เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Me Through The WorldLa Pipe
ฮ่องกงคงเป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว
  • สวัสดีทุกคน ! ประโยคทักทายดูคุ้นๆเนาะ 5555555 นี่เราไม่ได้ออกเดินทางมาสักพักล่ะละนี่ก็รู้สึกแบบชีวิตมันเริ่มวน ลูปวนลูปมาเป็นระยะเวลาประมาณปีหนึ่งแล้ว..... อ้อ ตอนนี้เราเรียนจบแล้วนะ และก้ทำงานได้หนึ่งปีนิดๆ เราเลยตัดสินใจว่าจะออกเดินทางอีกครั้งนึงอ่ะ แต่คราวนี้ก็ไม่รู้เลยว่าอยากไปไหน จนกระทั่ง official line account ของ Expedia เด้งขึ้นมาว่า 'ตั๋วไปกลับดอนเมือง-ฮ่องกง 4,000 นิดๆ พอเห็นแล้วแบบอ่ะ โอเค ไปฮ่องกงก็ได้วะ งั้นๆ ไปฮ่องกงล่ะกัน




    DAY 1 : ทำไมมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยวะ


    เช้าวันที่ 14 มกราคม ได้เริ่มขึ้น ตอนเช้าเราก็แต่งตัวเตรียมตัวไปสนามบิน แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตคนเรามันไม่ได้ง่ายแบบนั้นไง เรารอรถแท็กซี่อยู่นานเลยกว่าจะได้ขึ้น เพราะคันแรกที่เรียก เอ้า ก็ไม่ไป ! พอคันที่สองก็ไม่ไป... นี่ถ้าเรียกอีกคันแล้วไม่มานี่จะเดินไปสนามบินเองแล้วนะ 5555555555 ล้อเล่น ถ้าเดินก็คงถึงพรุ่งนี้ซึ่งเครื่องก็คงออกไปแล้ววว
         ระหว่างที่เรารอเข้าเกตแล้วก็รอขึ้นเครื่องอ่ะ มีความรู้สึกแบบเห้ยนี่เราไม่ได้เดินทางมาคนเดินสักพักใหญ่ๆเลยนะ นับจากตอนทีี่เราได้ไปแล้วครั้งแรกเมื่อประมาณตอนปีสี่ นี่ก็เรียนจบแล้วก็ทำงานมาปีนึงและ พอมางี้ก็รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเลยอ่ะที่ได้ออกเดินทางอีกครั้ง แต่ครั้งนี่มาคนเดียวก็แบบวางแผนและก็อ่านรีวิวมาเยอะ ก็เลยรู้สึกแบบ 'เห้ย ไม่กลัวหรอก ชิวๆ ชิคๆ ฮ่องกงอ่ะหรอ เห๊อะ ! สบาย.... และ แน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่แบบนั้น

    พอทันทีที่เครื่องบินเหยียบสนามบินฮ่องกง ในใจนี่ก็เต้นรัวๆเลยครับ ตอนแรกเราก็แอบกังวลใจนะว่าจะโดนตม.เรียกมั้ย ก็เลยไปขอหนังสือรับรองการทำงานมาก่อนว่าเอ้อ นี่มีการมีงานทำจริงเด้อ ไม่ได้จะมาทำมาหกินที่นี่เด้อ 555555555 และด้วยการเตรียมการที่ดีโดยการจองอะไรต่างๆ มาไว้หมดแล้วจากเว็บ Klook (มันอ่านว่า เค หลูก นะทุกคน) พอถึงสนามบินเราก็ไปรีบเดินไปหา agency ที่จองพวกบัตรโดยสารไว้ เราก็หาอยู่นานเลยว่าบูธมันอยู่ตรง ก่อนออกจากตรงสายพานที่จะไปเอากระเป๋า และก็เดินเด๋อไป ปรากฎว่าโดนเรียกเลยจ้า 5555555 แต่ตอนนั้นก็อ่ะๆ โอเค เราไม่ได้หนีมาทำงานอยู่ล่ะ ดังนั้น โอเค ก็เลยกลายเป็น ตม First time กันไปเลยจ้าา .......
    ......... เจ้าหน้าที่ก็มาถามว่า' มากี่วัน มาคนเดียวหรอ มากับใคร ไปไหนบ้าง พักที่ไไหน แล้วไหนตั๋วเครื่องบินขากลับ เราก็ตอบๆไปตามความจริงอ่ะอ่ะมาอะไรยังไง ก็คิดว่าเออคงไม่มีไรเพราะเรามีเอกสารทุกอย่างครบแล้วสักพักก็ถามใหม่ แล้วสักพักก็ถามอีก ถามคำถามเดิมๆนั่นแหละ จสสุดท้ายอ่ะ ไม่มีไรเขาก็ปล่อยกลับ เลยบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า 'ไหนๆก็จะไปแล้ว ฝากทิ้งขยะหน่อยนะ 555555555

              พออกมาจากตม.ได้เราก็เดินมาขึ้นรถสาย 90B คือจริงๆแล้วเราจองที่พักฝั่งฮ่องกงไปโดยที่ปกติแล้ว ที่พักยอดนิยมในฮ่องกงคือแถว จิ่มซาจุ่ย ประมาณณนี้เนาะ แต่ได้อ่านๆรีวิวมาบ้างแล้ว และอยู่ดีๆที่พักที่เราพักมันก็โฆษณาขึ้นมาในแอปหาที่พัก แล้วแบบเห็นว่าเอ้อถูกดี จองแม่มไปเล้ยยยย 55555 แต่พอมานึกอีกที แบบเห้ยมันไม่ติดรฟฟ.นะ ..... แต่เอาจริงการเดินทางที่ฮ่องกงสะดวกมากเลยนะ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็สามารถไปได้นะ ตอนเราไปรถเมล์มาตรงเวลาและก็รถไม่ติดด้วย...... แหม่ ! น่าอิจฉาซะจริงๆ

              เรานั่งรถเมลล์มาเรื่อยใช้เลาประมาณชั่วโมงครึ่ง แอบนานเหมือนกัน แต่ได้มองวิวเกาะฮ่องกงทั้งเกาะในตอนกลางคืนก็ดีนะ คิดว่าถ้ามารถไฟฟ้าน่าจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ .... ก็แหงล่ะ ใครเขาจะบ้าแบบแกฟะ

             โอเค ถึงที่พักแล้ว เรานอน  Hostel ที่อยู่ริมทะเลพอดี อ่านไม่ผิดจริงๆ มันคือริมทะเลน่ะแหละ วิวจากนอกหน้าต่่างห้องนอนสวยอยู่นะ เพราะมันเป็นเรือประมง มีไฟ และตึกสูงๆ 



    ยังไม่ได้กินอะไรเลยอ่ะ หิว ก็เลยเดินไปเซเว่น ซึ่งการซื้อของท่ีเซเว่นที่นี่ต่างกับบ้านเรามากๆ คือต้องทำเองทุกอย่างเลย ทั้งเวฟข้าว(ซึ่งไม่อร่อยด้วย) และไม่มีถุงพลาสติกให้ด้วยนะ ซึ่งเราว่าเป็นเรื่องดีนะ เพราะมันตัดต้นเหตุของการใช้ถุงพลาสติกโดยไม่จำเป็นออกไปเลยอ่ะ


    แอบนาน แอบเหนื่อยเหมือนกันแหะ วันแรก แต่เอาน่า พรุ่งนี้ก็ได้เที่ยวแล้ว ....... หรอ ?!?!

    DAY 2 : เพราะมัวแต่หลงก็เป็นแบบนี้แหละ  


    เช้าตื่นมาด้วยความงัวเงียเว้ย ตื่นมาพร้อมเจอกับฝรั่งที่มานอนตอนไหนก็ไม่รู้ ใส่กกน.ตัวเดียวอยู่ตรงหน้า --* พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ว่าจะเดินออกไปหาอะไรกินเป็นข้าวเช้าซะหน่อย เราไปเดินเล่นในตลาดสดได้แปปนึง แต่ก็ไม่รู้จะซื้ออะไรดี ประกอบกับคบคนแถวๆนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ยิ่งเป็นคนอายุมากส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้แหละ พอเดินไป McDonald ใกล้ๆหน่อยก็ว่าจะสั่งเบอร์เกอร์กิน แต่เห้ย ! ทำไมไม่พูดภาษาอังกฤษเลยวะ บวกกับด้วยความที่หน้าเราออกแนวๆจีนๆหน่อยๆก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจผิดไปใหญ่เลยจ้าาาา หนักกว่าเดิมแถมรอคิวนานมาก ทนไม่ไหวสุดท้ายต้องเข้า 7 แหนะ อ้อ แล้วก็น้ำเปล่าแพงมั่กๆเลยแจ้ ขสดนึวประมาณ 8 HKD ซึ่งเป็นเินไทยก็ประมาณ 32 บาท .... ใช้จ้าอ่านไม่ผิดจ้า 32 แบบอิเวงงง แพงไปไหน แต่ทำไงได้วะไม่มีน้ำกินหนิ 


    เราจองทัวร์มาจากไทยด้วยแอป Klook เหมือนเดิม ซึ่งโปรแกรมเที่ยววันนี้เราจะไป The Peak และไปวัดเจ้าแม่กวนอิมกันที่ Repulse Bay ซึ่งเรานัดกันไว้ตอนที่ 12.30 อ่ะเค ตอนนี้แค่ 10.00 เองยังพอไปเที่ยวได้ เราเลยนั่งบัสมาลงที่ สถานีืCentral เลย การเดินทางง่ายมากๆ ถึงแม้ฝั่งที่เราอยู่จะไม่มีรถไฟฟ้า แต่เราสามารถนั่งบัสไปได้ ถูกกว่าด้วยนะ 

    พอถึงสถานนี Central เป็นอันรู้กันว่าของ Brandname นี่เยอะมากๆ จะเอากี่แบรนด์อ่ะ ไปเลือกเลย ตามสบายกระเป๋า ดังนั้นเราจึงสามารถเจอคนไมย ฝรั่ง แขก จีน เอาง่ายๆคือคนรวยอ่ะแหละได้บ่อยๆ ส่วนตัวเราที่มาแบบเบี้ยน้อยหอยน้อย ก็ทำได้แค่ถ่ายรูปเท่านั้นแล 555+ TT


    พอถึงเวลานัดเราก็เดินไปที่จุดนัพบบริเวณสถานีรถไฟใต้ดิน เราก็โอเคถูกที่ล่ะ ก็รอ รอ รอ รอ รอ รอไป ชักเริ่มแปลกใจแล้วทำไมชาวบ้านชาวเมืองเข่าไม่มากันวะ ... ปรากฎว่าเราอ่านในใบจองแล้วเข้าใจผิด เขาให้ไปปพบกันข้างบนทางออก แต่อินี่โง่ไง ดันไปรออยู่ใต้ดิน โถถถถๆๆ ใครเขาจะหามึงเจอวะ อิควัยยยยย (ก็คือด่าตัวเองไปแล้ว ด่าออกเสียงด้วย) 

    อ่ะ โอเคพอหายโง่แล้วสามารถไปรวมกลุ่มกับคนในทัวร์ได้แล้ว ก็เดินตามไกด์ไป ระหว่างทางก็ชวนไกด์คุย ไกด์ก็ถามว่ามาจากไหน ก็ตอบว่า "ไทยแลนด์" แล้วไกด์ก็พูดไทยใส่เลย แล้วมีการบอกด้วยว่าตอนแรกนึกว่าคนจีน เราแบบห๊า ดำแบบนี้นี่ยังจีนอีกเรอะ
    พอมาถึง ไกด์ก็ให้เกาะตัวกันเป็นกลุ่ม แล้วก็เดินๆตามกันไป .... ก็เดินไกลอยู่นะ ระหว่างนั้นก็เดินผ่านถนนหลายๆสาย ที่เราสังเกตุคือคนฮ่องกงเวลาจะเดินข้ามถนนจะเดิน เขาจะรอไฟจราจรเสมอ เราก็เอ้อดีจัง ถ้าแถวบ้านเรามีแบบนี้บ้างนะ 5555

    พอมาถึงก้เดินที่รอขึ้นรถรางขึ้นไป คือต่อไปแถวนานมากกกกก เพราะว่าคนเยอะมาก แต่เคราะห์ยังดีที่เราซื้อตั๋วมาจากไทย ยังได้ลัดคิวขึ้นไปก่อน ซึ่งภาพในหัวที่เราคิดไว้ก็คือ เอ้อคงนั่งรถรางชิวๆ ชมวิวสวยๆ อากศเย็นๆ คุยกับคนแปลกหน้านิดนึงงี้ .... ถุ๊ย ! ที่ไหนได้ ต้องไปยืนเบียดเสียดเหมือนยืนบนรถเมล์แล้วคนแน่นๆ รูปอะไรก็ไม่ได้ถ่าย ที่แย่สุดคือต้องทรงตัวเว้ย อิบร้าาา คิดภาพนะว่าโหนรถเมล์คนเบียดๆแล้วแบบขึ้นเขาแบบเต็มอัตราเร่งอะแกรรร โอยยยยย สุดจะบรรยาย .... แต่ก็นะถือว่าเป็นการบำเพ็ญทุกริยาอย่างนึงล่ะกัน

    เมื่อขึ้นมาถึงยอดแล้วแบบเอ้อดีใจล่ะเกิน ไกด์ก็พาเรามาส่งตรงหน้ามาดาม Tusso แต่เราไม่ได้ซื้อบัตรมาดู ก็เลยไม่ได้เข้า แต่ขึ้นไปดูวิวข้างบนมา คือก่อนเราจะอ่ะ ดูรูปว่าเอ้อวิวสวยดีนะ แต่พอมาถึงไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยจร้า คือมีแบบ มันหมอก มันขาวไปหมด เย็นด้วย และพอจะเอากล้องไปถ่ายก็คือกล้องชื้นหมดเลยอ่ะ 55555555 สรุปก็คือ คุณหลอกดาวมาหเลยจร้าาา ไม่เห็นอะไรเลยจร้า ... ตอนนั้นก็งงแบบให้ชั้นมาดูอะไรหรอ ต้องถ่ายรูปกับอะไรหรอ 55555


    ในเมื่อมันไม่มีอะไรแล้วก็อ่ะ ชั้นลงก็ได้ พอลงมาก็เอ้อไปลองวาฟเฟิลดีกว่า คือยังไดี หิวก็หิว หนาวก็หนาว แต่เราก็จะกินไอติมในวาฟเฟิลอ่ะ นึกออกประแกรรร 55555




    เดินเล่นต่อในเขา จริงๆเราเห็นมีฝรั่งวิ่งและก็เดินออกกำลังกายด้วยนะ  สักพักหมอกลงเยอะ เดินไปเรื่อยๆเริ่มเงียบและไม่คน ตอนนั้นก็แบบเอ๊ะที่นี่ที่ไหน Silent hill รึปล่าว แต่ก็เดินไปได้ไม่ไกลหรอก เพราะมันมีป้ายเตือนว่าดินถล่ม เลยหันหลังกลับเลย

    มีใครสงสัยเหมือนกันมั้ยว่า อิคนขึ้นไปเขียนเนี่ย จิตใตทำด้วยอะไร และสงสัยยิ่งกว่านั้นคือมันปีนขึ้นไปเขียนได้ยังไงวะ 55555555


    พอรู้สึกว่ามันหนาวจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ก็เลยลงไปหาที่เที่ยวดีกว่า หนาวก็หนาว  แต่พอไปต่อแถวรอรถรางลงจากเขา โอโห้ ไม่ต่างกับแถวตอนแรกเลยจ้า อิผี ! แถมแถวยาวจนออกมาข้างนอกเลย ก็คือตากลมตากหมอกกันไปเลย ซึ่งตอนนัั่งรถรางเอ้อขากลับได้นั่งก็ยังดีหน่อย ....
    .....ซึ่งก็เหมือนจะดีแหละ
    'ได้นั่งกับครอบครัวแขกเลยจร้าาาา อิิเวนนน กลิ่นคือสุดมาก เราว่าทั้งโบกี้คงแบบเออกุก็ได้กลิ่นเหมือนเมิงนั่นแหละ อย่าบ่น 5555555555ขำแห้ง

    พอไม่รู้จะทำอะไรแล้วอ่ะ เราก็เลยอ่ะ ไหนๆก็มาฮ่องกงแล้ว ก็ว่าจะไปในแต่ละย่านที่มันมีตึกสีๆหน่อย ว่าจะไปถ่ายรูปเก๋ๆ ชิคๆงี้ ซึ่งเราพยามเดินหาทางเข้าอยู่นานมากอ่ะ แบบหลงแล้วหลงอีก คืออีกนิดนึงจะหลงไปอยู่ในบ้านคนแล้ว แล้วเราก็ถามทางคนแถวนนั้นก็คือไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษเลยว่ะ แบบถามง่ายๆว่าอยู่ตรงไหนเด๋วไปเองก็ได้ แต่ปรากฎว่าก็ไม่ได้คำตอบแต่อย่างใด เฮ้อ

    จนเวลาผ่านไปนาน เราเดินจนเมื่อยแล้วอ่ะ หลังก็เริ่มล้า เริ่มเหนื่อยขนิดที่แบบ ฮรือ ตูไม่อยากเดินแล้ว ตูอยากกลับบ้าน ... บ้านแบบบ้านที่ไทยอ่ะ จนคิดว่านี่กูเอาตัวเองมาทำอะไรวะ เดินๆอย่างงี้หรอ แล้วมองเวลา 'โห บ่ายสามล่ะอ่ะ จะไปวัดเจ้าแม่กวนอิมทันมั้ยเนี่ย 

    ตอนนั้นเราไม่สนใจอะไรแล้ว รีบบึ่งไปขึ้นรถเพื่อที่จะไปหาด Repulse Bay เพื่อจะไปไหว้วัดเจ้าแม่กวนอิม 
    แต่ ! เรามาไม่ทัน คือเราไปดูป้ายมาเว้ยว่ามัน รถเที่ยวสุดท้ายมันออกไปแล้ว และแถวนั้นมันไม่มีรถไฟใต้ดินอ่ะ คือเราต้องนั่งรถไปได้อย่างเดียวอ่ะ เห้ออออ...

    สรุป คือ เราไม่ได้ไหว้เจ้าแม่กวนอิมเลยอ่ะ

    เราเลยนั่งเซ็งๆอยู่ตรงงบันไดทางเข้าสวนสนุก Ocean Park ซึ่งก็ใกล้ๆกับที่รอรถแหละ นั่งเหงาหงอยด้วยความเซ็งแบบ เห้อ กูมาทำอะไรตรงนี้วะ เซ็ง อุตส่าเสียตังมาเที่ยวแล้ว แต่แม่งก็ตกรถ อดเที่ยว 

    นั่งเซ็งๆอยู่สักแปปนึง ก็เลยตัดสินใจได้ว่า เอ้อ โมโห อย่างงี้ต้องกิน กิน กิน !! กินอย่างเดียวโว้ย จะกินแม่งให้หมดทุกอย่างเลยว้อยยยยยย แค้นๆๆๆๆๆๆ

    เราเลยตัดสินใจนั่ง <MRT จาก Ocean Park ไปยัง Tsim Sha Jui และก็ตระเวนหาร้านขอวกินกันไปเลยจ้า 

    จำได้ว่าสั่งมาทุกเมนูเลยอ่ะ ทั้งข้าวหมูกรอบ ซุป ก๋วยเตี๋ยว เป็ดย่าง ไก่ทอด นั่นนี่นู้น 55555555 ซึ่งอันนนี้เราดูจากพัรทิปมานะว่าแบบเขาสั่งอะไรบ้าง และอะไรที่มันอร่อยๆ ...... ซึ่งที่เขากินกันในรีวิวอ่ะ เขากินกัน 5 คน แต่นี่กินคนเดียวเลยจ้าาา ยั่วๆ จุกๆ 5555555555


    พออิ่มแล้วก็่อ่ะ สบายใจ ไปหาของหวานกินดีกว่า จำได้ว่าช่วงนั้น Brown Sugar ระบาดหนักมากในไทย และ ทั่วเอเชีย เราก็เลยอ่ะ งั้นเราจะรออะไร ไปกินกันเลยจร้าาา แต่เอาจริงคือแม่งก็ไม่ได้อร่อยขนาดนั้นป่ะวะ เหมือนกินน้ำตาลปีปละลายน้ำอ่ะ

    พอมาถึงตรงนี้เรารู้แล้วอ่ะว่าเราไม่ได้ดูแผนที่เก่งอะไรขนาดนั้น และก็ไม่อยากโทษ Google Map ด้วย คงจะเป็นเพราะความเด๋อของเราต่างหากที่ทำให้เราเด๋ออ่ะ หลงไปหลงมาก หลงมันอยู่นั่นน่ะ เมื่อยก้เมิื่อย 


    แล้วเนี่ยกว่าจะเดินมาถึงจุดที่จะชมการแสดงแสงบนตึกสูงๆที่ริมแม่น้ำอ่ะ ก็เดินหลงมันแล้วหลงมันอีก จำได้ว่ารวมๆแล้วใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ โชคดีที่ว่าเจอคนไทยด้วยกันก็เลยเดินตามไปก็แบบโอเคพอเดินตามไปแล้วก้เจอที่ๆจอดเรือสำเภาสีแดง จำได้ว่ามีคนเรียกว่า The Red Dragon นะ แต่จริงๆมันคือเรือ Aqua Luna ของจริงลำใหญ่เฉียวแหละ ใบสำเภอเป็นสีแดง พอกระทบกับไฟในยามค่ำคืนก็สวยดี


    เจ้ามังกรแดงกลางน้ำ

    พอดู Symphony of Light เสร็จ ราวๆ 10 นาทีได้มั้ง ก็ไม่มีอะไรแล้วก็เลยตั้งใจว่าจะรีบกลับไปนอนเพราะเหนื่อยแล้วโว้ย เดินหอบขาดนั้น เราเดินกลับไปขึ้นรถสาย 90 B เพื่อจะกลับที่พัก แต่ปัญหาเดิมคือเรื่องการเดินตามแผนที่และการเดินทางตามป้ายรถเมล์ ..... โว้ยยยย ทำไมมันหายากจังวะ ทำไมมันเหนื่อยจัง จนเราไม่รู้ว่าจะเดินไปขึ้นป้ายตรงไหน เลยตัดสินใจถามคนแถวนั้น มีผู้หญิงวัยทำงานคนนึงกำลังรอรถเมล์เหมือนกัน เราเลยถามเขาว่าถ้าจะไปขึ้นรถเมล์สายนี้ต้องไปตรงไหน
    'ไม่รู้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวเช็คให้นะ' เขาพูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็ครถเมล์จากแอป ..... ใช้เวลานานแปปนึงเลย เสร็จแล้วเขาก็อธิบายทางเดินไปรถบัสสายนั้น แต่กว่าจะเดินถูก ก็คือรถได้ออกไปแล้วจ้า อิเวงงงงงงง 5555555555555555555555 เนี่ยดูสิ ! ขนาดจะขึ้นรถกลับแท้ๆ ยังต้องรอคันต่อไปเลยอ่ะ คนไม่มีดวงก็คือคนไม่มีดวงอ่ะเนาะ 55555555


    DAY 3 : 'ลดให้หน่อยได้ไหมครับ


    เช้าวันที่สามตื่นมาด้วยความงัวเงีย ตื่นสายด้วยแหละเพราะสงสัยจะเดินเยอะไป เหนื่อยเลยโว้ย 555 เอาจริงนะ ชั้นว่าคนใน hostel มันต้องสงสัยชั้นแน่ๆเลยอ่ะว่าชั้นมาจากไหน ทำไมมันอาบน้ำบ่อยจัง อากาศก็เย็นก็ยังจะอาบน้ำอีกอ่ะ 5555555

    เราออกมารอรถที่หน้าที่พักแบบเดิม แล้วก็ขึ้นรถมาลงที่สถานี..... เอ้าจำชื่อไม่ได้อ่ะ แต่มันอยู่แถวๆ      
    มหลาลัยฮ่องกงนั่นอหละ เดินขึ้น MTR 1แล้วไปลงสถานีที่จะไป "วัด แช กง หมิว" วัดกังหันนั่นเอง วัดนี้คนไทยเยอะนะ คือเป็นที่ๆทัวร์ไทย จะต้องไปเลยอ่ะ 
    พอไปถึงวัดแล้วเรา บรรยากาศวัดเต็มไปด้วยหมอกขาวๆ ... ไม่ใช่ๆ ควันธูปๆ 55555555 เยอะแบบโอยไม่ไหวแล้ว แสบตาไปหมด ทางเข้าเขาจะมีชุดไหว้ให้เราซ์้อไป บูชา มีทั้งธูปแท่งใหญ่ๆ ธูปเล็กๆ แผ่นกระดาษนั่นนี่เอาไว้เขียนชื่อเรา แล้วเราก็ไม่รู้เว้ยว่าให้เขียนตรงไหน เขียนอะไรบ้าง แล้วหนักใจสุดว่าจะเขียนภาษาอะไรดี เขียนไทยแล้วเทพเจ้าจะเข้าใจมั้ยนะ เอ๊ะ หรือจะเขียนอังกฤษดีท่านจะได้อ่านได้ แล้วต้องมีซับคาราโอเกะไว้มั้ยนะ 5555555555555 เดชะบุญ มีทัวร์ไยลง เราก็เลยเนียนไปอยู่ใกล้ๆเขาแล้วก็ถามว่า 'โทษนะครับ ต้องเขียนอะไรตรงไหนบ้างครับ 5555555 แล้วคุณป้าใจดีคนนึงก็บอกว่าต้องเขียน ชื่อนามสกุลที่อยู่ ไรงี้ๆ เราก็ให้ปากกาคุณป้ายืมเป็นการขอบคุณ


    พอถึงจุดไหว้อ่ะ เราจะต้องหันหน้าออกจากวัดใช้ป่ะ เท่าที่อ่านมาเขาว่างี้ แต่พอไปถึงทัวร์แรกที่ไหว้อยู่เขาบอกว่า"หันหน้าเข้าไปหาทางเทพเจ้าเลยนะครับ แล้วอฐิษฐาน" อ่าวสงสัยจำผิดมั้ง ก็หันหน้าเข้าวัดแล้วไปไหว้ตามที่เขาบอก พอกำลังจะเดินไปปักธูปเจออีกทัวร์นึงมาไหว้แล้วบอกว่า "ให้หันหน้าออกไปทางเข้าวัดนะคะ เพื่อขอโชคลาภ บลาๆๆๆๆ" เอ้า! สรุปอันไหนคือสิ่งที่ถูกต้องเนี่ย กำลังจะปักธูปพอดี งั้นไม่ปักล่ะ ไหว้ทั้งหน้าทั้งหลังล่ะกัน เผื่อไว้ก่อน 555555555
    ไหว้พระเสร็จข้างในวัดนี้มีมีเทพเจ้าองค์และกังหันอยู่ เราเลยไปต่อแถวเพื่อที่จะหมุนกังหัน ซึ่งเขาเชื่อว่า จะมีโชคลาภ สุขภาพแข็งแรง และสมหวังตามที่ปราถนา ซึ่งพอจะถึงคิวเรา ก็มีมนุษย์ป้าจากไหนไม่รู้เดินมาแซง แบบเอ้า ป้า อะไรเนี่ย! พอแกหมุนเสร็จป้าแกก็เดินหนีไปเลยจ้า ที่นี่ยืนงงๆไว้อย่างนี้ เราก็อ่ะชั่งมัน อยู่ในวัดในวาใจร่มๆหน่อย และเราก็หมุนกังหันด้วยอินนเนอร์ร้อนรุ่ม 


    จบจากวัดกังหัน ใกล้ๆกันมีวัดนางชีอยู่ จำได้ว่า location ในการถ่ายรูปสวยมาก และไม่ไกล นั่งรถไฟใต้ดินมมาต่อได้ พอถึงวัดข้างในวัดก็สวยจริงๆ สงบร่มรื่น สถาปัตกรรมสไตล์ของวัดมีความเป็นแบบจีนอยู่มาก ที่นี่ตอนเราไปนักท่องเที่ยวไม่ได้เยอะมากนะ อากาศก็ดี ร่มรื่น เราเลยตัดสินใจจะใช้เวลาอยู่นานหน่อย


    คือแบบตลกมากเว้ย ข้างในวัดจะมีพระพุทธรูปและเจ้าแม่กวนอิมอยู่ภายด้านในสุดของวัดช่ะ (ห้ามถ่ายรูปนะ เลยไม่ได้ถ่ายมมาฝาก) ตรงที่ไหว้มันจะอ่ะ จะมีแท่นอยู่ใช้ป่ะ เราก็คนไทยเนาะ ก็ต้องกราบพระตรงแท่นตรงนั้น พอเรากราบเสร็จฝรั่งก็มองด้วยความสงสัยว่าเอ ยูทำอะไรของยูว์น่ะ หื้ม? ..... สักพักมีคุณป้าจีนคนนึงเดินมาตรงแท่นที่เรากราบพระอ่ะ แล้วป้าก็นั่งคุกเข่าบนแท่นแล้วพนมมือ ตอนนั้นแบบ เอ้า! กุกราบผิดท่าหรอเนี่ย ตายๆๆ ก็ว่าทำไมอิตาฝรั่งนั่นมันมองแปลกๆแบบงงๆ แต่ไม่เป็นไร ไหว้ไปแล้วอ่ะ 55555


    ตรงข้ามวัดก็จะมีสวนสวยๆให้ถ่ายรูปอยู่นะ ซึ่งบอกเลยว่าเป็นสถานที่ที่เราชอบที่สุดแล้วในทริปนี้ เราเลยเดินเล่นในสวยนี่นานนิดนึง เพราะบรรยากาศร่มรื่นมาก ต้นไม้ก็สวย มีต้นไม้แปลกๆที่ไม่ค่อยเห็นด้วยนะ ดอกไม้ก็สวยด้วย แต่ที่ๆชอบที่สุดคือ ตรงริมบ่อปลาคาร์ฟ คือปลาเยอะมาก ตัวใหญ่ เเล้วก็มีศาลาไม้แบบจีนโบราณ คือเป็น location ที่ถ่ายรูปออกมาสวยมาเลยนะ ชอบที่นี่จังแหะ



    พอดูเวลาแล้วเห็นว่าเออ เที่ยงแล้วนี่หว่า งั้นเราก็ไปที่อื่นต่อดีกว่า แต่เที่ยงแล้ว หิวอ่ะ .... เดินไปสักพัก เห้ย เจอร้านอาหารด้วยอ่ะ เหมือนกับมันมีห้างเล็กๆ ใช่ห้างมั้ยนะ 555 โชคดีที่พนักงานในร้านพอสื้อสารภาษาอังกฤษได้บ้าง จำได้หิวมากกกก เลยสั่งสเต็กไปและก็กินด้วยความหิวโซ 


    พอกินอิ่มเติมพลังเรียบร้อยแล้ว เรานั่งรถไฟใต้ดินไปกันต่อ 

    และแล้วไฮไลท์ของทริปนี้ก็มาแล้วคือ "วัด หวัง ต้า เซียน" นั่นเองงงง ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรในเรื่องความรักกับเทพเจ้าด้ายแดงเนี่ยแหละ 


    พอมาถึงวัดพูดเลยว่าคนเยอะมากกก แบบมากกกถึงมากกกที่สุดดดดดดด ควันธูปก็เยอะ อะไรก็เยอะ

    พอมาถึงวัดเราเลยขึ้นไปไหว้พระที่ข้างบนก่อนเลย ซึ่งก่อนทางเข้าวัดเนี่ยมีรูปปั้นเทพเจ้า 12 นักษัตรอยู่ เห็นมีคนเดินไปไหว้ตามปีที่เราเกิด แต่เราก็คิดว่า 'เห้ยเราไม่ได้มาบ่อยๆนี่ งั้นไหว้ทุกองค์เลยก็แล้วกัน 5555555 พอไหว้ครบเสร็จทุกองค์แล้ว เราก็ได้เข้าไปไหว้พระข้างใน แต่ด้วยความที่สู้ควันธูปไม่ไหว ก็เลยยืนไหว้อยู่ข้างนอกแทน พร้อมกับเอาคำอธิษฐานจากเพื่อนๆมาด้วย 

    พอไหว้เสร็จข้างหลังวัดจะมีเหมือนสะพานข้ามทางน้ำเล็กๆ เห็นว่าร่มรื่นดีเลยลองไปเดิน เดินไปเดินมา หลง .... หลงอีกแล้ว หาทางออกไม่เจอ คือไม่รู้ว่าจะต้องออกทางไหน 5555

    พอหาทางออกได้แล้วก็เลยออกไปไหว้เทพเจ้าด้ายแดง


    ซึ่งตรงนั้นเขาจะมีด้ายให้อยู่แล้ว ตอนเราไปด้ายก็เกือบจะหมดแล้ว โดยก่อนไหว้เนี่ยจะต้องทำมือเป็นรูปคืบด้ายอยู่อ่ะ เอานิ้วสอดกันทั้งสองมือ ... อธิบายยากอ่ะ ดูในภาพแทนล่ะกันนะ ซึ่งตอนคีบด้ายไปยังองค์เทพอ่ะ ด้ายห้ามหลุดนะ จากนั้นถ้าจะขออะไร อยากได้ใคร แบบไหน อยากได้เมื่อไร ก็ขอไปเลย ลง Detail ให้ละเอียดด้วยนะ รูปร่างหน้าตานิสัยผิวพรรณฐานะ แบบเจาะลึกเผื่อองค์เทพท่านจะเห็นใจเราและเมตตาตามสเป็กเราบ้าง ซึ่งเมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ให้นำด้ายไปถูที่เท้าของคูบ่าวสาว ทั้งซ้ายและขวา เราจำไม่ได้ว่าไหว้แบบเป๊ะเป็นไงเราเลยขอว่าอยากได้ความรักๆดีที่เหมาะกับเรา เมื่อทุกอย่างมาพร้อมแล้ว ประมาณนี้ แล้วก็ผูกได้แดง .... ก็ขอให้ได้อย่างที่ขอไว้แล้วกัน สาธุ ! 


    ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว เราซื้อตั๋วนั่งกระเช้าลอยฟ้า ไปไหว้พระองค์ใหญ่บนเขาไว้ ซึ่งวิธีการเดินทางก็ง่ายมาก นั่ง MTR อย่างเดียวเลย แต่อันนี้นั่งไกลหน่อยนะ จำได้ว่าจากวัดหวังต้าเซียน ต้องเปลี่ยนสถานนีประมาณ 2 สายอ่ะ ใช้เวลาพอตัวเหมือนกัน เกือบชั่งโมงได้มั้ง ดังนั้นถ้าใครจะมาก็เผื่อเวลาไว้ดีๆล่ะกันนะ

    พอลงจากสถานีก็เดินมาอีกสักแปปนึง มีทางให้ขึ้นกระเช้าไปอยู่ ตอนแรกก่อนมาที่ฮ่องกงเนี่ย เพื่อนเรามาก่อนสักสัปดาห์นึง โดยที่สัปดาห์น้้นคนเยอะมาก เพื่อนเราบอกว่ากว่าจะได้ขึ้นกระเช้า ต่อคิวตั้งชั่วโมงนึง แต่เราโชคดีหน่อยพอไปถึงไม่มีคนเลย เลยได้นั่งกระเช้าออกมาแบบสบาย ..... หึ๊ เกือบดีแล้วล่ะถ้าไม่ได้นั่งกับมนุษย์ป้าจีนอ่ะแกรรร นี่คือกะจะนั่งชมวิวเงียบคนเดียว นังป้าจีน 3 คนอ่ะขึ้นมาแล้วก็ไลฟ์บนกระเช้าอ่ะแกรร แล้วคุยกันอิโล้งโช้งเช้งกันไปหมด ชั้นแบบโอยยยย อะไรวะเนี่ย แถมมีการใช้ถ่ายรูปด้วยนะ ตอนแรกเขาพูดภาษาจีนใส่เรา เราเลยแบบ Sorry ? เอาให้รู้กันไปเลยว่า ถึงหน้ากูจะจีนแต่กูไม่จีนนะว้อยย คนไทยๆๆๆๆ ยัยป้าก็ทำหน้างงๆแบบ เอ้า ไม่ใช่คนจีนหรอ ใช่หรอ 55555


    ลงจากกระเช้าด้วยความเอียนทั้งเสียงป้าจีน กลิ่นปากเอย อะไรเอย พออกจากกระเช้าก็แบบเห้อ รอดละตู พอรอดจากนั้นมาได้ เราก็เดินเท้าเข้าไปที่ทางเข้าเลย เราจะเห็นพระองค์ใหญ่แบบมากๆๆๆ ตระหง่านอยู่บนยอดเขาเลยนะ แค่เดินไปจะขึ้นไปไหว้ก็คือเหนื่อยแล้ว แต่ในบริเวณนั้นก็กว้างมากๆแบบมากๆ เราเลยว่าเอ้องั้นเดินเล่นหน่อยล่ะกัน ระหว่างทางก็จะเป็นเหมือนหมู่บ้านเล็กๆ มีร้านรวงต่างๆนาๆ เดินเล่น ถ่ายรูปได้ น่ารักดีนะ อากาศก็ไม่ร้อนเท่าไร เดินสบายๆได้เลยอ่ะ พอเดินเรื่อยๆแล้วก็ดีนะ แต่เริ่มเมื่อย 555

    พอมาถึงตรงทางขึ้นแล้ว เอาจริงๆก็สูงเลยนะ สูงเลยแหละ ตอนเดินขึ้นไปเเล้วก็เหนื่อยเอาเรื่องเลยตอนเดินอ่ะ อิบร้าาา 5555 นี่ก็ว่าตัวเองฟิตพอสมควรเลยนะ แต่ก็หอบอยู่ดีว่ะ


    พอถึงแล้ว เราก็เดินวนรอบพระ เดินพนมมือสวดมนตร์ตามคนข้างหน้า พระองค์ใหญ่มากกก

    พอวนจบครบแล้วก็สำรวจรอบๆฐานพระ ตรงนั้นจะมีมุมสวยๆให้ไปถ่ายรูปอยู่นะ สวยดี วิวดีด้วย

    ขาขึ้นว่าเหนื่อยแล้ว ขาลงน่ะหรอ อื้อหื้อ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย จำได้ว่าต้องพักสักหนึ่งนาทีเลยอ่ะ เหนื่อยจริงเหนื่อยจัง

    พอลงมาแล้วก็จะมีวัดอยู่ข้างในอีกที ข้างในเทวรูปเจ้าแม่กวนอิม (ใช่มั้ยนะ) เป็นปางพันกรอ่ะ องค์ใหญ่อยู่เหมือนกัน แต่เราไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะมีพระทำวัตรอยู่ อ้อแล้วก็ห้ามถ่ายรูปด้วย แต่รงนี้พอจะมีมุมเล็กที่พอถ่ายรูปแล้วจะเห็นองค์พระองค์ใหญ่อยู่ไกลๆ มองแล้วสวยดีนะ


    เริ่มเย็นแล้วล่ะ เดินทางรูปจนหมดแล้ว ก็ไปต่อแถสนั่งกระเช้ากลับ ซึ่งขากลับคนเยอะ ต่อแถวตั้ง 20 นาทีแหนะ รอบนี้คนนั่งเต็มกระเช้าเลย เพราะมันเย็นด้วยมั้ง คนเลยแย่งกันกลับแล้ว เพราะเหมือนกระเช้ามันปิดเร็วอยู่นะ แต่ก็ถ้าไม่ทันก็กลับรถบัสได้ แต่นี่ทันจ้า 55555555


    พอกลับจากที่นั่นก็หิวแล้ว แพลนตอนดึกก็คือการไปตระเวนหาของอร่อยๆกิน และก็ไปหาของฝาก ซึ่งร้านของฝากที่เราของก็ถูกดีนะ แต่พีคตรงที่มีข้าวตรังของไทยขายด้วยเว้ย 5555 ตอนนั้นแบบ เอ๊ะรึซื้ออันนี้ไปฝากเพื่อนดีน้าา

    DAY 4 : All day in Disneyland


    นอกจากการไปไหว้พระเพื่อเป็นศิริมงคลเมื่อตอนต้นปีแล้ว การมาที่ี Disneyland Hongkong ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้เรามาฮ่องกงแหละ

    ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปีก่อนเราได้ไปดูคอรเสิร์ตวงออเครสต้าที่เล่นเพลงดังๆของ Disney ประกอบกับการที่ชื่อชอบดีสนีย์อยู่แล้ว เลยไม่ยากที่จะอินตามไปด้วย เลยคิดว่าการมาฮ่องกงในวันสุดท้ายก็ควรจะต้องมาที่นี่ด้วยแหละ ไม่งั้นมันคงไม่ Complete ล่ะมั้ง


    เราตื่นเช้าด้วยความสดใน เพราะรู้ว่าวันนี้คงเป็นวันเดียวที่ไม่ต้องแพลนอะไรเลย คืออยู่ในดีสนีย์แลนด์ทั้งวัน จนกว่าจะถึงเวลากลับแค่นั้นแหละ เลยโล่งใจแปลกๆแหะ ตอน Check out จาก hostel ก็คุยกับเจ้าหน้าที่แถมเดาถูกด้วยว่าเป็นคนไทย เพราะชื่อยาว 555555

    พอนั่งรถมาลงที่สถานีรถไฟ รอบนี้คือเหนื่อยหน่อยเพราะต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่หลัง ไหนจะกล้องนั่นนี่อีก ปวดบ่ากันไปเลยแหะ

    ใช้เวลานั่งรถไฟนานเหมือนกันนะกว่าจะดีสนีย์แลนด์ จำได้เลยว่าต้องไปเปลี่ยนขบวนเป้นสายสีชมพู ซึ่งเป็นสายเดียวที่จะพาเราไป Disney Land Resort นั่งไฟดีสนีย์แลนด์ประมาณ 20 นาทีเลยแหละ ข้างในรถไฟน่ารักมาก เพราะมีการประดับตกแต่งด้วยมิกกี้เม้าส์ทั้งขบวนเลยอ่ะ น่าร้ากกกกกก

    เราว่าเราโชคดีนะที่ปริ้นตั๋วมาแล้วจากไทย เพราะตอนจะเข้าไปข้างในเหมือนเครื่องแสกนมันเป็นอะไรสักอย่างเนี่ยะแหละเลยช้า แต่ดีที่ปริ้นออกมาเลยแสกนปรื๊ดเดียว ผ่าน ! แต่ก่อนจะเดินเข้าไปเหมือนมีเเคสเมมเบอร์เดินมาสอบถาม คล้ายๆกับ questionnair อ่ะ แต่ถามว่าอะไรบ้างจำไม่ได้แล้ว ซึ่งตอนแรกเขาเดินมาพูดภาษาจีนกับเรา เราเลยแบบ Sorry ?? แต่ในใจนี่คือแบบ อีก-แล้ว-หรอ-ตู-ไม่-ใช่-คน-จีน-เฟ้ยยยยยยยยยยย 55555 แบบไม่ไหวแล้วแกร โดนถามตั้ง 4 วันติดอ่ะคิดดู !



    พอเข้ามาข้างในนี่เหมือนกับเมืองในเทพนิยายจริงๆนะ สีสวยมากกก แต่น่าเสียดายตอนที่เราไปปราสาทซ่อมอ่ะ คือเลยไม่รู้จะถ่ายรูปยังไงให้โซนนี้มันสวยอ่ะ คือเขากั้นแบบไม่ให้เข้าเลย เสียดายจังวุ้ย

    เราเลยเริ่มเดิน เรริ่มถ่ายรูปเลยในโซนนี้ก่อน เพราะเราไปตั้งแต่เช้ามากๆ แต่หลัง 10 โมงนี่คนเยอะมากเด้ออ ดังนั้นถ้าไปตอนสวนสนุกเปิดก็จะดีมาก เพราะบาง location ก็ยังไม่ค่อยมีคน ซึ่งตอนเดินเล่นเนี่ยเพลินมากกก ของสวยๆงามๆที่เป็นของดีสนีย์ทั้งหมด (แอบแพงด้วย) เราเดินถ่ายรูปเล่นแถบจะทุกร้านเลยมั้ง อากาศก็เย็นสบาย ไม่มีแดด 


    ไปเล่นเครื่องเล่นบ้างดีกว่า เริ่มต้นด้วยโซน Iron Man ข้างในจะมีคล้ายๆกับโรงหนัง 3 มิติที่ต้องใส่แว่นสามมิติดูซึ่งสนุกมาก เหมือนกับ Iron Man จะพาเราเข้าไปทัวร์ในบริษัทของเขา สักพักจะมีสัตว์ประหลาดบุกมาโจมตีรถที่เรานั่งอยู่ข้างใน แล้วเราจะเห็น Iron Man แบบ 3 มิติอ่ะ นั่งไปเก้าอี้เข่าไป แหม่สมจริงๆมาก รวมแล้วก็ตื่นเต้นดี 55555 แล้วก็ยังมีร้านขายอุปกรณ์ต่างๆ ของที่ระลึก ที่เกี่ยวกับฮีโร่ผู้ตั้งจักรวาลผู้นี้เยอะแยะเลย

    ออกมาแล้วก็เดินแวะไปดูโชว์บ้างดีกว่า เดินๆผ่านแล้วเจอโชว์ "โมอาน่า" คือด้วยความที่เป็น Disney Land ฮ่องกงอ่ะเนาะ นักแสดงบางคนเลยเป็นอาตี๋อาหมวยกันมาเลยย อย่างเริื่องนี้คนทีี่แสดงเป็น มาวอิ ก็เป็นคนเอเชียนะ เป็นอาตี๋มาเลย ในขณะที่โมอาน่ามีความเป็น Original อยู่ ก็ดูน่ารักดีแหะ อ่อ ภาษาที่บรรยายมีทั้งจีนปนอิ้ง และเป็นอิ้งล้วนเลยก็มีนะ 


    ส่วน Show ต่อมาที่ห้ามพลาดคือ Lion King เพราะดีมากกกกกก แต่เดินไปไกลนิดนึงนะ ตอนแรกเราไม่ได้คาดหวังว่าจะไปดูเลยเพราะไม่รู้ แต่เห็นเหมือนคนเดินไปไหนกันเยอะๆนะ สงสัยแล้วก็ตามไป สักพักถึงได้รู้ว่าอ้ออออ โชว์ไลอ้อนคิงนี่เอง ดีนะ  โชว์สวยงาม แสงสีเสียงอลังการ นักแสดงดีงาม โดยเฉพาะพวกหุ่นที่ีมันขยับได้อ่ะ สมจริงมากกก ดูแล้วรู้สึกเหมือนมีชีวิตเลยอ่ะ

    เริ่มเที่ยงล่ะ หิว ไปหาไรกินดีกว่า

    ต่อกันที่ไปล่องเรือผ่านบ้านทาร์ซาน สนุกดี แต่ดูดีๆนะว่านั่งเรือถูกลำหรือเปล่า เพราะมันจะมีสองแถว แถวนึงจะบรรยายเป็นภาษาจีน อีกแถวนึงบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ แน่นอนว่าชาวไทยอย่างเราๆที่ถึงแม้จะโดนทักว่าเป็นคนจีนมาตลอด 4 วันเต็มก็ตาม ก็ต้อวไปลำบรรยายอิ้งสิจ๊ะ รอไร ซึ่งระหว่างทางที่ล่องเรือไป น้ำมันก็เชียวๆช่ะ นี่ก้รู้สึกแบบเอ๊ะ รึที่นี่จะมีจระเข้จริงๆนะ 

    ไปต่อกันที่รถไฟเหาะ ตอนแรกเราก็ว่าเห้ย คงธรรมดาๆแหละ แต่พอเอาจริงโห กรี๊ดลั่นเลยจ้าา หมดกันความเข้มแข็งที่สั่งสมมา 5555 แต่เอาจริงๆสนุกนะ เราว่ามันเป็น A Must สำหรับอะไรที่ต้องมาเล่นที่นี่เลยแหละ ซึ่งปกติเนี่ยมันต้องนั่งแถวละสองคนช่ะ นี่มาคนเดียวอ่ะ เขาก็เลยให้เรานั่งคนเดียว ก็ดีนะ ถ้าจะให้ไปนั่งกรี๊ดข้างใครก็ไม่รู้ คงเขินแย่เลยอ่ะ 55555


    ไปให้สุดกันเลยจ้าที่ Toy Story Land อันนี้แม่งโคตรเวียนหัว แต่เราเห็น่าแถวมันยาวเลยไม่ได้เล่นเยอะ อีกอย่างกลัวอ้วก สูงเกิ้นบางอันอ่ะ



    พอสัก 4 โมงเย็นเราเห็นว่าใกล้เวลาขบวนพาเหรดแล้ว ก็รีบไปจับจองที่ดีกว่า รู้สึกว่ารอนานเหมือนกันนะ โชคดีที่ไม่มีแดดเลย เลยได้นั่งรอริมถนนสบายๆ แต่สักพักไม่รู้ว่ามวลมหาประชาชีมากจากไหนกันไปหมดดด อิบร้าาา อยู่ดีมนุษย์ลุงมนุษย์ป้าจีนก็มากแย่งที่นั่งชั้นไป อะไรฟะะะ


    แต่พอพาเหรดมานี่มีความสุขมากเลยนะ ตัวละครในวัยเด็กเราามากันหมดเลย  บรรยายไม่ถูกอ่ะ ให้ภาพเล่าเรื่องแทนล่ะกันนะ


    เสร็จแล้วเราไปดูโชว์อีก 2 ที่คือในบ้านอะไรสักอย่างอ่ะ อันนี้ดีเลยอ่ะ แนะนำ คือเขาจะให้เรานั่งในถ้วยกาแฟหมุนๆ ซึ่งอันนี้เราก็นั่งคนเดียวอีกแล้วจ้า อะโลนไปเลยเด้อ โดยที่ภายในบ้านก็จะเป็นห้องๆที่มีของวิเศษ มี affects ตระการตา สวยนะ มีความ 3 มิติ 4 มิติเบาๆ

    ต่อด้วยโชว์สุดท้ายคือ โชว์เจ้าหญิงดีสนีย์ข้างใน น่ารักสวยงาม จำได้ว่ามีราพันเซล แอเรียล และเอลซ่า มีโอลาฟด้วย


    พอเริ่มค่ำช่วงเวลาท่ี่เรารอคอยมาถึง คือช่วงพาเหรดตอนกลางคืนที่มีไฟสวยอ่ะอ่ะ นั่นแหละ จะบอกว่าเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้เลยนะ แสงสีสวยมาก ถ้ามีกล้องดีๆคือถ่ายออกมาแล้วสวยมาก นี่คือเราเพิ่งซื้อกล้องมาใหม่ หัดถ่ายเลยไม่ได้ปรับแต่งอะไรเลย แต่เท่านี้ก็โอเคเนาะ 555555


    พอมาถึงขบวนสุดท้าย ก็คือ "Mickey Mouse" พระเอกของเรานั่นเอง ซึ่งมิกกี้ใส่ชุดคลุมยาวสีแดง พร้อมกับหมวยจอมเวทย์สีฟ้าลายพระจันทร์กับดาว คือสำหรับเรามันพิเศษมากเลยอ่ะ เพราะเรามีตุ๊กตาตัวนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆแต่ได้มาเห็นกับตาแบบนี้รู้สึกเหมือนฝันเป็นจริง ใครจะไปคิดกันล่ะว่าวอลท์ ดีสนีย์ คนที่พ่อไม่ยอมรับในเรื่องการวาดการ์ตูนจนต้องแอบไปวาดมิกกี้เมาส์ที่โรงนา จนกลายเป็นอภิมหาอาณาจักรดีสนีย์ได้ขนาดนี้ ซึ่งเริ่มต้นโดยเจ้าหนูเนี่ยแหละ "มิกกี้ เมาส์"






    แต่ถ้าคุณคิดว่าเรื่องมันจบง่ายๆแค่นี้ล่ะก็ คุณคิดผิดครับ ความพีคมันอยู่หลังจากนี้ต่างหาก

    พบจบขบวนพาเหรดสุดท้ายด้วยเวลาประมาณสองทุ่ม เราต้องรีบไปถึงสนามบินก่อนสามทุ่ม เพราะเครื่องออกสี่ทุ่ม เราก็รีบวิ่งเลยจ้า ด้วยตวามกลัวคนเยอะ กลัวไม่ทัน จำไม่ได้ว่าชนใครไว้รึเปล่า ถ้าชนแล้วจำกันได้ก็ขอโทษด้วยเด้อ555 พอรับกระเป๋าเสร็จเราก็รีบไปรอรถไฟ เพื่อที่จะไปสนามบิน ส่วนขบวนที่ไปสนามบินเนี่ย ค่อนข้างดี แบบที่นั่งก็ดี อะไรก็ต่างไปจากขบวนที่นั่งปกติ คือจะนั่งเหมือนรถทัวร์ที่นั่งสองชั้นอ่ะ ดูดีมั่กๆเลย

    แต่ปัญหาอยู่ที่มีการเปลี่ยนเกทกระทันหัน แล้วเราโดน "Final Call" ครั้งแรกในชีวิตเลยจ้า อิเวนนนนน เรื่องของเรื่องก็คือเราเผื่อเวลาไว้แล้วว่าจะไปถึงก่อนแล้วไปนั่งกินกาแฟชิวๆในเกท แบบสบายๆ ชิลๆ ค่อยๆรอเรียกงี้ แต่ความจริงคือเปลี่ยนเกทไม่พอ เปลี่ยนเวลาด้วยจร้า เราก้ถามเขาว่า "นี่ยูเปลี่ยนเกทแล้วทำไมไม่ปรกาศไม่แจ้งอะไรเลย" สิ่งที่ได้กลับมามีแต่บอกว่าให้รีบเดิน .... อิบ้าเอ้ย !

    นั่นแหละการเดินทาง Solo ของเราอีกครั้งในต่างๆแดน คือเอาจริงไม่ได้อยากไปคนเดียวไรงี้เลย คือมันอยู่ในจังหวะที่เออ ว่างก็ไป ขี้เกียจรอคนด้วยแหละ แต่ถามว่าทริปนี้เหงาไหม เอาจริงก็นิดนึงนะ แต่โดยรวมแล้วก็เหนื่อยดี ..... ครั้งนี้เดินเมื่อยมากๆ แต่ก็นั่นแหละ พอจบทริปก็คิดว่า พอผ่านแต่ละการเดินทางมา ทำให้เราได้ผ่านการทดสอบตัวเองไปอีกแบบที่ว่า ' เราจะผ่านมันไปได้มั้ย ' เราจะรอดมั้นนะ สุดท้ายก็เป็นคำตอบที่เราอยู่แล้วใจว่า 'ยังไงก็ต้องรอด .... ยังไงก็โตขึ้นอีกขั้นแล้วนะ ตัวเรา







       


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in