่ายเงินตั้งหลายหมื่น ผมจะยอมแพ้ตอนนี้ได้ยังไง”

    “ช่างมันสิ เสียเงินดีกว่าเสียก้องไปไม่ใช่เหรอ?”

     

    ผมเงียบ เพราะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา

     

    “ก้อง พักก่อนเถอะนะ พี่ไม่อยากเห็นก้องเป็นลมอีก”

    “ผมบอกพี่แล้วไงครับว่าที่เป็นลมเพราะลืมกินข้าว ผมแค่ลืมกินข้าว!”

     

    ผมขึ้นเสียงด้วยความโมโห พี่อู๋จะรู้ไหมว่าผมไม่ดีใจเลยที่เขาเป็นห่วงจนอยากให้หยุดเรียนพิเศษซักพัก ยิ่งหยุดผมยิ่งเครียดเพราะกลัวตามเพื่อนไม่ทัน เขาไม่รู้หรอกว่าเด็กรุ่นเดียวกันกับผมอ่านหนังสือไปถึงไหนแล้ว ถ้ามัวแต่นอนเหยาะแหยะอยู่บ้าน เมื่อไหร่จะยืนด้วยขาของตัวเองได้เสียที

     

    “พี่เลี้ยงก้องมาผิดจริงๆ”

     

    พี่อู๋พูดแค่นั้นและไม่ชวนนายก้องเกียรติทะเลาะอีก เขาก้มหน้าก้มตากินมื้อเย็นจนหมดก่อนจะจ่ายเงินแล้วขับรถพาผมกลับลาดพร้าว คืนนั้นเราต่างแยกย้ายกันหมกมุ่นอยู่ในโลกของตัวเอง พี่อู๋ทำงานที่โต๊ะกินข้าว ส่วนนายก้องเกียรติหนีไปร้องไห้คนเดียวในห้องเพราะเสียใจที่ผู้ปกครองพูดประโยคนั้นออกมา




    TBC


    _________________
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in