เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
มิชชั่น กินพอสสิเบิล JAPAN SUPER BOWLSALMONBOOKS
01: เจแปนนีด

  • ‘Japanese คือ คนญี่ปุ่น ส่วน Japaneed คือ คนลงแดงอยากไปญี่ปุ่น’ 

    ข้อความข้างต้น คือสเตตัสที่ผมโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊คเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งไม่ได้โพสต์เอาเสื่อมเรียกไลก์กันอย่างเดียว แต่หมายความตามนั้นจริงๆ

    การไปญี่ปุ่น มันเหมือนการถูกเพื่อนหลอกล่อให้ดูดยา มันบอกว่าลองดู ไม่ติดหรอก แต่พอเรารับมาหนึ่งปื้ดเท่านั้นแหละ

    เรียบร้อย

    เอาจริงๆ ทางการไทยควรประกาศให้ญี่ปุ่นเป็นสารเสพติดชนิดร้ายแรงได้แล้วนะครับ

    ใครไปญี่ปุ่นจับแม่งให้หมด ข้อหาเป็นผู้เสพ ทัวร์ญี่ป่งญี่ปุ่นก็จับ ข้อหาเป็นผู้ค้า

    ยกตัวอย่าง วิชัย

    ตั้งแต่กลับมาจากไปญี่ปุ่นครั้งที่แล้ว มีอาการลงแดงอย่างเห็นได้ชัด เห็นคนโพสต์รูปแท็กโลเคชั่นว่าอยู่ญี่ปุ่นก็หายใจติดขัด ครั่นเนื้อครั่นตัว ยิ่งพอมีการประกาศยกเลิกวีซ่า บรรดาคนไทยก็ไปโอซาก้า (Osaka) กันง่ายเหมือนนั่งรถทัวร์ไปราชบุรี ไปโตเกียว (Tokyo) กันถี่เหมือนขับรถไปกินไก่ย่างแถวบางแสน ยิ่งเห็นก็ยิ่งอิจฉา จนอยากกระโดดลงทะเลและว่ายน้ำไปญี่ปุ่นเดี๋ยวนั้น!

    แต่สิ่งเดียวที่ยั้งใจไม่ให้ผมไปญี่ปุ่นก็คือ กิเลสเก็บกดจากทริปที่แล้ว

    แม้จะพิสูจน์มาแล้วว่าการไปญี่ปุ่นไม่ได้ใช้เงินเยอะอย่างที่เคยกลัว แต่การไปญี่ปุ่นครั้งแรกของผมเป็นการไปเที่ยวแบบกระเบียดกระเสียร (หรือที่ในวงการท่องเที่ยวเรียกอย่างเท่ๆ ว่า ‘แบ็คแพ็ค’) คือไม่อยากเรียกว่าไปเที่ยวเลย แม่งใช้ชีวิตเหมือนคนพยายามหนีเข้าเมือง ใช้เงินกันเหมือนพกเงินปลอมไปใช้แล้วกลัวเขาจับได้ กดดันตัวเองว่าจน ทำให้ไม่กล้าใช้เงินเท่าไหร่

    อยากกินอะไรก็ไปเกาะกระจกร้าน ถ่ายรูปเก็บไว้แล้วค่อยกลับมากินบุฟเฟต์ที่ไทย (ทุเรศทุรังที่สุด)

    อยากได้อะไร อยากซื้ออะไร ก็เอาแต่ท่อง “ของนอกกายต้องประหยัด”

    สุดท้ายเลยมีเงินเหลือกลับมาเพียบ…

    พอเอาเงินเยนไปแลกคืนเป็นเงินไทย แม่งขาดทุนอีก!

    กูจะไปญี่ปุ่นทำไมวะเนี่ย?!

    ถุยชีวิต!
  • สรุป ทริปที่แล้วไปเพื่อสุมไฟกิเลสตัวเอง จนทำให้ไม่กล้ากลับไปญี่ปุ่นอีกรอบ เพราะรู้สันดานตัวเองดีว่า ถ้าได้ไปญี่ปุ่นอีกครั้ง มันจะต้องมีธาตุไฟเข้าแทรก สติแตก แดกกระจุย ช้อปกระจายแน่ๆ

    แต่ปัญหาก็คือ ผมไม่ได้ลงแดงญี่ปุ่นอยู่คนเดียว

    มยุรีก็โดนด้วย…

    หลังจากกลับมาคราวนั้น มยุรีเดินเป๋ หายใจเข้าเป็นซูชิ หายใจออกเป็นโชยุ เพ้อถึงญี่ปุ่นเป็นพักๆ ผมเห็นอาการเมียสุดที่รักลงแดงแล้วก็ทนไม่ไหว จึงวางแผนหาทางกลับไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกรอบ

    อืม...ไม่อยากไปนักหรอกนะประเทศนี้ ทำเพื่อเมียล้วนๆ



    เออ! กูอยากไปเองแหละ! พอใจยัง!? จบนะ!

    ทีนี้ เราจะหาวาระอะไรในการไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกรอบดี?

    อันที่จริง การที่คนเราไปเที่ยวต่างประเทศ ไม่ว่าจะมีข้ออ้างขั้นพื้นฐานว่า ‘ไปพักผ่อน’ หรือข้ออ้างที่เรียกกันในวงการแบ็คแพ็คเกอร์ว่า ‘ออกไปค้นหาตัวเอง’ ผมก็สำเหนียกตัวเองได้ว่า ไม่ว่าจะไปพักผ่อน หรือออกไปค้นหาตัวเอง มึงก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน

    ดังนั้น ถ้าเรามีเงินอยู่ไม่เยอะ เราก็ไม่ควรใช้ไปกับการเที่ยว เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นดีกว่า

    นอกเสียจาก...เอ่อ...เราจะถือว่าเรื่องเที่ยวเป็นเรื่องที่สมควรจะทำ เป็นการออกไปหาแรงบันดาลใจให้กับชีวิต

    แหม่...พอมีคำว่า ‘แรงบันดาลใจ’ ปุ๊บ ดูหล่อเท่ขึ้นมาเลยเนอะ

    นั่นแหละครับ ไอ้ที่โม้ไปย่อหน้าที่แล้วคือ กระบวนการมองโลกในแง่บวก หรือพูดอีกอย่างว่าหาข้ออ้างให้กับตัวเอง เพื่อทำให้รู้สึกผิดน้อยลง

    หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘หลอกตัวเอง’
  • ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่กรุงเทพฯ น้ำท่วมใหญ่ ราวปี 2554

    วิชัย มยุรี แอนด์สามแมวได้ระเห็จไปอาศัยอยู่บ้านนายแบงค์ บ.ก. บห. สำนักพิมพ์แซลมอนที่ทุ่งครุคริ โดยกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงการลี้ภัย นอกจากการนั่งๆ นอนๆ แล้ว ก็คือการดู ทีวีแชมเปี้ยน นี่แหละครับ

    ทีวีแชมเปี้ยน เป็นรายการที่ชอบจัดการแข่งขันหาสุดยอดผู้คนถึกๆ ทึ่งๆ และโคตรจะเฉพาะทางอย่างการสร้างบ้านบนต้นไม้ แข่งทำอาหาร แข่งใช้ตะเกียบ ซึ่งเวลาดู ผมก็ได้แต่นึกว่าทำไมคนพวกนี้มันต้องจริงจังในการทำอะไรบ้าๆ บอๆ แบบนี้ด้วย

    แต่ในบรรดาการแข่งทั้งหมดที่ได้ดู ผมชอบตอนที่เกี่ยวกับอาหารจานยักษ์มากที่สุด 

    ชอบถึงขนาดที่บอกกับมยุรีไปว่า ถ้ามีโอกาส เราไปกินไอ้อาหารจานยักษ์พวกนี้กันมั้ย

    มยุรีบีบมือผมเบาๆ แล้วบอกว่า “ตามใจที่รักเลย เพราะตัวเองเป็นคนออกตังค์นี่”
    อืม ผมบอกไปหรือยังนะ ว่าเมียผมเป็นคนที่มีเหตุผลมากที่สุดในโลก

    หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็บ่นอยากไปญี่ปุ่นเป็นรอบที่สี่แสน พูดกรอกหูมยุรีจนขี้หูระเหยเป็นไอ

    มยุรี: “บ่นอยู่นั่นแหละ ซื้อตั๋วเครื่องบินไปเลยละกัน”
    วิชัย: “แต่เราไม่ค่อยมีตังค์นะ”
    มยุรี: “เออ ตอนนี้น่ะไม่มี แต่พอซื้อตั๋วเครื่องบินปุ๊บ ตัวเองไม่เก็บตังค์ไม่ได้ละ”
    วิชัย: “...”
    มยุรี: “ถ้าไม่ทำแบบนี้ เมื่อไหร่จะได้ไปญี่ปุ่นล่ะ?”

    นั่นไง ว่าแล้ว...เมียเรามีเหตุผลมากที่สุดในโลก

    ตัดภาพมาอีกที ผมหน้ามืดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หาตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น (โดยมีเมียชักใยอยู่เบื้องหลังในความมืด)

    มยุรี: “เออ แล้วตัวเองรู้ทางเหรอ คราวนี้ไม่มีเฮียนะ” (เฮีย = พี่เต๋า = พี่ชายมยุรี = คนนำทางตอนไปญี่ปุ่นครั้งแรก)
    วิชัย: “...”
    มยุรี: “...”
  • วิชัยหยิบโทรศัพท์ เลื่อนนิ้วไล่หาเพื่อนร่วมชะตากรรมโดยตั้งคุณสมบัติไว้สองอย่าง

    หนึ่ง—เป็นพวกที่ชอบบ่นว่าอยากไปญี่ปุ่นมาแล้วสี่แสนรอบ แต่ยังไม่ได้ไปสักรอบ

    สอง—เป็นพวกที่มีปฏิกิริยาตอบสนองเวลาวิชัยบ่นว่า “อยากไปญี่ปุ่นว่ะ”

    คนที่ผ่านเข้ารอบคนแรกได้แก่ ‘โจ้บองโก้’ เพราะโจ้บ่นว่าอยากไปญี่ปุ่นมาแล้วมากกว่าสี่แสนรอบ และมันเป็นแฟนพันธุ์แท้การ์ตูน วันพีซ บ้าญี่ปุ่นมาก แต่ก็ไม่เคยไปญี่ปุ่นสักที เพราะเหตุผลง่ายๆ ว่า ‘ไม่มีตังค์’ ดังนั้นเวลาที่วิชัยบ่นว่าอยากไปญี่ปุ่น แต่ไม่มีตังค์ ก็จะมีโจ้บองโก้มาเป็นคอรัสอยู่ข้างๆ เสมอ

    วิชัย: “เฮ้ยโจ้! ไปญี่ปุ่นกันปะ?”
    โจ้: “เฮ้ยพี่ ญี่ปุ่นนะไม่ใช่นครปฐม”
    วิชัย: “ตั๋วเครื่องบินถูกนะมึง”
    โจ้: “...แต่ผมไม่มีตังค์”
    วิชัย: “เราก็ซื้อตั๋วเครื่องบินก่อนสิวะ จากนั้นมึงไม่เก็บตังค์ก็ไม่ได้ละ”
    โจ้: “...มันใช่เหรอวะพี่…”
    วิชัย: “มึงต้องใช้วิธีแบบนี้แหละ ไม่งั้นเมื่อไหร่จะได้ไปญี่ปุ่น”
    โจ้: “...”
    วิชัย: “...”
    โจ้: “...เออ จริงว่ะพี่”
    วิชัย: (เข้าแผนกูล่ะ) “เนี่ย เดี๋ยวกูว่าจะชวนไอ้ป๊อกกี้ด้วย”
    โจ้: “อะ โอเค ไปก็ได้”

    บทจะง่ายมึงก็ง่ายเหมือนตัดสินใจไปนครปฐม
  • ป๊อกกี้ คือคนที่ผ่านเข้ารอบคนที่สอง เพราะป๊อกกี้เป็นมนุษย์ที่ว่างตลอดเวลา...คือมันก็มีงานมีการทำแหละ แต่ทำไมมันดูว่างตลอดเวลาไม่รู้ ป๊อกกี้ไม่ค่อยบ่นว่าอยากไปญี่ปุ่น แต่มันเป็นแฟนพันธุ์แท้ AKB48 ซึ่งก็น่าจะเดาได้ไม่ยากว่ามันต้องอยากไปญี่ปุ่นมากแน่ๆ

    วิชัย: “เฮ้ยป๊อกกี้ ไปญี่ปุ่นกัน”
    ป๊อกกี้: “เฮ้ยพี่ ญี่ปุ่นนะ ไม่ใช่นครสวรรค์”
    วิชัย: “ตั๋วเครื่องบินถูกนะมึง”
    ป๊อกกี้: “แต่ผมไม่มีตังค์”
    วิชัย: “เราก็ซื้อตั๋วเครื่องบินก่อนสิวะ จากนั้นมึงไม่เก็บตังค์ก็ไม่ได้ละ”
    ป๊อกกี้: “...ทฤษฎีอะไรของพี่วะ”
    วิชัย: “มึงก็ต้องใช้วิธีหน้ามืดแบบนี้แหละ ไม่งั้นเมื่อไหร่จะได้ไป”
    ป๊อกกี้: “...”
    วิชัย: “ค่าตั๋วไปกลับราคาหมื่นห้า บินตอนมีนาฯ ไป 12 วัน พี่ให้เวลาคิดหนึ่งคืน ไว้พรุ่งนี้จะโทร.มาถามใหม่นะ”
    ป๊อกกี้: “เฮ้ยพี่...เดี๋ย…”

    วิชัยกดวางสายโดยไม่รอคำตอบ

    สิ้นเดือน บิลค่าตั๋วเครื่องบินของสี่คนถูกส่งมาที่บ้านผม โจ้และป๊อกกี้โอนเงินค่าตั๋วเครื่องบินมาให้เรียบร้อย

    ตอนนั้นแต่ละคนก็ยังไม่มีเงินกัน แต่พวกเรามีเวลาประมาณสามเดือนในการเก็บเงิน เพื่อไปญี่ปุ่นให้ได้!
  • มยุรีหันมาถามว่า เที่ยวญี่ปุ่นคราวนี้ เราจะไปทำอะไรกันดี?

    ผมตอบไปอย่างรวดเร็วว่าเราไม่ได้ไปเที่ยวเพื่อแวะแลนด์มาร์ก หรือช้อปปิ้งกันอย่างเดียว การท่องเที่ยวพวกนั้นมันเป็นของประชาชนคนทั่วไป พวกเรามันเป็นคนมีคอนเทนต์ เป็นมนุษย์มีคอนเซ็ปต์ ดังนั้น ทริปญี่ปุ่นครั้งนี้ “เราจะไปกินอาหารจานยักษ์!”

    เห็นมะ พอมีเหตุผลปุ๊บ การเที่ยวก็ดูมีสาระขึ้นมาเลยแฮะ


    และนี่คือปฏิกิริยาจากทุกคน

    โจ้: “กินอาหารจานยักษ์เหรอพี่ เอาดิ ว่าแต่เราจะไปกินกันที่ไหนอะ?”
    วิชัย: “...”

    ป๊อกกี้: “ดีๆๆ กินๆๆ แต่พี่จะหาร้านได้เหรอ?”
    วิชัย: “...”

    มยุรี: “เออ แล้วเราจะไปหาร้านพวกนี้ได้จากที่ไหนกันล่ะ?”
    วิชัย: “...”

    นั่นสินะ...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in