เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
Before Christmas
  • 17


     

     

    วันที่ 18 ธันวาคม

     

    ผมตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้า บรรยากาศแถวลาดพร้าวค่อนข้างขมุกขมัวเพราะฝุ่นจากการก่อสร้างอาคารข้างๆ ทันทีที่ลืมตา ผมบังคับตัวเองให้ทำตามแผนที่ช่วยกันวางกับนักจิตบำบัด ผมจะเก็บที่นอนก่อนไปอาบน้ำโกนหนวด หลังจากนั้นจะลุกไปดูทีวีหรือไม่ก็อะไรเล็กๆน้อยๆทำระหว่างรอพี่อู๋ตื่น ไม่น่าเชื่อว่าความสำเร็จเล็กๆอย่างพับผ้านวมทำให้ผมกระตือรือร้นอยากทำตามแผนต่อไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ไม่ใช่หน้าที่หนักหนาอะไร ก็แค่หนึ่งในกิจวัตรดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้กลับไปเป็นกอริลลารุงรังเหมือนที่ผ่านมา

     

    วันนี้พี่อู๋ต้องไปรับรถที่อู่ หลังได้รถคืนเขาจะพาผมไปอิเกียบางใหญ่เพื่อซื้อของ ผมถามผู้ปกครองว่าทำไมต้องไปร้านขายเครื่องเรือนด้วยในเมื่อของใช้ในบ้านก็มีครบหมดแล้ว พี่อู๋บอกว่าเรายังขาดของสำคัญอีกหนึ่งชิ้น เขาบอกให้ผมลองนึกดู แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

     

    “ชั้นหนังสือไงก้อง”

     

    พี่อู๋เฉลยเมื่อผมเดาสุ่มไปเรื่อยไม่ถูกเสียที

     

    “หรือเราจะอยู่กันแบบนี้ตลอดไป?”

     

    ผมเหลือบมองหนังสือทั้งสี่ร้อยกว่าเล่มแล้วส่ายหน้า ไม่เอาล่ะ ถ้าต้องอยู่ในห้องที่มีแต่กองหนังสือนี่ผมขอไปนอนสนามหลวงดีกว่า

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงสามสิบแปดนาที

     

    พี่อู๋พากอริลลาก้องไปรับรถที่อู่ จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปเซ็นทรัลเวสต์เกต ผมไม่เคยเที่ยวย่านนี้มาก่อนเลย ปกติเดินแต่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า พอได้มาเวสต์เกตแล้วกลับรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก ที่นี่ใหญ่มาก -- มากมาก มีร้านขายของแทบทุกอย่างที่เราตามหา แต่สิ่งที่ผมประหลาดใจที่สุดคือฟิตเนสสีแดงชั้นบนสุด ผมเพิ่งรู้ว่าในห้างมีฟิตเนสด้วยก็วันนี้

     

     “พี่ดูชั้นหนังสือจากอินเทอร์เน็ตหรือยังครับ?”

     

    ผมถามผู้ปกครองขณะเดินเข้าไปในอิเกีย

     

    “ใครเขาดูจากในเน็ต เขาเดินมาเลือกเองทั้งนั้นแหละ”

     

    พี่อู๋ตอบ ตอนแรกผมงงว่าสมัยนี้ไม่นิยมอ่านกระทู้พันทิปก่อนซื้อของกันแล้วเหรอ แต่พอได้เดินอิเกียจริงๆก็ถึงบางอ้อ ที่นี่เป็นยิ่งกว่าร้านขายเครื่องเรือนเพราะมีแทบทุกอย่างตั้งแต่จานชามไปจนถึงที่นอนหมอนมุ้งและผ้าปูเตียง พี่อู๋พาผมเดินตระเวนไปเรื่อยๆไม่รีบร้อน เราเดินผ่านโซนขายหมอนอิง โซนขายเครื่องนอน ผ่านโซนขายเครื่องครัวที่มีทั้งผ้าปูโต๊ะและกล่องเก็บอาหารหลากหลายแบบ

     

    ผมเดินดูของเรื่อยเปื่อยอยู่ข้างผู้ปกครองที่หยิบนั่นหยิบนี่ใส่รถเข็น พี่อู๋ดูสนุกกับการช็อปของจิปาถะที่ไม่จำเป็นอย่างที่วางตะเกียบและผ้ากันเปื้อน ผมถามคุณอุรัสยาว่าพี่จะซื้อของพวกนี้ไปทำไมในเมื่อเราวางตะเกียบบนโต๊ะก็ได้ ผ้ากันเปื้อนไม่ต้องใช้ก็ได้ ผมทำกับข้าวธรรมดา ไม่ได้ทอดไก่หรือทำเบเกอรี่เสียหน่อย

     

    “ซื้อไว้ก่อน เผื่อวันหลังเราทำอะไรเลอะๆไง”

     

    ผมขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ว่าอะไร ถ้าพี่อู๋อยากซื้อก็ซื้อไปเถอะ เงินของเขา การ์ดของเขา จะรูดซื้อของจุกจิกแบบนี้กี่ชิ้นก็ไม่ใช่เรื่องของผม เราเดินต่อไปโซนห้องนอน โซนเครื่องเรือนของเด็ก โซนห้องครัว ห้องทานอาหาร ห้องนั่งเล่นจนถึงห้องทำงาน แต่กว่าจะถึงจุดแสดงตัวอย่างชั้นวางหนังสือ พี่อู๋ก็หยิบนั่นหยิบนี่ใส่รถตั้งหลายชิ้น เรามาหยุดเลือกชั้นไม้ที่อยู่ตรงหน้า คุณอุรัสยาใช้นิ้วนวดคางด้วยท่าทางคิดหนักเพราะไม่รู้จะซื้อแบบไหนดี อันนั้นก็สวย อันนี้ก็ดี แต่ถ้าจะเอาชั้นที่ใส่หนังสือครบทั้งสี่ร้อยกว่าเล่ม ท่าทางต้องซื้อสองตู้

     

    “ก้องชอบแบบไหน?” พี่อู๋ถาม ผมยักไหล่เพราะไม่มีความเห็น “เลือกให้หน่อยสิ แบบไหนดีกว่า ชั้นโปร่งหรือชั้นทึบ?”

     

    ผมอ่านป้ายสีขาวที่เขียนชื่อรุ่นว่า อิวาร์ รุ่นนี้ดูเรียบๆดี ท่าทางจะใส่หนังสือได้หลายเล่มเพราะเป็นชั้นวางของแบบสามชุด ข้างล่างมีบานพับด้วย เอาไว้ใส่ของอื่นๆนอกจากหนังสือก็ได้

     

    “พี่ว่ามันทนไหม?” ผมขอความเห็นจากพี่อู๋ “หนังสือที่บ้านหนักมากนะ ผมกลัวไม้จะรับน้ำหนักไม่ไหวอ่ะ”

     

    คุณอุรัสยาพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเดินไปเลือกชั้นอื่นที่จัดแสดงอยู่ไม่ไกล คราวนี้เป็นตู้หนังสือสีขาวที่ด้านในเป็นเนื้อไม้สีน้ำตาล ผมอ่านชื่อบนป้าย เฮมเนส มันคือตู้หนังสือหกชั้นที่ดูแล้วน่าจะรับน้ำหนักหนังสือทั้งหมดไม่ไหว ผมจึงบอกพี่อู๋ว่าเราควรเลือกอันอื่น เพราะรุ่นนี้ดูไม่ค่อยแข็งแรงเลย

     

    “งั้นอันนี้ล่ะ?”

     

    บิลลี่คือตู้หนังสือที่สามที่เราเลือกดู เป็นตู้แฝดติดกัน มีชั้นวางตู้ละหกชั้น รวมแล้วเป็นสิบสองชั้น ไม้ไม่บางไม่หนา ท่าทางน่าจะเก็บหนังสือได้เยอะ แต่ผมคิดว่าตู้เดียวคงไม่พอ

     

    “งั้นเอาตู้นี้เนอะ”

     

    พี่อู๋พูดเองเออเอง เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายป้ายชื่อก่อนจะเดินไปโซนอื่น ตอนเดินผ่านหัวมุมเล็กๆที่จัดวางตุ๊กตา พี่อู๋ก็ชวนผมไปดู อิเกียขายตุ๊กตาสัตว์หลายแบบ มีทั้งฉลาม หมู หมา สิงโต เสือ หมีแพนด้า ที่สะดุดตาสุดน่าจะเป็นลิงสีน้ำตาล พี่อู๋หยิบมันขึ้นมาแล้วจัดท่าทางเลียนแบบผม เขาจับแขนขามันให้เต้นอะโกโก้ก่อนจะบอกว่าลิงตัวนี้ชื่อกอริลลาก้อง

     

    “มันไม่ใช่กอริลลา มันคืออุรังอุตัง”  

     

    ผมแย้งแต่พี่อู๋ไม่สน เขาจับตุ๊กตาอุรังอุตังที่ทึกทักเอาเองว่าชื่อก้องเกียรติมาพาดคอผม แล้วแปะตีนตุ๊กแกตรงปลายมือทั้งสองเพื่อให้มันอยู่ในท่าเกาะหลังผมเหมือนลูกลิง

     

    “ปังคุงกับก้องเกียรติ”

    “ปังคุงกับเจมส์ต่างหาก พี่ไม่เคยดูขำกลิ้งลิงกับหมาเหรอ” ผมเถียงแต่ก็ไม่ได้แกะตุ๊กตาออก ปล่อยให้มันกอดคออยู่อย่างนั้น “พี่อู๋จะซื้อเหรอครับ?”

    “ใช่ ทำไม?” เขาตอบก่อนจะหยิบตุ๊กตาหมูขึ้นมาอีกตัว “เอาแม่หมูด้วย”

    “พี่ไม่ซื้อลูกมันไปด้วยเลยล่ะ?”

    “เออว่ะ งั้นเอาลูกๆมาด้วย”

     

    แล้วเขาก็หยิบตุ๊กตาหมูตัวเล็กมาอีกหกตัว ผมได้แต่ยืนงง ไม่เข้าใจว่าพี่อู๋อยู่ในอารมณ์ไหนถึงมายืนเลือกตุ๊กตา ผมปล่อยให้ผู้ปกครองเล่นในโลกของตัวเองตามอำเภอใจ เมื่อเราได้ทุกอย่างที่ต้องการ พี่อู๋ก็พาผมลงไปคลังสินค้าข้างล่างเพื่อซื้อชั้นหนังสือ

     

    “เราต้องประกอบเองเหรอครับ?” ผมถามเมื่อเห็นกล่องสีน้ำตาลวางเรียงเป็นตับ

    “ใช่ เราจะช่วยกันประกอบตู้นี้ขึ้นมา” พี่อู๋ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “ทีนี้ก้องจะได้ไม่ฟุ้งซ่านเพราะมีงานให้ทำ”

    “แต่ผมประกอบเฟอร์นิเจอร์ไม่เป็นนะครับ”

    “ไม่มีใครประกอบเป็นตั้งแต่เกิดหรอก ของแบบนี้ต้องเรียนรู้”

     

    ผู้ปกครองสอนระหว่างเดินไปคิดเงิน ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะขนตู้พวกนี้กลับบ้านเอง แต่พอกะขนาดของตู้กับขนาดรถแล้ว พี่อู๋ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเรายัดมันใส่วีออสไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงจำใจใช้บริการขนส่งแทน ผมได้ยินคนข้างหน้าถามพนักงานว่าถ้าต้องการจ้างช่างประกอบต้องทำยังไง เธอผายมือไปที่แผนกบริการลูกค้าและบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการติดต่อ ผมสะกิดพี่อู๋เพื่อถามเขาว่าพี่จะจ้างช่างไหม เขาส่ายหน้า

     

    “เราต้องช่วยกันสิก้อง เราจะได้ภูมิใจกับมันมากๆไง”

     

    เออ ผมจะรอดูนะว่าถึงตอนนั้น พี่จะยังพูดว่าเราต้องช่วยกันอยู่ไหม

     

    เมื่อจ่ายเงินเสร็จ พี่อู๋ก็พาผมไปทานมื้อเที่ยง มันไม่ใช่อาหารหรูเลย ก็แค่ฮ็อตดอกธรรมดาชิ้นละสิบห้าบาทแต่อร่อยโลกลืม ผมกับผู้ปกครองยืนกินฮ็อตดอกบริเวณโต๊ะที่จัดวางไว้ เรามากันแค่สองคนก็จริง แต่ของกินเต็มโต๊ะเหมือนมาห้าคน พี่อู๋ซื้อทั้งเฟรนช์ฟรายและปอเปี๊ยะให้ผมอย่างละหนึ่ง มีน้ำอัดลมรีฟิลด้วย นี่เหมือนสวรรค์ย่อมๆสำหรับเด็กชอบฟาสต์ฟู้ดอย่างผมเลย

     

    “อร่อยไหมก้อง?”

    “อร่อยครับ” ผมตอบแล้วกัดฮ็อตดอกอีกหนึ่งคำ “น้ำโค้กที่นี่ซ่าจัง ผมชอบ”

    “ชอบก็กินเยอะๆ อยากกินอะไรอีกก็บอกนะ เดี๋ยวพี่ซื้อให้”

     

    ผมยิ้มแต่ไม่ขอให้พี่อู๋ซื้อเพิ่มเพราะเท่าที่มีก็กินไม่ไหว ผมกัดฮ็อตดอกคำแล้วคำเล่าจนหมดเกลี้ยง จากนั้นก็ยกโคล่าซดอึกๆ พอดื่มน้ำอัดลมหมดก็วางแก้วลงบนโต๊ะดังป๊อก แสดงออกว่าอร่อยและชอบมื้อเที่ยงวันนี้มากแค่ไหน พี่อู๋ที่กำลังกินปอเปี๊ยะหัวเราะก่อนจะหยิบทิชชู่เช็ดปากให้ผม เขาบอกว่าซอสมะเขือเทศเลอะขอบปากเหมือนผีปอบเลย

     

    เอาอีกแล้ว ล้อเลียนผมอีกแล้ว คนแบบนี้น่ากระโดดเตะจริงๆ

     

    หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จ เราก็เดินเล่นในเซ็นทรัลอีกสองสามชั่วโมง ตอนแรกผมคิดว่าพี่อู๋อยากดูของเรื่อยเปื่อยแต่จริงๆเขามีลิสต์ที่ต้องซื้อเอาไว้ในใจแล้ว คุณอุรัสยาพาผมไปดูต้นคริสต์มาสขนาดสองเมตร ผมถามเขาว่าพี่จะซื้อของพวกนี้ไปทำไมในเมื่อห้องเราแคบจะตาย เขากลับตอบสั้นๆแค่ว่า

     

    “ใกล้วันคริสต์มาสแล้ว ก้องไม่ตื่นเต้นเหรอ?”

     

    ผมส่ายหน้า ไม่อ่ะ ไม่ตื่นเต้น ทำไมต้องตื่นเต้นด้วยในเมื่อวันคริสต์มาสไม่เคยเป็นวันหยุดสำหรับผม จะตื่นเต้นกับมันทำไมในเมื่อวันมาฆบูชาให้ผมมีเวลานอนอีกยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่วันคริสมาสต์ผมยังต้องไปโรงเรียนด้วยซ้ำด้วยซ้ำ

     

    “โห -- ต้นละสามพันกว่าบาทแน่ะ”

     

    ผมบ่นงุบงิบตามประสาคนขี้งก แต่พี่อู๋สนุกกับการซื้อของตกแต่งมาก เขาซื้อลูกกลมๆหลากสี ซื้อสายรุ้ง ซื้อไฟ ซื้อของตกแต่งสีทองเยอะแยะไปหมด แน่นอนว่าผมยังคงไม่พูดอะไร มากสุดก็แค่บ่นว่าเปลืองนะแต่ไม่ห้ามเขา เราช่วยกันขนต้นคริสต์มาสไปไว้ในรถอย่างทุลักทุเล ผมวางถุงใส่ของตกแต่งบนพื้นแล้วนั่งประจำที่ข้างพี่อู๋

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงแปดนาที เราออกจากเซ็นทรัลเวสต์เกต

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มห้าสิบนาที เราติดแหง็กอยู่ที่แยกรัชดาลาดพร้าว

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มยี่สิบเจ็ดนาที ผมกับพี่อู๋ลงความเห็นว่าดับเครื่องแล้วเดินกลับคอนโดน่าจะเร็วกว่า

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มตรง วีออสของพี่อู๋เพิ่งเข้าเขตอาคารคอนโด แต่เพราะเรากลับดึกมากที่จอดรถก็เลยเต็มจนต้องจอดข้างนอก

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสี่สิบสามนาที ผมกับพี่อู๋วางของที่เพิ่งซื้อทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่นแล้วเข้านอน ไม่ไหวแล้ว ลาก่อน ผมเกลียดแยกรัชดาลาดพร้าวจริงๆ

     

     

     

    วันที่ 19 ธันวาคม

     

    ผมและพี่อู๋ช่วยกันกางต้นคริสต์มาสเตรียมตกแต่ง เราใช้เวลามากกว่าครึ่งวันหมดไปกับการประดับของบนต้นสนปลอม คุณอุรัสยาผู้มีศิลปะในหัวใจส่งรูปในอินเทอร์เน็ตให้ดู เขาบอกว่าอยากแต่งต้นสนแบบออมเบรย์ไล่โทนสีตามในภาพ ก้องช่วยหน่อยได้ไหม

     

    แน่นอนว่าผมต้องช่วยเพราะพี่อู๋คนเดียวคงทำทั้งหมดไม่ไหว กว่าจะคลี่ก้านต้นสนแต่ละก้าน กว่าจะแกะกล่องของตกแต่ง กว่าจะไล่โทนต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ผมประดับชั้นล่างสุดของต้นด้วยสีชมพู สีแดง สีม่วง สีฟ้า สีเขียวน้ำทะเล สีเขียวอ่อนและสีเหลืองอยู่บนสุด แต่การแขวนลูกบอลประดับต้นคริสต์มาสไม่ใช่แค่แขวนไปมั่วๆก็สวยได้ ต้องเลือกและจัดวางองค์ประกอบให้ดี ซึ่งเจ้าของต้นไม้ไม่สนใจอะไรนอกจากแขวนๆไปให้มันจบ นายก้องเกียรติต่างหากที่คอยตามล้างตามเช็ด อันไหนเกะกะรกหูรกตาต้องปลดออกแล้วใส่แขวนอันอื่นแทน

     

    พอจัดการต้นคริสต์มาสเสร็จ เราก็ช่วยกันขนเศษขยะไปทิ้งและออกไปทานมื้อเที่ยงแถวโชคชัยสี่ พี่อู๋พาผมไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าดังที่อร่อยมาก เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นผมกินหมดตั้งสามชาม ถือเป็นจำนวนเยอะที่สุดตั้งแต่อยู่ด้วยกันเลย

     

    “อร่อยใช่ไหม? อร่อยเนอะ อร่อยก็กินเยอะๆนะ”

     

    เขาบอกแล้วแกะแคบหมูให้ ผมไม่อยากพูดให้เขาเสียน้ำใจ ก๋วยเตี๋ยวเรือไม่ได้อร่อยขนาดนั้นหรอก แค่ถ้วยมันเล็กชนิดที่ใช้ช้อนกวาดสองคำก็หมด แล้วแบบนี้เขาจะให้ผมกินถ้วยเดียวได้ยังไง ไม่มีมนุษย์คนไหนอิ่มแปล้เพราะก๋วยเตี๋ยวสองคำหรอกนะ

     

    หลังจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวเรือสิบถ้วยและแคบหมูสามถุง พี่อู๋ก็ขับรถกลับคอนโด แน่นอนว่าลาดพร้าวซิตี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง เราออกจากแถวโชคชัยสี่มาตั้งแต่บ่ายโมงกว่าๆ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่ถึงลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดเลย กอริลลาสองตัวนั่งหน้าบูดในรถเพราะการจราจรไม่ขยับแม้แต่มิลลิเมตรเดียว นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองสิบเก้านาที เราเพิ่งถึงคอนโดโดยมีรถของอิเกียมาส่งของพอดี

     

    พี่อู๋ให้พนักงานช่วยขนขึ้นไปด้านบน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็เปิดแอร์แล้วนั่งจ้องกล่องสีน้ำตาลใบใหญ่สี่ใบด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก พี่อู๋เปิดกล่องเพื่ออ่านคู่มือการประกอบ ส่วนกอริลลาก้องได้แต่นอนแผ่บนพื้นเพราะเหนื่อย แค่ต้นคริสต์มาสก็จะเป็นบ้าแล้ว ยังเหลือชั้นหนังสือที่ต้องประกอบอีกตั้งสองชั้น

     

    ผมว่าพี่ฆ่าผมให้ตายเลยดีกว่า

     

     

     

    วันที่ 20 ธันวาคม

     

    ผมตื่นนอนแต่เช้า กินแซนด์วิชทูน่ารองท้องแล้วรีบกินยาเพราะกลัวลืม หลังจากนั้นก็หยิบคู่มือการประกอบชั้นหนังสือมาอ่านระหว่างรอพี่อู๋ตื่น

     

    คู่มือมีทั้งหมดสิบสองหน้า แต่ละหน้าแสดงภาพวิธีประกอบโดยไม่มีคำบรรยายเขียนไว้ ผมกวาดสายตาดูคร่าวๆเกี่ยวกับอุปกรณ์ว่ามีไม้กี่ชิ้น น็อตกี่ชิ้น ตัวต่อกี่ชิ้น ซึ่งแต่ละตัวจะมีรหัสกำกับเพื่อไม่ให้หยิบผิดอัน ผมหยิบของที่อยู่ในกล่องออกมาวางเรียง โอเค ทุกอย่างครบ ไม่มีไม้แผ่นไหนบุบหรือปริแตก ชิ้นส่วนทั้งหมดอยู่ในสภาพดี

     

    “ตื่นแล้วเหรอช่างก้อง”

     

    พี่อู๋เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น เขายีหัวกอริลลาก้องจนฟูยุ่งแต่ผมไม่ได้ว่าอะไร

     

    “เป็นไง? ง่ายใช่ไหมล่ะ?”

     

    ง่ายกับผีสิ

     

    ผมคิดในใจ ไม่ได้พูดออกไป

     

    “กินข้าวก่อนเดี๋ยวเราค่อยช่วยกันประกอบนะ”

     

    ผมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย หลังจัดการมื้อเช้าเสร็จ ผมทำหน้าที่ล้างจาน ส่วนพี่อู๋นั่งงมคู่มืออยู่บนโซฟา ตอนเหลือบมองยังเห็นคิ้วของเขาชนกันอยู่เลย แต่พอแกล้งหันหน้าไปถามว่าเป็นไงครับ ยากไหม? พี่อู๋ก็รีบฉีกยิ้ม บอกว่าของแค่นี้เล็กน้อยมาก ง่ายๆสบายๆ

     

    “ดีเลยครับ เดี๋ยวผมนั่งเป็นกำลังใจตรงนี้”

     

    ผมบอกขณะมองคุณอุรัสยาต่อชั้นหนังสือด้วยท่าทางเงอะงะ เขาดูไม่ถนัดงานช่างเอาเสียเลย เหมือนเด็กมัธยมที่เพิ่มหัดจับค้อนและไขควงครั้งแรก ผมเท้าคางมองผู้ปกครองที่กำลังเก๊กขรึมด้วยความขำ ต่อไม่เป็นก็ยอมแพ้เถอะ โทรเรียกช่างมาประกอบให้ก็ได้ ไม่มีใครว่าพี่กากหรอก

     

    เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ในที่สุดพี่อู๋ถึงยอมละทิฐิตัวเองด้วยการขอให้นายก้องเกียรติช่วย จริงๆผมไม่ได้ถนัดงานช่างแต่ก็เคยเรียนจากชุมนุมมาบ้าง ดังนั้นวันนี้เราก็เลยขลุกตัวอยู่ในห้องทั้งวัน ผมจดจ่อกับการประกอบชั้นหนังสือจนปวดหัว

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองสามสิบเอ็ดนาที

     

    ผมบอกพี่อู๋ว่าจ้างช่างเถอะ ผมเองก็ต่อไม่เป็นเหมือนกัน

     

     

     

     

    วันที่ 21 ธันวาคม

     

    ผมเรียนเปียโนกับพี่โรม

     

    เพราะได้ปลดล็อคความรู้สึกกับพี่อู๋แล้วก็เลยไม่เครียดจนเกินไป ผมตั้งใจเรียนเท่าที่เรียนไหว ตรงไหนช้าหน่อยหรือไม่ค่อยเข้าใจก็ถามพี่โรม เขาถึงกับเอ่ยปากชมเมื่อหมดชั่วโมงเรียน

     

    “พอไม่กดดันตัวเองก็สนุกขึ้นเยอะเลยใช่ไหม?”

     

    พี่โรมถาม ผมพยักหน้ายิ้มอย่างอารมณ์ดี

     

    “อาทิตย์หน้าพี่ไม่ได้มาสอนนะคะ หยุดปีใหม่ ระหว่างที่เราไม่เจอกันน้องก้องก็ซ้อมทุกวันเป็นการฝึกตัวเองอีกทางนะ”

    “ครับ”

     

    ผมตอบ ก่อนจะเก็บเอกสารลงแฟ้มแล้วหันไปหาพี่อู๋ที่ยังคงประกอบชั้นหนังสืออยู่บนพื้น

     

    “นึกยังไงถึงซื้อชั้นของอิเกียมาวะ มึงไม่รู้เหรอว่ามันต้องต่อเอง?” พี่โรมกอดอกถามคุณอุรัสยา

    “รู้ กูแค่อยากหาอะไรให้ก้องทำ”

    “แล้วสรุปก้องได้ทำไหม?”

    “ไม่”

    “เออ โทรจ้างช่างเถอะ กูเห็นสภาพห้องแล้วเวทนา หนังสือก็รก ต้นคริสต์มาสก็เกะกะ ห้องมึงกว้างไม่ถึงสี่สิบตารางเมตรจะยัดลงหมดนี่ได้ยังไง ไอ้ควาย”

     

    พี่โรมด่าแต่พี่อู๋ยังคงไม่สะทกสะท้าน เขาแกะน็อตตัวนั้นออกต่อกับไม้ชิ้นนี้ พอดูรูปอีกที อ้าว ผิดด้านนี่นา ก็ต้องถอดออกแล้วประกอบใหม่ แทนที่ผมจะได้พักหลังเรียนเปียโนกลายเป็นว่าต้องมาช่วยพี่อู๋ประกอบชั้นหนังสือแทน ผ่านไปสองวันแล้ว ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย

     

    “งั้นพี่กลับก่อนนะคะน้องก้อง”

     

    พี่โรมขอตัว ผมยกมือไหว้และให้สัญญาว่าจะหัดเล่นเปียโนทุกวัน จังหวะที่พี่โรมเดินข้ามไม้แผ่นใหญ่ พี่อู๋ก็จับข้อเท้าของเขาไว้แล้วถามเสียงแข็ง

     

    “มึงจะไปไหนอีโรม?”

    “กลับบ้าน”

    “ไม่ต้อง ช่วยกูก่อน”

    “ถ้าไม่ช่วยอ่ะ?”

    “กูจะบอกผัวมึงว่าเดือนก่อนมึงไม่ได้กลับใต้ไปหาแม่ แต่เมาอยู่ที่ข้าวสาร”

    “นรก”

     

    พี่โรมจิกตาแต่ก็ยอมนั่งลงแล้วช่วยผมกับผู้ปกครองประกอบชั้นหนังสือแต่โดยดี นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงยี่สิบนาที พี่โรมบอกพี่อู๋ว่าฟ้องผัวกูไปเลยเถอะ กูประกอบชั้นห่านี่ไม่ได้จริงๆ ไปล่ะ

     

    ผมมองหน้าคุณอุรัสยาที่กำลังเดือดปุดๆก่อนจะถอนหายใจ

     

    “จ้างช่างเถอะครับ”

    “ไม่เอา”

     

    แล้วเราก็จบบทสนทนาและการประกอบไว้แค่นั้น

     

     

     

     

    วันที่ 22 ธันวาคม

     

    คุณอุรัสยายอมแพ้จากการประกอบ ทิ้งให้กอริลลาก้องจัดการชั้นหนังสือเพียงคนเดียว ผมพยายามกระตุ้นพี่อู๋ด้วยการบอกเขาว่าเราเสียเงินตั้งสองหมื่นเพื่อซื้อตู้เก็บหนังสือนี่ พี่จะยอมแพ้ตรงนี้เหรอ พี่ไม่สู้หน่อยเหรอ จะทิ้งให้มันเป็นเศษไม้ตลอดไปเนี่ยนะ

     

    “ช่างแม่ง” พี่อู๋ตัดบทแล้วสูดเส้นมาม่าเข้าปาก “ถึงเวลาจริงๆเดี๋ยวมันก็กลายเป็นตู้เองแหละ”

     

    เพ้อเจ้อ

     

    ผมคิด แน่นอนว่าไม่ได้พูด

     

    “ประกอบไม่ได้ก็ปล่อยไว้ ไหนๆห้องก็รกอยู่แล้ว รกกว่านี้คงไม่เป็นไรเนอะ”





    TBC


    ___________________________
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in