จะบอกว่าเมื่อคืนเนี่ย ผมไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหอะ เอาง่ายๆ เพราะเอาจริงๆเป็นคนนอนหลับยากอยู่แล้วหากอยู่ต่างที่และยิ่งนอนบนรถที่เวียดนามด้วยการที่ขับแบบ แว๊นๆๆๆๆๆๆ ปี๊นๆๆๆ ตลอดทางแบบนี้ก็คือนอนไม่หลับแน่ๆ คือมันก็มีหลับๆเป็นบางช่วงอ่ะ แต่ก็สุดท้ายก็นอนไม่หลับอยู่ดี สุดท้ายคือเรามารู้ตัวอีกทีคือตอนประมานตีสามสี่สิบห้าเพราะคนในรถเขาปลุกทุกคนเลย และพอถึงท่ารถดาลัทปึ๊ป....ไอคนไทยที่อยู่ข้างหน้าแบบเป็นเพื่อนคณะเดียวกัน มหาลัยเดียวกันมาเที่ยวกับเราและเจอกันโดยบังเอิญ 55555555 และที่สำคัญคือเป็นคนที่อยู่ข้างๆห้องเพื่อนเราเอง ตลกอ่ะ โลกมันจะกลมไปไหนวะ เขาพูดเสียงดังออกมาว่า 'โหย คนในสถานนีนี่ใส่เสื้อโค้ทเลยหรอวะ มันหนาวขนาดไหนวะ พอผมลงรถเท่านั้นแหละ โหยยยย แม่งหนาวจริงๆเหอะ หนาวแบบหนาวอ่ะ พอเปิดมือถือดู 17 องศา บ้าไปแล้ววววว ตอนอยู่โฮจิมินท์นี่ยัง 32 อยู่เลยเหอะ ผมรอบคอบดีที่เอาเสื้อแจ๊คเก็ทยีนส์ติดตัวตลอดเวลาทั้งร้อนทั้งหนาวก็กันได้หมด ส่วนเพื่อนผมนี่ใส่เสื้อแขนกุดเลยครับ ดีที่ผมเอาผ้าพันคอมาเผื่อเลยเอาให้เพื่อนยืมก่อน 5555555555 เราทั้งคู่ตกลงกันว่าโอเค เด๋วเรานั่งแท้กซี่ไปถึงที่ทะเลสาบล่ะกันนะ เพื่อที่จะรอดูพระอาทิตย์ขึ้น จากนั้นพอแท็กซี่ไปส่งเราที่ริมทะเลสาบ พวกเราก็เริ่มจะมีความหวัว่าไอที่อ่านรีวิวมาเนี่ยน่าจะทำให้เราดูพระอาทิตย์ขึ้นได้นะ แต่จริงๆแล้ว มันไม่เป็นแบบนั้นไง 555555 ความจริงแล้วคือพวกเราก็ทำได้แค่นั่งรอริมทะเลสาบมืดๆ หนาวๆ และไม่มีมนุษย์อะไรที่ไหนเลยนอกจากเราสองคนที่นั่งโง่ๆอยู่ที่ริมทะเลสาบ 555555 "มึง ไม่เห็นมีพระอาทิตย์ขึ้นตามที่บอกเลยหว่ะ" เพื่อนผมพูดขึ้น"แปปนะ เด๋วกุเช็คแปปนึง" ผมเลยเปิดกูเกิลดูว่าวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นที่ดาลัทกี่โมง "มึงวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นหกโมงว่ะ""ล่ะตอนนี้กี่โมง""ตีสี่ยี่สิบ"เท่านั้นแหละเพื่อนผมส่งเสียงโฮแบบผิดหวังรวมทั้งหมด้วย 555555 ก็ใครมันจะไปรู้ว่าหน้าหนาวเนี่ยดาลัทพระอาทิตย์จะขึ้นช้า ขึ้นประมาณหกโมง ถถถถถถถถถ วงวารตัวเองกับเพื่อน ดังนั้นพวกเราจึงเดินๆย่ำต้อกไปที่โรงแรมเลยครับ
เรื่องพีคยังไม่หมดแค่นั้นครับ เมื่อเราไปถึงโรงแรมและต้องการเช็คอินนั้น พนักงานบอกเราว่า"คุณจะเชคอินได้ต่อเมื่อตีห้าครับ" เอ่า อิผีแล้วทีนี้เอายังไงเนี่ยแล้วที่เดินมาหนาวๆคือต้องการจะนอนป่ะวะ บ้าบอเหอะ 555555555 สุดท้ายแล้วเรายอมจ่ายเงินเพิ่มอีกคนล่ะร้อยเพื่อที่จะได้ห้องที่ใหญ่กว่าเดิมและได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเที่ยวครับอ่ะๆๆไม่ได้จะดึงดราม่าขนาดนั้นนะ ไปต่อ
ทริปนี้เรามาด้วยกัน2 คนถ้วน หาข้อมูลเอง จองโรงแรมเอง เดินทางเอง กางแผนที่เอง โอเคมันก็ฟังดูไม่ยากเท่าไหร่เนอะ ประเทศเพื่อนบ้านแค่นี้เอ้งงง โอเค้ ลุยกันสักตั้งซิด้วยความที่หาข้อมูลมาอย่างดิบดีแล้วว่าควรซื้อซิมการ์ดร้านไหน แลกตังค์ยังไง บลาๆเรื่องหลักๆ ก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาแล้วล่ะ ที่พักก็จองเรียบร้อย โอเค ชิว! ที่เหลือก็แค่เดินทางไปตามจุดเที่ยวที่ต้องการแค่นี้เอง...
แค่นี้เองงงงแค่นี้เอ้งงงง เออ! นั่นแหละปัญหาล่ะทุกคน
เราเชื่อว่าเวลามาต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนแรกๆเราก็ต้องมีสตั๊นกับสกุลเงินกันบ้างใช่มะ เพราะสมองเราโดยอัตโนมัติเนี่ยก็ต้องมีการคำนวณกลับไปเป็นสกุลเงินของประเทศตัวเองเพื่อเปรียบเทียบว่ามันถูกหรือแพงแค่ไหนฟะ โจทย์แรกของเราสองคนก็เหมือนกันค่ะ นั่นก็คือการจ่ายค่าโดยสารบนรถเมล์นั่นเอง(ด้วยความที่เห็นเป็นประเทศเวียดนามเนอะ เรื่องขึ้นรถขึ้นราก็แอบระวังหน่อยนึงงแบบว่าเป็นชาวต่างชาติก็กลัวจะโดนชาร์จเกินจริงอ่ะเน้อ) พอขึ้นมาบนรถเมล์คนขับก็ทำการเดินถามว่าหนูๆที่นั่งหัวโด่วกันอยู่เนี่ย ลงไหนกันจ๊ะ บอกมาซะดีๆนี่ก็บอกออกไปด้วยความมั่นใจตามจุดหมายที่ได้ฝึกฝนมาอย่างดี xxx ค่ะ คนขับก็บอกราคามาจำนวนหนึ่ง ละค่าเงินด่องเลขมันเยอะอ่ะ นี่เลยสตั๊น มันเท่าไหร่วะคิดแป๊บคิดๆๆ สรุปมันถูกหรือแพง มันคนเดียวหรือสองคนเนี่ย เราก็ถามๆคนขับประมาณว่าคนเดียวหรือสองคนคะเพ่ คนขับนางก็โบ้เบ้ออกมาเป็นภาษาเวียดนาม อ้อบอกก่อนว่าในโฮจิมินห์เนี่ย คนส่วนใหญ่ที่ต้องทำงานเจอกับนักท่องเที่ยวบ่อยๆเขาจะค่อนข้างพูดภาษาอังกฤษได้อยู่นะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนอ่ะ สรุปก็คือเรายังงงอยู่ดี (ว่ะ) ว่าทั้งหมดแล้วมันเท่าไหร่นะจนมีคุณพี่ใจดีที่นั่งอยู่ข้างหน้าอาสาหันมาสปีคกับคนขับและทำหน้าที่เป็นวุ้นแปลภาษาให้เราได้ใจความว่า อ๋อ เอ็งสองคนรวมกับกระเป๋าลากของเอ็งอีกหนึ่งใบเนี่ย รวมกัน 15,000นะ ไอ้เราก็ หูย แม่งคิดกระเป๋าด้วยอ่ะ ไรว้ากระเป๋าไม่ได้ใบใหญ่ขนาดนั้นเลย เกินเบอร์อ่ะ! แต่ก็เพื่อความไม่ยืดยาดเราก็รีบๆจ่ายกันไป พอคนขับจากไปเราก็ทำการจิ้มๆๆ 15,000 นี่มันเท่าไหรรรตื่อ ดือ ตึ๊ง … มันคือ 23 บาท!ก็เท่ากับตกคนละ 10 กว่าบาทเท่าน้านน โอเค ไม่บ่นเรื่องกระเป๋าละก็ได้ก๊ากกก
บ่นซะยืดยาวข้างบนเนี่ยแค่อยากเล่าเหตุการณ์ตัวอย่างเป็นทริคสำหรับทุกคนว่าอย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าค่าเงินดองถูกกว่าบ้านเราแต่แค่เลขมันดูมากมายให้งงกันเล่นๆ แค่นั้นเอง โดยหลักจำง่ายๆ สำหรับมือใหม่ก็คือ 10,000 ด่อง เนี่ย มันจะประมาณ 15 บาทไทยอย่างตัวอย่างข้างต้น อีก 5,000 มันก็เท่ากับ 7 บาทเศษๆ เท่านั้น ทีนี้เราก็ลองคำนวณดูกับหลายๆ อย่างมันก็จะช่วยให้ง่ายขึ้นเด้อ เอ้อ แล้วก็ เวลาคนที่นี่เขาบอกราคาเราอ่ะ เช่น 5,000เขาก็จะไม่พูดว่า five thousand ซะให้ยาวหรอกเขาจะพูดแค่ five เฉยๆ เพราะยังไง้ยังไงมันก็ไม่มีอะไรที่เป็นหลักร้อยอยู่แล้วจะเรียกว่าหลักร้อยของเขาเทียบกับเศษสตางค์ของเราก็ไม่ผิดนะ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเลขเยอะขึ้นเช่น 120,000 ด่องคนเวียดนามก็จะบอกเราว่า one twenty เท่านั้นแล
จบจากเรื่องเงินๆทองๆ ไปแล้ว สิ่งต่อไปนี้ที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ การจราจร... โหยไม่พูดถึงก็ไม่ได้อ่ะ ทีเด็ดประเทศเขาเลยล่ะบอกเลยว่าวันแรกที่เดินเที่ยวอยู่ในโฮจิมินห์เนี่ย ความคิดในใจนี่คือถ้าพาพ่อแม่มาด้วยนะ ไม่รอดแน่ๆ 5555ถ้าพ่อแม่จะมาจะบอกให้ไปทัวร์อย่างเดียวเลยจริงๆ
หลายคนคงเคยได้ยินแล้วอ่ะเนอะว่าเวียดนามเนี่ยแทบจะไม่มีสี่แยกไฟแดงแบบบ้านเราเลยนะอ้าว แล้วรถวิ่งกันยังไงอ่ะ? ไม่ชนกันแย่หรอ? เออ ก็นั่นแหละที่สงสัย 5555จนกระทั่งได้เจอของจริง ก็คือว่า รถที่นี่จะวิ่งไปเรื่อยๆ เออวิ่งไปเรื่อยๆ อ่ะก็มันไม่มีไฟแดง ไม่รู้ต้องหยุดเพื่ออะไร เวียดนามควรเอาเบรคมือออกไปจากยานพาหนะทุกคันถ้าจะมองไม่เห็นค่ากันขนาดน้าน ช่วงแรกๆ ก็ไม่ชินเลยคิดในใจทุกครั้งที่ข้ามถนนว่าตรูไม่ได้เอาชีวิตมาทิ้งที่เวียดนามใช่มั้ย ฮืออ แต่แต่ ใจเย็นค่ะ มันไม่ได้น่าจิตตกขนาดนั้นเด้อ เพราะหลังจากทำการรีเสิร์ชแล้วเขาบอกว่าการข้ามถนนที่นี่เนี่ย เดินไปเลยค่ะซิส เดินออกไป นั่นคือแคทวอร์กของยูฟูลเทิร์นสักทีนึงก็ได้ เดี๋ยวรถหลบให้เองแหละ อันนี้ดูน่าเหลือเชื่อแต่ลองกับตัวเองแล้วนะ เดินมึนๆ ไปอย่างนั้นแหละถ้ามอร์ไซค์วิ่งมาก็อาจจะมีบีบแตรใส่นิดหน่อย แต่เขาก็จะชะลอหรือเบี่ยงไปให้ค่ะ ไม่พุ่งมาชนเราหรอกพอได้ลองจริงๆ แล้วก็สะใจดีนะ ให้ความรู้สึกแบบ เออ ทำไมล่ะ จะเดิน หลบไปสิ 555555แต่เอาจริงอย่าไปทำกับแยกใหญ่ๆ ที่รถขับเร็วมากๆ นะทุกคน ด้วยความเป็นห่วงงง
อีกประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็เรื่องบีบแตรเนี่ยแหละ สืบเนื่องจากย่อหน้าบนที่เล่าไปว่าที่นี่แทบจะไม่มีไฟแดงเพราะฉะนั้นที่รถมันไม่ชนกันได้ทั้งๆ ที่แทรกแซงกันขนาดนั้นนี่ก็เพราะแตรเนี่ยแหละมาแรกๆ รับรองว่าคนไทยไม่ชิน อย่างที่รู้กันว่าในบ้านเราเสียงแตรมันเป็นเหมือนเสียงก่นด่าอ่ะโดนใครบีบใส่ทีก็เหมือนถูกด่าพ่อทีด่าแม่ที แต่ที่นี่มันไม่ใช่อย่างนั้นจ้าแตรที่นี่เป็น sign อย่างหนึ่งสำหรับการจราจรถ้าสมมติเราขับรถอยู่บนถนนแล้วมีรถคันหลังบีบแตรใส่เราปั๊บ ไม่ใช่เขาต้องการบอกว่า“ขับเร็วๆหน่อยโว้ยยย อืดอาดอยู่ได้”แต่คนเวียดนามต้องการบอกเราว่า “เตงงง เค้าจะแซงเตงละน้า ระวังซ้ายงุงิๆ” เพราะฉะนั้นไม่ต้องหัวเสียแล้วจะเดินทางในเวียดนามแบบมีความสุขที่สุด เชื่อเถ๊อะ กั๊กๆ
หลายคนอาจจะคิดว่าที่พูดมานี่ด่าอย่างเดียวเลยป่าวว้าไม่น้า จริงๆ ก็ชื่นชมอยู่ลึกๆ ว่าเออ เขาก็ขับกันได้โดยที่ไม่ชนกันอ่ะ เจ๋งดีเพราะรถบ้านเขาไม่ได้ขับเร็วเท่าบ้านเราด้วยล่ะ ที่สำคัญก็คือมอร์ไซค์ทุกคันบนท้องถนนมีมิวินัยในการใส่หมวกกันน็อคมาก เน้น ทุกคันเลยจริงๆจะมีคนซ้อนกี่คนทุกคนก็ใส่หมดเลยอ่ะ สุดยอด น่าเอาเยี่ยงอย่างมากๆ
สำหรับที่เที่ยวในโฮจิมินห์ก็จะเป็นในแนวตึกรามบ้านช่องซะส่วนใหญ่ใครที่ชอบดูสถาปัตยกรรมสวยๆ ก็น่าจะชอบที่นี่ได้ไม่ยาก ทั้งโบสถ์เอยตึกไปรษณีย์เอย พิพิธภัณฑ์เอย มันสวยจริงๆ เด้อ ใครที่ชอบถ่ายรูปเราว่าติดเลยส์ wide ไว้จะดีมาก เพราะสามารถเก็บรายละเอียดกว้างๆ ได้ดีทีเดียว
แต่สำหรับเราเมืองที่ได้ใจเราไปเต็มๆ ก็คือ ดาลัท จ้า มาๆ สายธรรมชาติเร่เข้ามา ดาลัทเนี่ยเป็นเมืองที่ทำเลอยู่บนเขาเพราะฉะนั้นอากาศจะหนาวเป็นพิเศษ ต่ำสุดก็สิบกว่าๆ เซลเซียสเลยทีเดียวแต่ในขณะเดียวกัน ดาลัทมีอะไรที่โฮจิมินห์ไม่มีอ่ะ ไม่ได้พูดถึงเรื่องจราจรหรอกนะเพราะมันเป็นทั้งประเทศ 5555 เราหมายถึงว่า การจราจรดูเบาบางกว่า อันตรายน้อยกว่าเร่งรีบน้อยกว่ากันเยอะเลย แต่ด้วยความต่างจังหวัด คนก็จะพูดภาษาอังกฤษได้น้อยกว่า(มาก) จนถึงที่พูดไม่ค่อยได้เลยก็มี ก็ต้องงัดภาษามือกันมาใช้หน่อยล่ะ เอ้อพูดถึงเรื่องภาษา ก็มีเรื่องฮาๆ มาเล่าให้ฟัง คือตั้งแต่มาถึงเวียดนามเนี่ยเราตระหนักได้ว่าเหล่าแม่ค้า ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าประเภทไหน (หรืออาจจะคนอื่นๆด้วย)เขาก็มีความสามารถในการมองเราออกค่ะว่าเรามาจากประเทศอะไร ที่รู้แน่ๆก็คือตอนที่มีแม่ค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่าเราต้องจ่ายค่าเข้าห้องน้ำเป็นจำนวนเท่านี้แต่ด้วยความที่เรากำลังงงว่าห้องน้ำอย่างนั้นก็เก็บตังค์หรอ -..- แม่ค้าก็คงเห็นเรางง เลยพูดออกมาเป็นภาษาไทยว่า “สองพัน” โห ชัดแจ๋วนึกว่าคนไทยปลอมตัวมาหลังจากนั้นก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่มั่นใจแล้วว่าคนเวียดนามพูดภาษาไทยได้พอสมควรเลย โดยเฉพาะจำนวนเงินนี่เป๊ะเขียว แม้กระทั่งแม่ค้าร้านน้ำเต้าหู้ที่เดินเข้ามาพีอาร์สินค้าว่าเนี่ย “น้ำเต้าหู้ๆ”เท่านี้เท่านั้นบาท ไม่พอมี “โก๋ๆๆ”ด้วย ไม่พออีก “น้ำเต้าหู้ร้อนๆ”อีกต่างหาก ยอมใจการพีอาร์สินค้าเป็นภาษาไทยของแม่ค้าที่นี่จริงๆหลังจากนั้นก็เลยตระหนักได้ว่า เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆภาษาอังกฤษไม่น่าจะจำเป็นในดินแดนนี้แล้วล่ะ ถ้าจะพูดไทยกันชัดขนาดนี้คุยกันแบบภาษาไทยนี่แหละ ผลลัพธ์คือ ได้ผลว่ะ! โคตรทึ่ง 5555ลองดูนะทุกคน ยิ่งเป็นตัวเลขเนี่ยแม่ค้าจะแม่นมาก บอกไปเลยว่าเอากี่อันเอาเท่าไหร่ ถ้าจะถามราคา ไม่ต้องมา “how much” ให้เสียเวลาแล้วค่ะถามไปว่า “เท่าไหร่” เนี่ยแหละหมดเรื่อง เรียบร้อยโรงเรียนไซง่อน
กลับมาที่เสน่ห์ของดาลัทเมืองนี้ธรรมชาติดีมากก อากาศดีมากก ที่เด็ดๆ หลักๆ เลยก็มีทะเลสาบซวนเฮืองแนะนำให้ลองมาใช้เวลาตอนเย็น สัก 4-5 โมง เดินเล่นแถวริมทะเลสาบดูหรือจะลองไปปั่นเรือเป็ดก็ได้ บอกได้เลยว่า ชิวมากกตักตวงบรรยากาศแบบอิ่มอกอิ่มใจไปเลย (ไม่รวมปลาตายนะ แหะๆๆ)อีกทีที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งก็คือกระเช้าไฟฟ้าที่วัดตั๊กลัม อันนี้ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่หาข้อมูลมาอย่างดีเยี่ยมเพราะกระเช้านี้ทั้งสูงและยาวจนถึงขนาดเห็นวิวเมืองดาลัทได้ทั้งเมืองตักตวงบรรยากาศได้เต็มที่อีกเช่นกัน แถมนั่งไปกลับก็ไม่แพงเลยด้วย
พอเดินทางมาถึงเมืองสุดท้ายซึ่งก็คือมุยเน่เหมาะกับเป็นเมืองปิดทริปมากๆ น่าแปลกที่เมืองชายทะเลอย่างมุยเน่มีไฟแดงเยอะกว่าโฮจิมินห์ซะอีกฮ่า มาที่นี่คุณก็จะได้เจอกับดับเบิ้ลทะเล ทำไมน่ะเหรอก็มีทั้งทะเลและทะเลทรายคอมโบอยู่ในเมืองเดียวเชื่อว่าหลายคนที่มาเวียดนามก็มีช็อตเด็ดอยู่ที่นี่กันใช่ม้าถ้ามาถึงแล้วก็อยากให้มาลองเล่นน้ำมหาสมุทรแปซิฟิกกันนะแล้วจะรู้ว่าข้อดีของมันคือ น้ำไม่เค็มเลยอ่ะ! เข้าตาก็ไม่แสบชอบๆๆ อยากเอาไปเปลี่ยนกับน้ำทะเลบ้านเราจริ๊ง ส่วนทะเลทรายก็ไม่มีอะไรจะพูดมากมันสวยจริงๆ ถ่ายยังไงก็สวย เชื่อเถ้อะ อ้อ ที่สำคัญทะเลทรายลมแรงมากกทรายเข้าตาได้ทุกวินาที ใครมีแว่นกันแดดก็เอาติดไปด้วยนะ จะได้กันทรายได้ส่วนหนึ่งส่วนการเที่ยวที่มุยเน่ไม่แนะนำให้เอาของไปเยอะ เพราะต้องเดินขึ้นลงเนินทรายด้วยเดินในที่เปียกๆ ด้วย อากาศร้อนด้วย มันอาจจะทำให้หนักและรุงรังเกินไปจนอาจหมดสนุกเพราะฉะนั้นพกเฉพาะที่จำเป็นและเน้นคล่องตัวเป็นสำคัญเป็นพอ
ยาวมากกยาวมากเกินไปใช่มั้ย นี่กะว่าจะเขียนสั้นๆ มันกลายเป็นงี้ไปได้ไงอ่ะก่อนที่มันจะยืดยาวไปมากกว่านี้ ขอจบเอาแบบหน้าด้านๆ อย่างนี้เลยแล้วกันเป็นการหนีปัญหาดี 5555 นี่ก็หวังว่าจะทำให้รู้จักเวียดนามมากขึ้นละกันเนอะส่วนอยากไปเที่ยวมั้ย ก็ลองไปตัดสินใจกันเอาเด้ออ
ปล.ชาเวียดนามหอมมาก ดีมาก จนอยากกลับไปซื้อมาตุนเยอะๆ
ปล.2รถนอนไปดาลัทนอนสบายม้าก แต่ถ้าส่วนสูงมากเกินต้อาจจะไม่ค่อยสบายนะ -..- อ้อ ถ้าเลือกที่ได้ให้เลือกไม่โซนซ้ายก็ขวานะ เพราะตรงกลางแอร์ไม่ค่อยถึงจะร้อนเอา
ปล.3แนะนำโรงแรมทิวลิปที่ดาลัท! สะอาดมากก เดินทางสะดวกไม่แพงด้วย ส่วนที่มุยเน่รีสอร์ทเยอะมากเลย ถ้าอยากเล่นน้ำทะเลก็ดูดีๆ นะว่ารีสอร์ตติดหาดทรายกับทะเลจริงป่าวเพราะอาจได้รีสอร์ตที่ติดทะเลจริง แต่ไม่มีหาดซะงั้น ฮื่อ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in