เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
You told me your name was Urassaya!
  • 18




     

    วันที่ 23 ธันวาคม

     

    ผมเกลียดที่ห้องของเราคับแคบจนไม่มีทางเดิน

     

    ต้นคริสต์มาสขวางอยู่กลางบ้าน แถมยังมีกล่องอิเกียและหนังสือสี่ร้อยกว่าเล่มวางซ้อนเป็นชั้นๆอีก ทุกอย่างดูแน่นจนผมอึดอัด พื้นที่ทางเดินเหลือน้อยนิดแทบต้องเขย่งปลายเท้า ดังนั้นหลังกินข้าวกินยาเสร็จ ผมจึงตัดสินใจอ่านคู่มือเพื่อลองประกอบด้วยตัวเอง

     

    พี่อู๋ตื่นนอนตอนเจ็ดโมงครึ่ง เขาเดินเกาหัวออกมาแล้วใช้เท้าเขี่ยหนังสือให้พ้นทาง ผมบอกผู้ปกครองว่าจะไม่ปล่อยให้ห้องเป็นกองขยะอีกต่อไป คุณอุรัสยาหัวเราะ เขาบอกเอาเลย ตามสบาย ก้องอยากทำอะไรก็ทำ พี่จะนอนให้กำลังใจบนโซฟา

     

    “สู้ๆนะก้อง”

     

    เขายิ้มเยาะ ส่วนผมได้แต่ถลึงตามอง ในเมื่อสถานการณ์บีบบังคับก็คงต้องงัดเอาความรู้สมัยมัธยมมาใช้ จริงๆคู่มือประกอบชั้นหนังสือไม่ได้ซับซ้อนเลย สิ่งที่ทำให้เราสับสนในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาคือการพลิกไม้ให้ตรงภาพ มันเหมือนกันเกินไป แยกไม่ออกว่าไหนหน้าไหนหลัง ผมจึงจัดแจงวางไม้เรียงตามขนาดจนพอเดาได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน หลังจากนั้นเอาก็เอาน็อตมาวางบนกระดาษเอสี่ที่เขียนตัวเลขกำกับเอาไว้ แล้วเริ่มประกอบด้วยตัวเอง

     

    “พี่อู๋ครับ ขอไขควงหน่อย”

     

    ผมบอกผู้ปกครอง คุณอุรัสยาลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดลิ้นชักหยิบให้ทันที พอเห็นทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง พี่อู๋จอมขี้เกียจก็เลิกนอนเปื่อยบนโซฟาและหันมาให้ความร่วมมือ เราช่วยกันดูคู่มือกันทีละขั้นตอน เถียงกันว่าใช่หน้านี้ไหม ตรงนี้ไหม น็อตตัวนี้ไหมอยู่เกือบชั่วโมง แต่นับว่าความพยายามนั้นคุ้มค่าเพราะเมื่อเวลาผ่านไปสามชั่วโมง เราก็ประกอบชั้นหนังสือได้แล้วหนึ่งหลัง

     

    “ตรงนี้มันโยกเยกว่ะก้อง” พี่อู๋เขย่าชั้นให้เห็นปัญหา “ขันใหม่ให้แน่นสิ”

     

    ช่างก้องทำตามคำขอ ผมใช้ไขควงขันตัวน็อตทุกตัวจนทุกชิ้นส่วนยึดติดกันแน่น พอเสร็จหนึ่งตู้ พี่อู๋ก็ร้องไชโย! ทั้งๆที่ไม่ได้ลงมือประกอบเท่าไหร่ เราช่วยกันลากตู้ไปวางชิดกำแพงติดทีวี ในคู่มือเขียนว่าจำเป็นต้องมีตัวยึดป้องกันตู้ล้ม ผมกับพี่อู๋มองหน้ากันทันที

     

    คนนึงเป็นล่ามมาครึ่งชีวิต อีกคนเป็นแค่เด็กมอปลาย ดูท่าแล้วไม่มีใครเคยจับสว่านซักคน ดังนั้นคนที่ต้องช่วยเราเจาะผนังจึงไม่ใช่ใคร นอกจากพี่ต่าย ช่างซ่อมประจำคอนโด

     

    “ระวังนะครับน้องอู๋ เจาะผนังแล้วฝุ่นจะฟุ้งนะ”

     

    พี่ต่ายเตือน ผมจึงเตรียมเครื่องดูดฝุ่นและผ้าชุบน้ำให้พร้อม เมื่อเจาะและยึดตู้ให้ติดกับผนังเสร็จ ผมก็รีบทำความสะอาดทันที ขณะที่พี่ต่ายเตรียมขอตัวกลับ เขาก็เหลือบเห็นชั้นหนังสือที่ยังอยู่ในกล่องอีกสองใบ

     

    “ให้ช่วยไหมครับ?” เขาถาม

    “ไม่เป็นไร --”

    “ขอบคุณครับ”

     

    ผมพูดแทรกพี่อู๋ เขาหน้าเหวอที่เราล้มเลิกแผนประกอบชั้นด้วยตัวเอง พี่ต่ายเก่งสมกับเป็นช่างจริงๆ เขาใช้เวลาประกอบแค่สามสิบนาที ในขณะที่เราใช้เวลาสามวันเพื่อให้ได้ตู้หนึ่งหลัง กระดูกคนละเบอร์ขนาดนี้ พี่อู๋ยังจะดื้อให้ผมประกอบเองอีก เขานี่ไม่เจียมสังขารเลย

     

     นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงสิบสามนาที

     

    ชั้นวางหนังสือสองหลังถูกยึดเข้ากับผนังเรียบร้อย ผมถอนหายใจเมื่อทุกอย่างจบสิ้นกันเสียที ต่อไปนี้ไม่ต้องใช้เท้าเขี่ยหนังสือให้พ้นทางแล้ว เหลือแค่แยกหมวดหมู่และจัดมันเข้าชั้น เท่านี้บ้านก็จะกลับมาเป็นบ้านอีกหน

     

    “ก้องไม่น่ารีบขอให้พี่ต่ายช่วยเลย” พี่อู๋บ่นงุ้งงิ้ง “จริงๆพี่ก็เข้าใจแล้วนะ ตู้หลังที่สองพี่ประกอบเองได้ เรื่องแค่นี้เอง”

     

    ไอ้ขี้โม้

     

    ผมส่ายหน้า ปล่อยให้พ่อขี้โม้คุยจ้อต่อไป

     

     

     

     

    วันที่ 24 ธันวาคม

     

    ผมและพี่อู๋มีนัดกับนักจิตบำบัด

     

    ราวกับผมมาที่นี่เพื่อเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟังเท่านั้น มันคือเรื่องเดิมๆ จบแบบเดิม ความหดหู่เดิมๆที่ต้องพูดซ้ำๆเป็นครั้งที่สามหรือสี่ ผมเคยคิดว่าการได้ระบายความอัดอั้นตันใจกับใครซักคนคงช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่เปล่าเลย ผมยังคงเหมือนเดิม เป็นนายก้องเกียรติที่ไม่มีที่ไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจัดการชีวิตตัวเองยังไงนอกจากเล่นสนุกไปวันๆ

     

    “ก็ดีแล้วนี่นา” นักจิตบำบัดพูดเมื่อผมเล่าเรื่องชั้นหนังสือของอิเกียให้เธอฟัง “ก้องบอกพี่เองว่าความสุขมากตอนที่ประกอบชั้นเสร็จ ทำไมไม่สบายใจล่ะ?”

    “ผมแค่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่” ผมถอนหายใจ รู้สึกเศร้าพิลึก “ผมไม่รู้ว่าพี่เข้าใจไหม มันไม่ใช่ความไม่สบายใจหรอก ผมกลัวต่างหาก”

    “กลัวอะไรเหรอ?”

    “กลัวว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มีความสุขอีกแล้ว”

     

    ผมบอกเธอ

     

    “กลัวว่าในอนาคต -- ผมจะยังเป็นแบบนี้ การใช้ชีวิตไปวันๆมันสนุกก็จริงแต่ผมมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโตไปต้องเรียนที่ไหน จบไปทำงานอะไร ใช้ชีวิตอยู่ยังไง ผมกลัวทุกครั้งที่นึกเรื่องสอบเพราะไม่ได้อ่านหนังสือมาหลายเดือนแล้ว ผมไม่ยอมเช็กว่าสทศ.เปิดโอกาสให้สอบหรือเปล่าเพราะกลัวทำได้ไม่ดี พี่ก็รู้ว่าโอเน็ตสอบได้แค่ครั้งเดียว ถ้าผมพลาด นั่นหมายถึงผมต้องล้มเหลวไปจนวันตายนะ”

    “ทำไมถึงคิดแบบนั้น? โอเน็ตสำคัญก็จริงแต่ยังมีคะแนนส่วนอื่นมาช่วยอีกไม่ใช่เหรอ?”

    “ครับ ผมรู้ -- แต่ตอนนี้สิ่งที่ชี้อนาคตผมได้คือคะแนนจากโอเน็ต ผมถอยไม่ได้แล้ว ย้อนกลับไปแก้เกรดก็ไม่ได้แล้ว ถ้าคะแนนโอเน็ตออกมาแย่ผมจะเข้ามหาลัยดังๆไม่ได้”

    “ทำไมต้องเป็นมหาลัยดังล่ะ?”

    “เพราะผม --”

     

    ผมอ้ำอึ้ง

     

    “ผมคิดว่าถ้าสอบมหาลัยดีๆไม่ได้ พี่อู๋ก็คงทิ้งผม”

    “เขาพูดเหรอ?”

    “ไม่ครับ ไม่พูด แค่เดา” ผมก้มมองมือของตัวเอง “ผมอยากทำให้เขาภูมิใจ อยากให้เขาบอกใครต่อใครว่าผมเป็นคนในครอบครัวของเขา เป็นเด็กที่เขาเลี้ยงจนได้ดี”

    “ก้องคิดว่าถ้าสอบมหาลัยดังๆไม่ได้ พี่อู๋จะไม่รักก้องเหรอ?”

    “เขาไม่ได้รักผมอยู่แล้ว เขาแค่สงสาร”

    “ความรักไม่ได้มีแค่เชิงชู้สาวนะก้อง รักแบบหวังดีจากใจจริงๆก็มี”

     

    นักจิตบำบัดมองด้วยแววตาเอ็นดูจนผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กไม่รู้เดียงสา เธอลุกขึ้นเดินไปหยิบฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสใสดูคล้ายเลโก้ออกมา นักจิตบำบัดวางมันบนโต๊ะก่อนจะถามคำถาม

     

    “ก้องรู้ไหมว่านี่คืออะไร?”

    “ไม่รู้ครับ” ผมตอบ “เหมือนฐานต่อเลโก้”

    “ใช่ แล้วรู้หรือเปล่าว่าโมเดลของฐานนี้คือตัวอะไร?”

     

    ไม่ครับ ไม่รู้ ผมส่ายหน้า ในใจนึกสงสัยว่ามาแค่แผ่นสี่เหลี่ยมใสๆใครมันจะไปเดาได้ น่าแปลกที่นักจิตบำบัดยิ้มอย่างพออกพอใจในความไม่รู้ของกอริลลาก้องก่อนจะเฉลยว่าพลาสติกบางๆแผ่นนี้เป็นเหมือนอนาคตของผม

     

    “ก้องไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นโมเดลของตัวอะไร” เธอยิ้ม “แล้วถ้าพี่หยิบชิ้นนี้มาต่อล่ะ --”

     

    นักจิตบำบัดเปิดกล่องพลาสติก ข้างในมีเลโก้ต่อกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นใหญ่คละสีปะปนจนเดาไม่ออก ผมได้แต่มองเธอค่อยๆยึดตัวต่อที่เป็นฐานทั้งสองข้าง มันคือสี่เหลี่ยมสีขาว แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันคือรูปอะไร

     

    “ตัวต่อพวกนี้ก็เหมือนสิ่งที่ก้องทำในหนึ่งวันนั่นแหละ” นักจิตบำบัดพูดต่อ คราวนี้เธอหยิบเอาเลโก้ชิ้นเล็กจิ๋วสีขาวออกมาอีกหลายตัว “พอหลายๆชิ้นมารวมกัน มันก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่าง -- แบบนี้”

     

    เธอมุ่งมั่นกับการต่อเลโก้ให้กอริลลาดู

     

    “เป็นไง? ดูออกหรือยังว่ามันคือรูปอะไร?”

     

    ผมเลิกคิ้วแล้วเพ่งดูเลโก้ที่ขึ้นโครงแค่ขา เดาจากลักษณะแล้วคงเป็นตัวการ์ตูนจากเรื่องอะไรซักอย่างที่ไม่รู้จัก เมื่อเห็นว่านายก้องเกียรติยังไม่รู้คำตอบ เธอก็ค่อยๆประกอบมากขึ้นเรื่อยๆจนมันกลายเป็นรูป --

     

    หมีขั้วโลกสวมผ้ากันเปื้อนสีฟ้า

     

    หมีจากโลกไหนมันใส่ผ้ากันเปื้อนวะ

     

    “ทีนี้ดูออกหรือยัง?”

    “ครับ หมีขั้วโลก”

     

    เธอพยักหน้าแต่มือกลับรื้อเลโก้ที่เพิ่งต่อเสร็จทิ้งเฉยเลย คราวนี้นักจิตบำบัดโยนส่วนสีขาวทิ้ง เธอหยิบสีน้ำตาลออกมาแล้วเริ่มประกอบอย่างรวดเร็วอีกครั้งจนกลายเป็นหมีตัวใหม่ เธอถามว่านี่คืออะไร ผมจึงตอบไปว่าหมีควาย

     

    “อ่ะ หมีควายก็หมีควาย”

     

    เธอหัวเราะพร้อมกับรื้อทิ้งและประกอบอีกรอบ คราวนี้ไม่มีส่วนไหนเป็นสีน้ำตาลแล้ว มีแค่สีดำกับสีขาวซึ่งต่างจากสองตัวแรกอย่างสิ้นเชิง

     

    “งั้นนี่ล่ะ?”

    “ผมรู้จักตัวนี้ มันคือโปจากเรื่องกังฟูแพนด้า”

    “เก่งมาก ทีนี้ก้องเห็นหรือยัง ฐานหนึ่งอันขึ้นโมเดลได้ตั้งหลายแบบ”

     

    ผมมองหน้าเธอ ไม่เข้าใจว่าจริงๆนักจิตบำบัดต้องการสื่ออะไร

     

    “ก้องไม่รู้หรอกว่าตอนประกอบเสร็จ ฐานนี้จะเป็นโมเดลตัวไหน มันอาจเป็นหมีขั้วโลกก็ได้ หมีควายก็ได้ หรือหมีแพนด้าก็ได้ ในอนาคตจะเป็นอะไรก็ได้ อยู่ที่ก้องเลือกเอง”

     

    ผมจ้องหมีแพนด้าเงียบๆ ทำตัวไม่ถูกว่าควรต่อบทสนทนายังไง

     

    “ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอนะก้อง” เธอส่งยิ้มให้ “ค่อยๆเป็นค่อยๆไป แรกๆอาจจะยากจนอยากกวาดทิ้ง แต่พอเริ่มไปเรื่อยๆ ก้องจะมองเห็นเป้าหมายของตัวเองชัดขึ้น วันหนึ่งก้องจะรู้ว่าก้องอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร อยากวางชีวิตของตัวเองยังไง”

    “ผมจะมีวันนั้นจริงๆเหรอครับ?”

    “มีสิ” นักจิตบำบัดยืนยัน “ออกตัววิ่งเมื่อพร้อม ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องเข้าเส้นชัยให้เร็วกว่าใคร ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ขอแค่ทำเต็มที่และมีความสุข แค่นั้นพอ”

    “แต่มันยากเพราะผมไม่มีใคร” ผมบอกเธอ “ขนาดแม่ยังทิ้งผมเลย มีเหรอที่พี่อู๋จะไม่ทิ้ง วันนึงเงินเขาก็ต้องหมด เขาต้องอยากไล่ผมแน่ๆ”

    “ทำไมถึงคิดแบบนี้ตลอดเลยล่ะก้อง? พี่อู๋ไม่ดีกับก้องเหรอ?”

    “เปล่าครับ เขาดีกับผม แต่ --” ผมเลียริมฝีปาก “แต่บางทีผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวถ่วงชีวิตเขา ตั้งแต่รับผมมาอยู่ด้วย ชีวิตพี่อู๋ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย มีแต่แย่ลงอย่างที่แฟนเก่าเขาพูด”

    “พี่อู๋แย่เหรอ? แย่ยังไงล่ะ?”

    “เขาตกงานมาหลายเดือนแล้ว เขาไม่คิดจะไปไหนเพราะต้องเลี้ยงผม”

    “การตกงานนี่ล้มเหลวมากเลยเหรอ?”

     

    ผมพยักหน้า

     

    “พี่อู๋อายุมากแล้ว เขาควรออกไปทำงาน ควรใช้ชีวิตผู้ใหญ่เหมือนคนอื่นๆ”

    “งั้นในความคิดของก้อง ผู้ใหญ่ต้องเป็นยังไง?”

    “ก็ -- ต้องมีงานทำ” ผมนึกออกหนึ่งข้อ “ต้องรับผิดชอบตัวเอง ดูแลตัวเองได้ ประมาณนั้นครับ”

    “ก้องหวังว่าจะให้พี่อู๋ออกไปทำงานเหมือนคนปกติใช่ไหม?”

    “ครับ”

    “ถ้าพี่บอกว่าพี่อู๋เหนื่อย พี่อู๋อยากพัก ก้องจะว่ายังไง?”

     

    ผมครุ่นคิดถึงคำว่าเหนื่อย ภาพพี่อู๋ตอนเหนื่อยจากงานไม่เคยอยู่ในจิตนาการของนายก้องเกียรติมาก่อน ส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงคุณอุรัสยา ผมจะนึกถึงวีออส ลาดพร้าว และของอร่อยๆ แต่ให้นึกสภาพเขาเหนื่อยๆ ผมนึกไม่ออก

     

    “ก้อง ฟังพี่นะ -- พี่อู๋น่ะ เป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่ก้องคิดอีก” เธอยืนยัน “ก้องต้องเข้าใจว่าเขาอายุตั้งสามสิบแล้วแต่เพิ่งรู้ตัวว่าที่ผ่านมาไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเลย”

    “เขาเล่าให้พี่ฟังไหมครับ?”

    “เล่าสิ”

    “พี่อู๋ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย ผมเป็นคนสุดท้ายที่รู้ตลอด”

    “เพราะเขาแคร์ก้องมากไง”

     

    เธอบอกเหตุผล

     

    “พี่ว่าเราให้เขาพักบ้างเถอะ เขาวิ่งสุดแรงเกิดมาเกือบสิบปี เว้นช่วงให้เขาได้ยืดเส้นยืดสายหน่อยเนอะ”

     

    ผมพยักหน้า และจบการบำบัดครั้งที่สองด้วยการให้สัญญาว่าจะคุยกับพี่อู๋บ่อยๆ ผมจะถามถึงชีวิตของเขาให้มากขึ้นแทนที่จะเป็นฝ่ายตอบอย่างเดียวเหมือนทุกวันนี้

     

     

     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงสี่สิบเก้านาที

     

    เราสองคนแวะทานข้าวที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ก่อนจะกลับห้องเพื่อช่วยกันเก็บหนังสือใส่ชั้นให้เรียบร้อย

     

    “ท่าทางพี่ชอบอ่านหนังสือยากๆ”

     

    ผมเป็นฝ่ายชวนคุยตามคำแนะนำของนักจิตบำบัด

     

    “พี่ต้องหัวดีแน่ๆถึงอ่านของแบบนี้รู้เรื่อง”

     

    ผมหยิบหนังสือปรัชญาของพี่อู๋มาเปิดอ่านเล่น ข้างในเขียนภาษาไทยก็จริงแต่เนื้อหาคืออะไรก็ไม่รู้ พูดถึงใครก็ไม่รู้ พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ หนังสือพวกนี้ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจว่าโลกของพี่อู๋ซักนิด เพราะบางทีเขาดูเก้ๆกังๆทำอะไรไม่เป็น บางทีก็วิชาการจ๋าเหมือนเป็นอาจารย์ปริญญาเอก ดูอย่างวันก่อนที่เราต่อตู้ด้วยกันสิ เขาแก่จนปูนนี้แล้ว แค่ประกอบตู้ง่ายๆยังทำไม่ได้เลย

     

    “ก้องต้องสนใจก่อน ถ้าสนใจยังไงก็อ่านได้”

     

    พี่อู๋ยิ้ม เขาแนะนำหนังสือให้อ่านหลายเล่ม แต่ผมส่ายหน้า ลาก่อน ขนาดหนังสือสอบยังไม่ยอมแตะ พี่คิดว่าผมจะอ่านหนังสือของออร์ฮัน ปามุกเหรอ ตลกแล้ว

     

    “หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นต้องเก็บไว้ตรงไหนครับ?”

    “ชั้นล่างสุดนั่นแหละ กองๆไปเถอะ ของไม่จำเป็น”

     

    ผมจัดเรียงหนังสือสอนภาษาให้เป็นระเบียบ เล่มใหญ่ๆอย่างพจนานุกรมคันจิและภาษาอังกฤษก็ถูกวางไว้ล่างสุดเช่นกัน จังหวะที่กำลังเรียงหนังสือตามลำดับความสูง จู่ๆแบบเรียนเล่มหนึ่งก็หล่นและกางออกโดยไม่ได้ตั้งใจ ในนั้นมีลายมือขยุกขยิกของพี่อู๋เขียนเต็มไปหมด มีกระดาษเอสี่ที่มีรอยปากกาแดงวงไว้ด้วย ด้านซ้ายบนมีข้อความเขียนว่า

     

    มาx

     

    “พี่อู๋ครับ อะไรคือมา -- เอ็กซ์สระอา”

     

    ผู้ปกครองที่กำลังเรียงหนังสือประวัติศาสตร์รีบหันมอง พอเห็นกระดาษเปื่อยๆในหนังสือแบบเรียนก็หัวเราะแล้วหยิบไปดู

     

    “อ๋อ -- การบ้านสมัยมหาลัยน่ะ เขียนว่ามาหา” เขายิ้มขำ “คนที่ทำผิดเยอะๆจะโดนเขียนหัวกระดาษแบบนี้แหละ”

    “แล้วพี่ต้องไปหาใครเหรอครับ?”

    “หาคนที่น่ากลัวมากที่สุดในภาคญี่ปุ่น” พี่อู๋ทำท่าสยดสยองเหมือนกลัว “อันนี้ตอนปีสอง พอปีสามปีสี่พี่ก็ทำได้ดีขึ้นนะ”

    “หมายถึงเก่งขึ้น?”

    “เปล่า หมายถึง D+ ต่างหาก”

     

    ผมเบะปากแล้วจัดห้องต่อ ระหว่างจัดยังคงเจอแบบฝึกหัดสมัยเรียนของพี่อู๋เป็นระยะๆ หลังๆเริ่มเห็นวงกลมสีแดงมากกว่ารอยขีดฆ่า ผมถามเขาว่าผิดเยอะจนโดนวงขนาดนี้ทำไมไม่โดนมาหา พี่อู๋บอกว่าวงกลมนั่นไม่ได้แปลว่าทำผิด มันเรียกว่ามารุซึ่งมีหมายถึงถูกต่างหาก

     

    “พี่อู๋เก่งจัง” ผมชมเมื่อเห็นการบ้านของเขาที่มีแต่มารุเต็มไปหมด “โตขึ้นผมอยากเก่งเหมือนพี่บ้าง”

     

    พี่อู๋ชะงักพักนึงเลยเมื่อผมพูดแบบนั้น เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะบอกว่าตัวเองไม่เก่งซักอย่าง กีฬาก็งั้นๆ การเรียนก็พอถูไถ ที่จบมาได้เพราะโดนอาจารย์เข็นทั้งนั้น ตัวเขาจริงๆไม่ใช่เด็กเรียนหรอก ขี้เกียจจนอธิการของมหาวิทยาลัยอยากเรียกไปรับโล่นักศึกษาขี้เกียจประจำปี

     

    “แต่พี่ก็ทำงานหาเงินจนมีคอนโด มีรถตั้งแต่อายุสามสิบต้นๆเอง” ผมเถียงขาดใจ แบบนี้ไม่เรียกเก่งจะให้เรียกว่าอะไร

    “หาเงินได้เยอะนี่แปลว่าเก่งเหรอ?”

    “ก็ใช่สิครับ สมัยนี้ใครๆก็อยากมีเงินๆเยอะๆทั้งนั้นแหละ แถวบ้านผมนะ กว่าจะซื้อบ้านซื้อรถได้ก็สามสิบสี่สิบแล้ว ไม่มีใครอายุน้อยร้อยล้านแบบพี่เลย”

    “อายุน้อยร้อยหนี้ล่ะสิไม่ว่า” เขาแขวะตัวเอง “เดี๋ยวโตไปก้องจะรู้ว่าเงินไม่ใช่ความสุขหลักของชีวิตหรอก”

    “พี่พูดได้เพราะพี่มีทุกอย่างแล้ว บ้านก็มี รถก็มี ไอโฟนก็มี”

    “หาเงินได้เยอะแต่ไม่มีเวลาให้ใคร ก้องคิดว่าดีจริงๆเหรอ?”

    “ดีสิครับ ตั้งตัวได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เดี๋ยวของอย่างอื่นก็ตามมาเองแหละ”

     

    พี่อู๋หัวเราะแล้วส่ายหน้า ดูเวทนาความคิดเด็กมัธยมปลายอย่างนายก้องเกียรติเหลือเกิน

     

    “พี่เคยทำงานได้เงินหกหลักด้วยนะ”

     

    ผมยกนิ้วนับจำนวน หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน --

     

    หลักแสนเลยเหรอ?

     

    “แต่ก้องรู้ไหม? ช่วงที่พี่มีความสุขที่สุดไม่ใช่วันที่เงินเดือนออกหรอก แต่เป็นวันที่ตื่นมาแล้วมีเวลาเหลือเยอะจนไม่รู้จะทำอะไรต่างหาก”

    “ฟังดูโคตรขี้เกียจ”

    “เออ ให้พี่ขี้เกียจเถอะ เกือบสิบปีที่ผ่านมาพี่ขยันชิบหายแล้ว ขยันเผื่อตายล่วงหน้าแล้ว ขอให้พี่เป็นสล็อตซักปีสองปีนะก้องนะ ถือว่าพี่ขอ”

     

    พี่อู๋แกล้งพูดทีเล่นทีจริงพร้อมกับยกมือไหว้ขอร้องเป็นท่าทางประกอบ แล้วบทสนทนาก็เงียบเพราะวกเข้าเรื่องงาน คุณอุรัสยาก้มหน้าก้มตาจัดหนังสือโดยไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้กอริลลาก้องชื่นชมความเก่งของผู้ปกครองผ่านทางสัญลักษณ์มารุและใบระเบียนผลการเรียนเมื่อสิบปีที่แล้วของเขา

     

    ผมไม่ได้บอกพี่อู๋ว่าเจออะไร ผมแค่แอบอ่านทุกอย่างในใจเงียบๆ เกรดสมัยมหาลัยของคุณอุรัสยาไม่ได้น่าเกลียดเลย เขาทำออกมาได้ค่อนข้างดีด้วยซ้ำ ไม่มีดีบวกเหมือนที่เล่นมุกซักตัว พอเห็นผลการเรียนที่คุณพ่อคุณแม่ต้องภูมิใจแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าป่านนี้พี่อู๋ทำงาน เขาคงไปได้ไกลเหมือนที่ใครๆว่า ไม่แน่นะคุณอุรัสยาอาจจะได้กลายเป็นล่ามในบริษัทดังๆที่ --

     

    อะไรวะ

     

    “พี่ชื่ออิศรินทร์เหรอครับ?!”

     

    ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ ถ้ามีใครถ่ายรูปตอนนี้ภาพคงออกมาตลกน่าดู ตาโตเท่าไข่ห่าน อ้าปากหวอ แถมยังขมวดคิ้วอีก พี่อู๋ยักไหล่ก่อนจะตอบว่าใช่ ทำไม ก้องมีอะไร ไม่ชอบผู้ชายที่ชื่ออิศรินทร์เหรอ

     

    “ผมคิดว่าพี่ชื่ออุรัสยา!”

     

    เขาหัวเราะก๊าก ไม่คิดว่านายก้องเกียรติจะเชื่อจริงๆ

     

    “อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาคิดว่าพี่ชื่ออุรัสยา?”

    “ก็ใช่น่ะสิ!”

    “ไอ้เด็กโง่!” พี่อู๋ดีดหน้าผากผม “เลิกดูใบเกรดพี่ได้แล้ว เดี๋ยวจัดหนังสือไม่เสร็จ”

    “ค่อยจัดพรุ่งนี้ต่อก็ได้นี่ครับ”

    “ไม่ได้ พรุ่งนี้คือวันคริสต์มาส”

     

    อีกแล้ว วันคริสต์มาสอีกแล้ว

     

    “พรุ่งนี้เราไปเที่ยวข้างนอกทั้งวัน ไม่มีเวลาจัดหรอก เพราะฉะนั้นรีบๆเลย ให้ไว”

     

    พี่อู๋สั่ง ผมจึงขะมักเขม้นกับการจัดหนังสือจนเสร็จ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางอะไรๆก็ดูสบายตามากขึ้น ผมเท้าเอวมองผลงานตัวเองด้วยความภูมิใจ อย่างน้อยชั้นจากอิเกียกลายเป็นรูปเป็นร่างด้วยฝีมือของผม ยิ่งเห็นหนังสือวางเรียงเป็นระเบียบยิ่งมีความสุข หลังจากนี้ห้องก็ไม่ใช่ถังขยะรกๆแล้ว

     

    ถ้าพี่อู๋ไม่สรรหาหนังสือมาทิ้งเพิ่มอ่ะนะ

     

    “เดือนนี้เดือนอะไรเหรอก้อง?”

    “ธันวาครับ”

    “เออ -- อีกสามเดือนแล้วนี่”

     

    คุณนายอู๋ยกมือลูบคางเหมือนกำลังครุ่นคิด

     

    “งานหนังสือใกล้เข้ามาแล้ว พรุ่งนี้ไปอิเกียอีกรอบดีกว่า”

    “ไปทำไมครับ?”

    “ซื้อชั้นหนังสือ”

     

    แล้วเขาก็ผิวปากอารมณ์ดี

     

    “แต่พรุ่งนี้วันคริสมาสต์นี่นา ไม่ไปอิเกียแล้ว”

    “ผมถามจริงเถอะ พี่เป็นอะไรกับวันคริสมาสต์นักหนา?”

    “ก้องไม่รู้สึกว่ามันพิเศษเหรอ?”

     

    ผมส่ายหน้า

     

    “แต่มันพิเศษสำหรับพี่” พี่อู๋ยิ้ม “คริสมาสต์ปีนี้จะต้องพิเศษสุดๆไปเลย”

     

    ผมกลอกตาแล้วเดินหนี คิดไว้ว่าพิเศษของเขาคงไม่พ้นการซื้อของชิ้นใหญ่หรือกินอะไรอร่อยๆแน่ๆ พี่อู๋ยังคงยืนยิ้มหน้าบานอยู่หน้าชั้นหนังสือ มุมปากเขายกขึ้นเหมือนกำลังคิดเรื่องบางอย่างที่มีความสุขมากๆ ผมมองเขาด้วยความสงสัย ไม่รู้จะยิ้มอะไรนักหนา พักนี้เขายิ้มเหมือนคนบ้า ยิ้มมันทั้งวัน สงสัยคุณอุรัสยา -- อิศรินทร์จะชอบวันคริสต์มาสมากจริงๆ




                                                                              TBC




                                                             __________________________


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in