ช่วงเย็นของวันที่ 4 เวลา 17.00 น.
50 นาที จากบานา ฮิลล์ เราก็มาถึง ฮอยอัน เมืองมรดกโลก ของเวียดนาม
ที่เมื่อพูดชื่อออกไป ไม่ว่าใครก็ต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ฉัน รัก เธอ”
อยากรู้เหลือเกินว่าจะน่ารักขนาดไหน
ก่อนอื่นใด ต้องเข้าที่พักนะ
เข้ามาถึงเช็คอินน์เรียบร้อย เจ้าของเดินมาถามว่าอาหารเช้าพรุ่งนี้อยากกินอะไร ?
คุณพี่! เป็นห่วงกันไปถึงพรุ่งนี้แล้วหรอ? ว่าแล้ว ก็เอาเมนูอาหารเช้ามาให้ดู
“โคตรเยอะ” แถมอ่านไม่ออกสักเมนู...
แรมด้อมเลยละกัน ไหนๆแต่ละคนก็มากะดวงอยู่แล้ว
“เอานี่.. เอานี่.. แล้วก็นี่... นี่ด้วยๆ” ยกนิ้วโป้งให้ไปหนึ่งที
ป่ะ! แบกของกันต่อ
คืนนี้ ชั้น 4 ลิฟท์ไม่มี เช่นเคยครับ
วันที่ 4 @LaAn Homestay
.
อาบน้ำ ปะแป้ง ชาร์จพลังกันสักครู่ เดี๋ยวจะล้มเอากลางทาง
กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบทุ่ม ไม่ใช่ปัญหา ยิ่งมืด ยิ่งดึก ยิ่งคึกกก
จากที่พักใช้เวลาเดินเท้าเข้าสู่ย่าน โอลด์ ทาวน์ เป็นเวลา 20 นาที
สภาพทางเท้าของฮานอยเป็นยังไง ฮอยอัน เหมือนกันเด๊ะ
ฟุตบาทแคบๆมีไว้จอดรถ ประชาชนอย่างเราทำได้เพียงเดินเลาะไปตามขอบถนน
ระหว่างทางมีร้านอาหารเยอะมาก ถึงท้องจะร้อง หรือร้านรอบๆจะล่อตาล่อใจแค่ไหน
ด้วยความมุ่งมั่น มื้อนี้เราตั้งใจที่จะเก็บท้องไว้ให้รสชาติในโอลด์ ทาวน์ เท่านั้น!
แค่ผ่านหน้าทางเข้าเท่านั้น ตึกรามบ้านช่องรอบตัวก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
กลายเป็นอาคาร 2 ชั้น สีเหลืองมัสตาร์ด แพทเทิร์นใกล้เคียงกันตลอดสองข้างทาง
เสียงแตรรถหายไปในชั่วพริบตา เปลี่ยนเป็นเสียงกระดิ่งจักรยานที่ดังขึ้นเป็นช่วงๆ
บรรยากาศที่ประดับไปด้วยโคมไฟสีแดงตลอดทาง
ความครึกครื้นจากเสียงผู้คนที่สัญจรไป-มา เริ่มทำให้ใจสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ
ลึกเข้ามาไม่เกิน 10 นาที (คือเดินตรงอย่างเดียว) เราได้เจอกับ แม่น้ำทูโบน
ตัดผ่านระหว่าง 2 ฝั่ง ซึ่งเป็นจุดเช็คพ๊อยต์หลักของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้
มีแสงไฟระยิบระยับ จากกระทง และโคมไฟ ทั่วทั้งแม่น้ำ และยาวตลอดสองฝั่ง
ตั้งแต่เหยียบเวียดนามเมื่อ 3 วันที่แล้ว จนถึงวินาทีนี้ ขณะที่นั่งอยู๋ริมแม่น้ำแห่งนี้
รู้สึกว่าเพิ่งได้สัมผัสบรรยากาศความสุขรอบตัว ที่เหมือนเป็นมนต์สะกดของฮอยอัน
ความรู้สึกเหนื่อยระหว่างการเดินทางอยู่ๆก็หายไป
อินน์กับบรรยากาศได้ไม่นาน ความหิวก็เริ่มจู่โจม มองไป 2 ข้างทาง
กลายเป็นว่า รอบตัวมีแต่ร้านขายของฝากเต็มไปหมด ยากละชีวิต
หันไปหันมา เจอร้านโลคอล หน้าตาคล้ายร้านอาหารตามสั่งริมฟุตบาท
ไม่พูดพร่ำทำเพลง “ร้านนี้แหละ”
มื้อนี้เป็นเมนูพื้นฐานทุกจาน ประกอบด้วย
THIT-HEO-NUONG (หน้าตาเหมือนหมูปิ้ง แต่ไม้อย่างใหญ่ ทานกับแผ่นแป้ง และผัก),
MI-QUANG (ก๋วยเตี๋ยวน้ำ กุ้งและหมู), CAO-LAU (นึกว่าเกาเหลา แต่กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวแห้งซะงั้น)
" อุ๊ยยย! ลืมตัว"
แค่ความเหลือบบนผิวหมูย่าง 10 ไม้ถ้วน ตามด้วยกลิ่นหอมจากน้ำซุปของ MI-QUANG
เพียงเท่านี้ ก็ทำให้หนุ่มๆมาดคลู เปิบอาหารบนโต๊ะอย่างขาดสติจนเกลี้ยงภายในเวลวาไม่ถึง 10 นาที
จากนั้นอาการวู่วาม ก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดตามวัฎจักร “แน่นครับ! กางเกงแทบปริ”
ตอนนี้พร้อมที่จะหายตัวไปในฮอยอันแล้วครับ
ไม่ทันขาดคำ แค่ 10 นาที จากร้าน เลี้ยวไป-เลี่ยวมา “หลงครับ” หลงทางไม่พอ หลงกับเพื่อนด้วย
โทรไม่รับซักคน สัญญาณก็ดีเหลือเกิน ไม่เป็นไร คนเดียวก็ต้องอยู่ได้
เราข้ามสะพานบริเวณแม่น้ำทูโบนมาเป็นที่เรียบร้อย
เหมือนถูกล่อด้วยแสงจากร้านขายโคมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
บรรยากาศอีกฝั่งเป็นเหมือนไนท์มาร์เก็ตบ้านเรา ข้างทางมีร้านสตรีทฟู้ด
ร้านขายของฝาก และภาพเขียน ที่รายล้อมไปด้วยน้องๆในชุดพื้นเมือง เดินขายกระทงกันเต็มไปหมด
ถามราคาดีๆนะ เพราะมีตั้งแต่ 5k จนถึง 30k VND
ทั้งนี้อยู่ที่วิจารณญาณ และความพิศวาสเลย
จู่ๆ รอบตัวตอนนี้ก็อบอวลไปด้วยกลิ่นความรักจากคู่รักที่รายล้อมอยู่รอบตัว เริ่มมีอาการคัดจมูก
คั่นเนื้อคั่นตัวตอนแรกไม่เห็นจะรู้สึกรู้สาอะไร พออยู่คนเดียวแล้วเห็นคนมีคู่เดินจูงมือกัน
ในบรรยากาศแบบนี้แล้วใจมันแป้วเฉยเลย
“ฮอยอันเล่นกูแล้ว!"
เดินแชะอยู่สักพัก โทรศัพท์ก็สั่น “ในที่สุดก็ให้อภัยจนได้ หรือเพิ่งรู้สึกตัวว่ากูหายไป?”
เดินซื้อของฝากราคาแสนจะแพงกันต่อ
จนเวลาล่วงเลยมาถึง 4 ทุ่ม ร้านต่างๆในละแวกนึ้ ก็ทยอยกันปิด
ผู้คนที่ดูพลุกพล่านในตอนแรก ไม่รู้หายไปไหนกันหมด เหมือนนัดกันมา-นัดกันกลับ
ปล่อยเรา 4 คน เดินตา-กลมกันเป็นเสี่ยวเลย
ถ้าอย่างนั้นคงถึงเวลาต้องกลับที่พักแล้วล่ะ
ยังรู้สึกว่าอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อยอยู่เลย
แต่พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับดานังกัน
ก็ได้! กลับก็กลับ
ตัดภาพมาตอนเช้าที่แสนหนืด ซึ่งเป็นเช้าของวันที่ 5
หลังพยายามงัดร่างกายที่เกือบเป็นหนึ่งเดียวกับเตียงขึ้นมา
ยังเหลือเวลาก่อน เช็คเอ้าท์ ประมาณ 3 ชม. เราจึงตัดสินใจเข้าไปเดินเล่นใน Old Town
จะได้เห็นถึงบรรยากาศทั้งในช่วงเช้า และ เย็น ว่าแตกต่างกันขนาดไหน
เดินเตาะแตะๆกันมาอีกครั้ง ครั้งนี้เราได้เห็นทัศนียภาพของฮอยอันอีกมุมนึง
ความเหลืองของตึกรอบๆ ที่เมื่อสะท้อนแสงอาทิตย์แล้ว ช่างจ้าาา ซะเหลือเกิน
ร้านค้าแถวนี้ ยังไม่ทันจะเปิดกันเลย แต่นักท่องเที่ยวที่มาก็เยอะไม่แพ้ช่วงกลางคืนเลย
ขณะที่แสงแดดแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่หลบแดดระหว่างทาง มีเพียงเงาของต้นไม้และกันสาดใต้หลังคาบ้านเท่านั้น เดินช๊อปกันได้ไม่นาน ก็ต้องแพ้ให้แก่ความร้อนและหนีกลับที่พักกันก่อนที่หน้าจะมืด
เข้าสู่ช่วงสาย หลังจากทานมื้อเช้าที่โรงแรมกันเสร็จ เป็นเวลาที่จะต้องบอกลา
เมืองที่แสนโรแมนติก (ช่วงเย็นนะ) และเดินทางกันต่อ
"โอ้! เจ้ามื้อเช้าของฉัน เหมือนเมื่อคืนเป๊ะ!"
.
เมื่อก้าวขาออกมาเจอแดดปุ๊ป แทบจะมุดกลับเข้าไปเช็คอินน์ต่ออีกคืน
แต่มาขนาดนี้แล้ว ถอยได้ไง เรียก Grab ด่วนเลยเพื่อน!!
สาระหลังจากนี้ ไม่ค่อยจะมีซักเท่าไหร่
เมื่อกลับมาถึง ดานัง เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินชมรอบๆเมือง
จากสะพานมังกร ตรงอย่างเดียว จนถึงชายหาด (My Khe Beach)
ชายหาดที่ขึ้นชื่อว่า ยาวที่สุดในเอเชีย
และต่อกันที่ วอร์คกิ้ง สตรีท ใกล้ๆสะพานมังกร ถึงช่วงค่ำ
**บรรยากาศในเมืองช่วงหัวค่ำ โคตรน่าหลงใหล มองไปทางไหน ก็ระยิบระยับไปหมด
.
ขากลับ เราแวะกินอาหารเกาหลีใกล้ๆที่พัก ร้าน Ẩm Thực Hàn Quốc
ร้านนี้เปิดถึงดึกลูกค้าเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นที่ และด้วยความซนหรือความทราม ก็ไม่รู้
ขณะที่พยายามสื่อสารกับพนักงานในร้าน พี่แมนของเราถือโอกาสเทรนพนักงานในการรับมือลูกค้า
เรื่องมากอย่างเราไปในตัว
ใครมีโอกาสผ่านไปแถวนั้น พวกเราเทรนน้องๆให้แล้ว รับรอง หลู่เรื่องงง!
.
เช้าวันรุ่งขึ้น จากดานัง ได้เวลาที่เราจะลงใต้กันต่อ สู่ โฮจิมินห์
ติดตามกันต่อในโพสต์หน้านะ ❣️
ขอให้เพลิดเพลินครับ
มึงกูไปเที่ยวกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in