เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Miscellaneoushaveasunnydae
Day16: We should talk about death, shouldn't we.


  • "เฮ้ย คิดจะทำบ้าอะไรวะ"

    ความประทับใจแรกของเอ็มรีสมักเป็นความบรรลัยแรกเสมอ

    ตอนนั้นเขาอายุไม่ถึงสิบขวบ เพิ่งมาอยู่กับพ่อได้ปีกว่า เรียนรู้เรื่องโลกฝั่งนั้นได้ไม่มากเท่าไหร่ พ่อเก็บหนังสือไว้มากมายและให้เขาอ่านได้ทุกเล่ม ตอบคำถามเขาทุกอย่าง (ถึงบางคำตอบเอ็มรีสจะไม่เข้าใจก็เถอะ) รูปประกอบในตำราพวกนั้นสวยงามสยดสยอง พ่อคิดว่าเขาจะกลัวจนไม่แตะ แต่เอ็มรีสไม่ เขาสนใจทุกอย่าง โลกหน้า วิญญาณ ร่างกาย ชีวิต และโดนเฉพาะอย่างยิ่ง ความตาย

    มันดูเป็นเรื่องพิลึกสำหรับเด็กที่จะสนใจอะไรพรรค์นั้น แต่กับเขา ที่ใช้ชีวิตระยะนี้ในสุสาน ความตายก็แค่สิ่งแวดล้อมรอบตัวแบบหนึ่ง

    พ่อเตือนเขาเสมอๆ ว่าชีวิตเป็นของไม่ควรเข้าไปแตะต้อง ไม่ใช่ความตาย แต่คือความเป็น ชีวิต และชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่หิ้วคอเสื้อเขาก็ตะคอกประโยคเดียวกันอยู่

    "ผมเปล่า!" เอ็มรีสแหวกลับ "พ่อ… พ่อ!"

    พ่อเขาไม่อยู่ที่นั่น และชายคนนั้นตัวใหญ่กว่าพ่อเขาเสียอีก หนวดเครารุงรัง ผมเข้มมัดเป็นก้อนไว้ที่ท้ายทอย แต่สิ่งที่เอ็มรีสกลัวที่สุดกลับเป็นดวงตา ตาสีฟ้าซีดลุกวาววาบเหมือนมีเปลวแก๊สระริกอยู่ข้างใน -- ชายหนุ่มยังคงหิ้วเอ็มรีสไว้ เท้าที่ใหญ่ไม่แพ้ตัวขยี้ลบอักขระรอยถ่านที่เด็กชายใช้เวลาเขียนทั้งเช้า เขาหวีดร้อง เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายคงยังมีเมตตาอยู่บ้าง จึงไม่ไปแตะต้องร่างก็อลิซ หนูแฮมสเตอร์ของเขาที่เพิ่งหมดลมไปเมื่อเช้าเลยสักนิด

    "พ่อไม่สอนเลยหรือไงไอ้หนู ว่าอย่าไปยุ่งกับชีวิต" เสียงติดสำเนียงต่างถิ่นดุจัด ชายร่างใหญ่ปล่อยเอ็มรีสลงกับพื้น เขารีบส่ายหน้า ถลาไปตะครุบร่างของอลิซมากุมแนบอก

    "ผมเปล่านะ! ผมแค่อยากได้อลิซกลับมา"

    "มันตายแล้ว นายเอามันกลับมาไม่ได้"

    "ผมทำได้! ผมอ่านตำรามาแล้ว พิธีทุกอย่างเกือบจะครบอยู่แล้ว แต่คุณเข้ามาขวาง!" เขาตะโกนประโยคสุดท้ายพร้อมกระโดดเตะหน้าแข้ง แต่อีกฝ่ายไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิด หนำซ้ำยังเอามือยันหน้าผากเขาไว้กันการกระโดดเตะอีกครั้งเสียอีก

    "พ่อนายไม่สอนจริงๆ สินะ ว่าอย่าไปยุ่งกับชีวิต"

    "ผมไม่ได้ยุ่งกับชีวิต ผมแค่จะยกเลิกความตายของมัน"

    ชายร่างใหญ่พ่นลมออกจมูกอย่างถอนฉิว
    "ยกเลิก? นี่โควทมาจากตำราเนโครแมนซีทั้งประโยคเลยใช่ไหม นายอ่านของใคร เคลลีย์? ดี? เวรเอ๊ย เคอร์วินเอาอะไรให้ลูกอ่านวะ"

    "อย่าว่าพ่อนะ"

    "ให้ตายเถอะ" ชายหนุ่มตบหน้าผากตัวเอง "ฉันจะด่าไปถึงปู่ทวดในหลุมของนายเลยที่ปล่อยให้เด็กเกรดสี่มาล้อเล่นกับชีวิตแบบนี้ -- ไป ไปกับฉัน พ่อนายให้ฉันมาตาม" ว่าไม่ว่าเปล่า มือใหญ่ๆ นั่นกำรอบต้นแขนแล้วลากเขาไปด้วย เอ็มรีสจิกเท้ากับพื้นแน่น มือกุมอลิซไว้แนบอก ตาขุ่นขวาง

    "ผมจะเชื่อคุณได้ไง"

    ชายหนุ่นถอนหายใจ ยอมปล่อยมือ กอดอก
    "ให้ผีตัวไหนในนี้ไปถามพ่อนายแล้วกลับมาตอบก็ได้ ฉันไม่ว่า"

    เด็กชายหรี่ตาลง เขาหันไปหาวิญญาณที่ลอยอยู่ใกล้ๆ ก่อนพึมพำถามเป็นภาษาเวลส์ พลางเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง แต่เขาก็ยังทำเฉย ไม่รู้สึกรู้สา ซ้ำยังกำชับหญิงเอดวาร์เดียนคนนั้นด้วยว่า ให้บอกเคอร์วินด้วยว่าตนเจอลูกชายอีกฝ่าย

    วิญญาณไปแล้ว เอ็มรีสประมวลผลเรื่องทั้งหมดในหัวก่อนนึกขึ้นได้

    "เดี๋ยวนะ คุณเห็นพวกเขาได้เหรอ"

    "เออ" ชายคนนั้นกลอกตา "เตือนไว้ก่อนนะ อย่าคิดจะทำอะไรที่นายจะทำเมื่อกี้อีก มันอันตราย และผลไม่มีทางออกมาเป็นอย่างที่นายคิด"

    "มันจะไปอันตรายได้ยังไง ผมทำตามขั้นตอนทุกอย่าง ผมแค่จะคืนชีพเพื่อนของผม"

    "เตือนฉันนะ ว่าให้คุยกับพ่อนายเรื่องนี้" ชายร่างใหญ่ชี้หน้า "ฉันต้องพูดเป็นครั้งที่สามไหม ว่าอย่าไปยุ่งกับชีวิต"

    "นี่ไม่ใช่ นี่ความตาย"

    "ชีวิต!" เขากดเสียงหนัก ดุดัน แม้ไม่ตะคอกก็ทำให้เส้นผมที่ท้ายทอยเอ็มรีสชี้ชันได้ "ชีวิต ความตาย มันเกี่ยวเนื่องกัน หมอนั่นไม่ควรปล่อยให้นายได้แตะตำราตอนอายุเท่านี้เลย" ชายหนุ่มถอนหายใจ "ฟังนะ ไอ้หนู นายกำลังจะไปยุ่งกับเรื่องไม่ควรยุ่ง แหย่นิ้วในที่ที่ไม่ควรแหย่ และนี่มันไม่ใช่แค่ปลั๊กไฟกัดเจ็บ การคืนชีพอะไรสักอย่างมีราคาต้องจ่ายเสมอ และมันแพงมาก"

    "แต่ผมยินดีจ่าย!" เอ็มรีสร้อง "อลิซเป็นเพื่อนผม ผมยินดีจ่าย"

    "อย่าพูดคำนี้" ชายร่างใหญ่ตวาด และเมื่อรู้ตัว เขาก็ผ่อนเสียงลง "อย่าพูดคำนี้ นายยังไม่รู้ตัวว่าจะต้องเจอกับอะไร เมื่อไม่รู้ก็อย่าพูดคำนี้" ดวงตาสีฟ้าเบิกโพลง ดุดันน่ากลัวยิ่งกว่าเวลาเริ่มแรกที่ได้เจอ
    "และอย่าไปยุ่งกับชีวิต" เขาย้ำ "อยู่ให้ห่างๆ จากมันและกระแสความตาย"

    เอ็มรีสไม่ทันได้ถามว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร เสียงเรียกชื่อของพ่อก็ดังมาจากด้านล่างของเนินเสียก่อน เขารีบวิ่งลงไป และได้ยินเสียงฝีเท้าของชายคนนั้นเดินตามลงมา สีหน้าคร่ำเคร่งของเขาและพ่อของเอ็มรีสบอกชัดว่าทั้งคู่มีเรื่องใหญ่ให้พูดคุย -- ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ หนึ่งในนั้นต้องเป็นเรื่องอลิซของเขาแน่ๆ



    สามสี่วันถัดมาเอ็มรีสถึงรู้ ว่าชายร่างใหญ่คนนั้นคือเคลย์ตัน เดอร์แรม อดีตว่าที่ทายาทร้านขายของเก่าผีสิง และเซียร์ผู้เบือนหน้าหนีพรสวรรค์ตนเอง

    คนที่จะได้มาเป็นเพื่อนสนิทอันน้อยนิดของเอ็มรีส โยราร์ธ -- เพื่อน ลูกค้า และผู้ช่วยให้รอด













    (คิดอยู่นานว่าเอาไว้เรื่องไหนดี แล้วก็ เอ่อ ฝั่งนี้ละกัน)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in