เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Music speaks for me.puroii
15 วงอินดี้ที่อยากให้ลองฟัง
  • วงอินดี้ดัง ๆ ที่เป็นที่รู้จักกันในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น LANY, Wolf Alice, Blossoms, Catfish and the Bottlemen, Sundara Karma ฯลฯ กว่าจะกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ใครลุกขึ้นมาจับเครื่องดนตรีก็ล้วนเริ่มต้นมาจากจุดเล็ก ๆ ที่ไม่มีคนรู้จักกันทั้งนั้น วงการเพลงปัจจุบันก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละปีมีวงดนตรีใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาตลอดเวลา นักฟังเพลงหลายคนคงไม่พลาดที่จะขวนขวายหาซาวด์แปลกใหม่มาเติมเต็มอรรถรสของการฟังเพลงให้มีสีสันมากขึ้น 

    วันนี้เราเลยอยากมาแบ่งปันวงดนตรีที่ชอบ อาจจะมีทั้งหน้าใหม่และหน้าเดิม แต่บางวงที่รู้จักกันเยอะแล้วคงไม่ได้พูดถึงมากเท่าไร ขอเปิดโอกาสให้วงใหม่ ๆ เข้ามามีพื้นที่บ้างแล้วกัน 


    เพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาลุยกันเลย! 



    1. The Academic

    Facebook Twitter | Instagram | Spotify
    ที่มา: ประเทศไอร์แลนด์
    แนวเพลง: indie rock, indie pop 
    สมาชิก: 

    • Craig Fitzgerald (กลาง) - ร้องนำ/กีตาร์
    • Dean Gavin (ขวา) - กลอง
    • Matthew Murtagh (ซ้ายล่าง) - กีตาร์
    • Stephen Murtagh (ซ้ายบน) - เบส

    (แมทธิวและสตีเฟ่นเป็นพี่น้องกัน แมทธิวเป็นพี่ สตีเฟ่นเป็นน้อง)

    เครกบอกว่า The Academic โตมากับเพลงอินดี้ป็อปและวงอย่าง The Kooks, The Killers, Kings of Leon, The Strokes พวกเพลงอินดี้ป็อปที่มีกีตาร์ริฟฟ์ดี ๆ และเมโลดี้ติดหู แนวทางในการทำเพลงของ The Academic เลยใช้กีตาร์เป็นหลักร่วมกับท่อนฮุกที่จดจำง่าย

    วงนี้เพิ่งออกเดบิวต์อัลบั้มไปเมื่อต้นปี 2018 นี้เอง อัลบั้มแรกนี้มีชื่อว่า "Tales From The Backseat" ซึ่งรวมเพลงดังอย่าง Bear Claws และ Why Can't We Be Friends? เข้าไปด้วย
     
    สิ่งที่โดดเด่นนอกจากเพลงที่สดใส ฟังง่าย และติดหูตามที่เขาได้เคลมไว้แล้ว วงนี้ยังโด่งดังจากคลิปไวรัลที่ใช้ไอเดียเท่ ๆ ในการเอาดีเลย์จากการถ่ายทอดสดผ่าน facebook live มาใช้เป็นลูปในการเล่นเพลง Bear Claws ด้วย คลิปนี้เป็นที่ฮือฮาในอินเทอร์เน็ตอยู่ไม่เบาทีเดียว ไอเดียเขาสร้างสรรค์ดีจริง ๆ






    2. FUR

    Facebook | Twitter | Instagram | Spotify | Soundcloud
    ที่มา: ไบรตัน ประเทศอังกฤษ
    แนวเพลง: 50's-60's indie
    สมาชิก:  เรียงจากซ้ายไปขวา

    • Flynn Whelan - เบส
    • Will Murray - ร้องนำ/กีตาร์
    • Harry Zwaig - กีตาร์
    • Will Tavener - กลอง

    วงนี้จะพาเราย้อนกลับไปยังปลายยุค 50-60 ด้วยเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปินในตำนานอย่าง The Beatles รวมไปถึง The Strokes, The Growlers, Whitney และ The Vaccines ตามที่วิลได้ให้สัมภาษณ์ไว้ สมาชิกสี่คนนี้เจอกันที่ BIMM ซึ่งเป็นวิทยาลัยดนตรี

    นอกจากเพลงที่ย้อนยุคแล้ว การแต่งตัวเขาก็วินเทจด้วยเหมือนกันนะ


    ใน spotify อาจจะมีแค่ 3 เพลง แต่วงนี้ยังมีผลงานให้ฟังอีกใน soundcloud ซึ่งรวมแล้วทั้งหมดปล่อยมา 6 เพลง ถ้ารวมเพลงที่ยังไม่ปล่อย ได้แก่ Brother และ cover เพลง Blue Christmas ก็จะเป็น 8 เพลง แต่ถ้าถามว่าแนะนำเพลงไหนก็ฟังไปเถอะทุกเพลง ฟังจนครบแล้วยังรู้สึกเลยว่าแค่นี้มันไม่พอ! 





    3. HMLTD 

    Official Site (โปรดระวังสำหรับคนกลัวงู) | Facebook | Twitter | Instagram | Spotify
    ที่มา: ลอนดอนตอนใต้ ประเทศอังกฤษ
    แนวเพลง: art punk, glam punk, post punk, trap, R&B 
    สมาชิก:  เรียงจากซ้ายไปขวา

    • Nico - เบส
    • Henry Spychalski - ร้องนำ
    • Achilleas - กลอง
    • Zac - คีย์บอร์ด
    • James - กีตาร์
    • Duke Peterman - กีตาร์

    HMLTD เดิมทีมาจาก Happy Meal Ltd. แต่หลังจากทนายความแมคโดนัลด์มาเคาะประตูเตือนว่ามันละเมิดลิขสิทธิ์ ทางวงเลยย่อมาเป็น HMLTD (หรือ humiliated แบบไม่มีสระ) 

    สิ่งแรกที่สะดุดตาคือลุคที่จัดจ้านของสมาชิกทั้ง 6 คนที่มาจากต่างถิ่น (อย่างเช่น Achilleas ที่มาจากกรีกและ Duke มาจากปารีส) พวกเขามีความสนใจในแฟชั่นอยู่แล้ว เมื่อได้ร่วมงานกับ Charles Jeffrey แฟชั่นดีไซเนอร์รุ่นใหม่ ทำให้ทั้งหกได้แสดงความเป็นตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ เฮนรี่ได้เล่าว่าทุกคนมีสไตล์การแต่งตัวที่แตกต่างกันเพื่อนำเสนอตัวตนของตัวเอง บางคนเลือกใส่สูทเพื่อแสดงความเป็นชาย (masculine) แต่บางคนก็อยากนำเสนอแฟชั่นแบบ androgynous ซึ่งเป็นส่วนผสมของทั้งชาย (masculine) และหญิง (feminine)

    สาเหตุที่วงนี้มีแนวเพลงที่ผสมกันก็เพราะความชอบของสมาชิกแต่ละคนนั้นแตกต่างอย่างลงตัว สไตล์ที่บางคนชอบ คนอื่นในวงอาจไม่ชอบเลย แต่นั่นคือเสน่ห์ที่ก่อกำเนิดเป็นเพลงของ HMLTD อย่างเพลง To The Door ก็มีส่วนผสมของสปาเก็ตตี้เวสเทิร์นและ R&B หรือจะเป็นเพลงพาวเวอร์บัลลาดอย่าง Satan, Luella and I วงนี้ก็จัดให้ได้


    มิวสิกวิดีโอของ HMLTD สร้างสรรค์โดย 
    Jenkin van Zyl ศิลปิน Drag มากความสามารถจากลอนดอน (ต้องขอเตือนว่า mv บางตัวอาจทำให้ปั่นป่วนมวนท้องได้ และ Stained ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคลมชักที่ไวต่อแสง)

    อีกอย่างที่น่าสนใจคือ "การแสดงสด" HMLTD ได้แปลงโฉมเวทีธรรมดา ๆ ให้กลายมาเป็นโรงละครในชั่วข้ามคืน พวกเขาอาศัยความร่วมมือจาก Brockenhurst and Sons ช่วยออกแบบเวทีตามคอนเซ็ปต์ที่ต้องการ เมื่อถึงวันก่อนการแสดง สมาชิกในวงก็จะเข้าไปตกแต่งเวทีเอง เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับบรรยากาศของเวทีมากพอ ๆ กับการเล่นดนตรี (และแอบส่องมาด้วยว่าแสดงสดดุเดือดมากๆ)



    ผลงานล่าสุดที่ปล่อยมาคือ Hate Music Last Time Delete เป็น EP แรกภายใต้ค่าย Sony ซึ่ง Pictures of You อาจมีสไตล์ที่แตกต่างไปจากเดิม แต่ฟังง่ายขึ้นและน่าจะเข้าถึงกลุ่มคนจำนวนมากได้ ในขณะที่ Proxy Love สามารถกลับมาเรียกความเป็นตัวตนได้อีกครั้ง ส่วนเพลงอื่นเป็นเพลงเก่าของวงที่ยังไม่เคยปล่อยมา อาจจะมีจำนวนเพลงน้อยไปนิด แต่ก็หวังว่าจะได้เห็นผลงานน่าทึ่งจากวงนี้อีกเรื่อย ๆ



    4. Paris Youth Foundation

    ที่มา: ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ
    แนวเพลง: indie pop
    สมาชิก:  เรียงจากซ้ายไปขวา

    • Jamie Hives - กีตาร์
    • Tom Morris Jones - กีตาร์
    • Kevin Potter - ร้องนำ/กีตาร์
    • Jonny Alderton - กลอง
    • Paul Bates - เบส

    หลังปล่อยเดบิวต์ซิงเกิ้ล If You Wanna ลง soundcloud ไปได้เพียง 2 สัปดาห์ วงดนตรีที่มีเพียง 1 เพลงและแฟนเพลง 0 คนวงนี้ก็ได้ขึ้นเล่นบนเวที BBC Introducing ที่เทศกาลดนตรี Reading Festival ปี 2016  นอกจากนี้พวกเขายังได้เป็นศิลปินประจำสัปดาห์ของ BBC Radio 1 และเพลง If You Wanna ก็ถูกเปิดในสถานีวิทยุต่าง ๆ อีกมากมาย 

    Paris Youth Foundation ได้ทัวร์กับ Blaenavon และ The Magic Gang ทั้งยังได้เล่นเทศกาลดนตรีต่าง ๆ ไม่หยุดหย่อน นับว่าเป็นศิลปินที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนพวกเขาเองยังแทบไม่อยากจะเชื่อ

    เควินบอกว่าเพลงของ Paris Youth Foundation ได้รับอิทธิพลมาจาก Catfish and The Bottlemen, Foals และ The 1975 ส่วนใหญ่เป็นเพลงจังหวะอัพบีทสไตล์อินดี้ป็อปที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก อกหัก และการเลิกรา 

    London และ Losing Your Love เป็นอีกเพลงที่หลายคนนิยมฟังกัน




    5. The F-16's


    ที่มา: เจนไน ประเทศอินเดีย
    แนวเพลง: electronica, garage rock, funk, punk
    สมาชิก:  เรียงจากซ้ายไปขวา

    • Viraj Yesudas - กีตาร์
    • Vikram Yesudas - คีย์บอร์ด 
    • Joshua Fernandez - ร้องนำ/กีตาร์
    • Harshan Radakrishnan - กลอง
    • Sashank Manohar - เบส

    The F-16's เป็นวงอิเล็กโทรอัลเทอร์เนทีฟจากอินเดีย วงนี้ชนะการแข่งขันวงดนตรี Road to Converse Rubber Tracks ทำให้ได้ไปอัดเพลงที่สตูดิโอในบรู๊กลิน นิวยอร์ก หลังจากนั้นในปี 2016 ก็ออกเดบิวต์อัลบั้มชื่อ Triggerpunkte (เป็นภาษาเยอรมันที่แปลว่า trigger points) 

    วงนี้เป็นวงที่ซาวด์ดนตรีหลากหลายมากในหนึ่งอัลบั้ม อาจมาช้า ๆ เบา ๆ แล้วตามด้วยดนตรีฟังก์ ๆ ต่อด้วยร็อกและอิเล็กโทร แต่เดบิวต์อัลบั้มจะค่อนข้างเปลี่ยนไปจาก EP Kaleidoscope ที่ปล่อยมาเมื่อปี 2013 เนื่องจากเพลงช่วงแรก ๆ ได้แรงบันดาลใจจากวงต่างประเทศค่อนข้างมาก พอมาที่ Triggerpunkte พวกเขาพัฒนาขึ้นมาอีกระดับ เป็นผลงานที่มีเอกลักษณ์มากขึ้น

    อยากแนะนำให้ฟัง Moon Child ที่ The Bucket Sessions ด้านล่างนี้ เล่นสดกลมกล่อมมาก ส่วนตัวชอบมากกว่าซาวด์ในออดิโอ





    6. Shame


    ที่มา: ลอนดอนตอนใต้ ประเทศอังกฤษ
    แนวเพลง: post-punk
    สมาชิก:  เรียงจากซ้ายไปขวา

    • Eddie Green - กีตาร์
    • Charlie Forbes - กลอง
    • Charlie Steen - ร้องนำ
    • Josh Finerty - เบส
    • Sean Coyle-Smith - กีตาร์

    เด็กหนุ่มหน้าใหม่ 5 คนจากลอนดอนกำลังเป็นที่จับตามองในวงการอินดี้ตอนนี้ นอกจากสื่อหลายเจ้าจะชื่นชมและให้คะแนนเดบิวต์อัลบั้มอย่างท่วมท้นแล้ว (NME 5/5, Clash 9/10, DIY 5/5, Q 4/5, The Guardian 4/5 ฯลฯ) พวกเขายังขึ้นชื่อเรื่องการแสดงสดที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ การเปลือยท่อนบน และพลังอันร้อนระอุของวัยรุ่นที่มีใจรักในดนตรี

    Shame เจอกันตอนยังเรียนมัธยม พวกเขาซ้อมที่ผับ Queen’s Head ที่เดียวกับวงรุ่นพี่อย่าง Fat White Family เพลงดังของ Shame คือ One Rizla ซึ่งเป็นเพลงแรกที่พวกเขาแต่งตอนอายุเพียงแค่ 16-17 ปี One Rizla เต็มไปด้วยด้วยเนื้อร้องที่แดกดันและถากถาง 

    "เสียงผมไม่ได้ดีที่สุดที่คุณเคยได้ยินและคุณเลือกที่เกลียดคำพูดผมก็ได้ แต่ผมสนใจป่ะ?"
     
    "ผมไม่ได้หน้าตาน่ามองเท่าไรและก็ไม่ได้น่าฟังด้วย แต่ถ้าคุณคิดว่าผมรักคุณล่ะก็ คุณคิดผิดแล้วล่ะ"

     


    เนื้อเพลงของ Shame ล้วนเป็นการตั้งคำถาม ถกเถียง และแสดงออกผ่านเสียงของตัวเอง พวกเขายังมีเพลงจิกกัดการเมืองชื่อ Visa Vulture ที่เกี่ยวกับเทเรซ่า เมย์อีกด้วย

    จุดเด่นของวงอยู่ที่พลังในเพลง เสียงแหบพร่าผสมการสำรอกจากการร้องของสตีน จังหวะกลองที่หนักแน่นและแม่นยำทุกบีทของฟอบส์ ไลน์เบสและคอรัสของจอช ผสมผสานกับริฟฟ์กีตาร์เสียงหยาบ ๆ ออกมาเป็นความร็อกที่ลงตัว นอกจาก One Rizla ขอแนะนำ ConcreteThe Lick (ที่ให้อารมณ์เหมือนฟัง Parklife ของ Blur) และ Friction 

    แต่เหนือสิ่งอื่นใด พลาดไม่ได้กับการแสดงสดที่ชวนให้ท้าพิสูจน์ ชอบอารมณ์ร่วมกับเพลงที่เล่น โดยเฉพาะอินเนอร์ของสตีนและจอช มันทำให้รู้สึกถึงแพชชั่นและความสนุกกับสิ่งที่ทำของเด็กกลุ่มนี้ แค่เพอร์ฟอร์แมนซ์ในสตูดิโอยังสะใจขนาดนี้ พี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว


    ...อ้อ

    ส่วนเรื่องถอดเสื้อนั้น สตีนบอกว่า "ผมไม่ได้ถอดเสื้อเพราะว่าหุ่นเหมือนเทพเจ้ากรีก แต่ผมถอดเพราะรู้ดีเรื่องน้ำหนัก ผมรูปร่างอวบและค่อนข้างอายกับมัน แต่พอได้แสดงบนเวที ผมถอดเสื้อได้โดยไม่ต้องสนใจคำตัดสินของคนอื่น แม้จะแค่ 25 นาทีก็ตาม ตลกดีเวลาเหงื่อออกท่วมตัวขณะยืนเปลือยอยู่บนโต๊ะที่มีคนดู 2 คนในคืนวันพุธก่อนไปโรงเรียน ดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่คุณจะทำอย่างนั้นได้โดยไม่ถูกจับ และอีกเหตุผลคือผมเป็นคนเหงื่อออกเยอะมาก"




    7. Lucie,Too

    Facebook | Twitter | Spotify
    ที่มา: อุตสึโนะมิยะ ประเทศญี่ปุ่น
    แนวเพลง: indie-pop
    สมาชิก:  เรียงจากซ้ายไปขวา

    • Kanako Sekizawa - เบส
    • Naho Shibahara - กลอง
    • Chisato Kokubo - ร้องนำ/กีตาร์

    Lucie,Too เป็นวงทริโอหญิงล้วน พวกเธอได้ชื่อวงมาจากเพลงชื่อเดียวกันของ Now Now จิซาโตะเป็นคนแต่งเพลง เธอชอบฟังเพลงต่างประเทศหลากหลายแนว และนาโฮะที่เป็นมือกลองเคยอยู่วง Sunny Car Wash มาก่อน

    เสียงใส ๆ จิซาโตะและเมโลดี้ติดหู ประกอบกับทำนองแข็งแรง ไลน์เบสดี ๆ ทำให้เพลงของ Lucie,Too สดใสแต่ก็มีพลัง สามสาวเพิ่งจะออกเดบิวต์ EP "Lucky" ไปเมื่อต้นปี 2018 นี้เอง EP นี้รวมเพลงดังอย่าง Lucky และ Kimi ni Koi ด้วย



    8. SPINN

    Facebook | Twitter | Instagram | Spotify | Soundcloud

    ที่มา: ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ
    แนวเพลง: indie pop
    สมาชิก:  เรียงจากซ้ายไปขวา

    • Andy Power - กีตาร์/คีย์บอร์ด
    • Johnny Quinn - ร้องนำ/กีตาร์
    • Sean McLachlan - เบส
    • Louis O’Reilly - กลอง

    SPINN ก็ไม่ต่างจากหลายวงที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยมัธยม อาศัยแรงบันดาลใจจากดนตรีหลากหลายแนว เช่น เพลงยุคแรก ๆ ของ The Cure, The Smiths, Arctic Monkeys, The 1975 ไปจนถึงดนตรีแจ๊สและหนัง Submarine 

    เพลงดังของวงนี้คงหนีไม่พ้น Notice Me ที่มียอดฟังเกือบ 2 ล้านครั้งใน spotify แถมมิวสิกวิดีโอยังเป็นพื้นหลังสีชมพูพร้อมกับจอห์นนี่ใส่เสื้อสกรีนว่า "Who the fuck is Johnny Quinn?" เจ้าตัวยังออกมาเผยด้วยว่า "รู้สึกเหมือนแมตตี้ ฮีลลี่เลย"

    ล่าสุดพวกเขาออกผลงานใหม่ SPINN EP ไปเมื่อเดือนเมษายน ตามมาด้วยเพลงใหม่ล่าสุด It's Not Getting Better ที่เปลี่ยนบรรยากาศมาในจังหวะที่ช้าลงเล็กน้อย 



    9. The Rhythm Method

    Facebook | Twitter | Instagram | Spotify | Soundcloud 

    ที่มา: ลอนดอนตอนใต้ ประเทศอังกฤษ
    แนวเพลง: alternative, new wave, pop house, funk, 80s 
    สมาชิก:  

    • Rowan Martin (ซ้าย) - แต่งเพลงและเล่นดนตรีหลากชนิด
    • Joey Bradbury (ขวา) - ร้องนำและแต่งเนื้อร้อง


    ดูโอ้จากลอนดอนคู่นี้ได้มาเปลี่ยนแปลงเพลงป็อปด้วยอิทธิพลจากวง Pulp, Madness และเพลงยุค 70-80 พวกเขาต้องการเพลงที่ไม่เสียดสีหรือประชดประชันและอยากกลับมาทำอย่างที่มอร์ริสซีย์และ The Smith เคยทำตอนร้องเพลง Panic ที่ว่า 'say nothing to me about my life' ซึ่งเป็นยาต้านพิษของยุค 80 พวกเขาได้แรงบันดาลใจมากจากเพลงนี้ รวมทั้งเพลงตีมจากทีวีโชว์ต่าง ๆ ด้วย พวกเขาเอาไอเดียมาจากหลายแหล่งเพื่อสร้างสรรค์เพลงของตัวเองขึ้นมา

    ทั้งคู่ปล่อยซิงเกิ้ลออกมาไม่กี่เพลง แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้ศิลปินชื่อดังอย่างเอลตัน จอห์นเปิดในรายการวิทยุและเอ่ยปากว่าชอบเพลงของพวกเขา Suggs นักร้องวง Madness ก็เห็นด้วยเช่นกัน ไม่เท่านั้นแมตตี้ ฮีลลี่จาก The 1975 ยังคอยสนับสนุน แถมยังไปดูคอนเสิร์ตพวกเขามาแล้วด้วย โรแวนบอกว่าไม่แปลกใจเลย เพราะ The 1975 ก็มีจุดประสงค์เหมือนกัน พวกเขาเลยเข้าใจกันดี

    The Rhythm Method ทำเพลงเกี่ยวกับปาร์ตี้ การเมืองและสถานการณ์ทางสังคม รวมถึงชีวิตของคนลอนดอน เนื้อหาจิกกัด ตลก แต่จริงใจ เพลง Cruel เป็นซิงเกิ้ลแรกที่ทั้งคู่ปล่อยมา พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนรักที่ไม่โรแมนติกแต่เจ็บปวด พวกเขาเริ่มทำเพลงแบบมั่ว ๆ ใน garage band ซึ่งตอนนี้หลงเหลือปล่อยมาให้พวกเราฟังแค่เพลงเดียวคือ Ode 2 Joey (ที่มีพูดถึง Oasis และร็อบบี้ วิลเลียมส์ด้วย) 

    เพลงล่าสุดของพวกเขา Chin Up เป็นเพลงที่ปล่อยมาช่วงบอลโลกเพื่อให้กำลังใจทีมชาติอังกฤษ แถมในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ยังมีสมาชิกจาก Wolf Alice และ Swim Deep มาร่วมแจมอีกด้วย ส่วนเพลงที่แนะนำ ขอยกให้เพลง Party Politics เนื้อเพลงฉลาด มีอ้างอิงป็อปคัลเจอร์ และส่ง message ดี ต้องยอมรับว่าจุดแข็งของวงนี้คือเนื้อเพลง ยิ่งฟัง ยิ่งสนุก ยิ่งปล่อยมา ยิ่งเซอร์ไพรส์





    10. Snail Mail

    Official Site | Facebook | Twitter | Instagram | Spotify 

    ที่มา: แมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา
    แนวเพลง: indie rock
    สมาชิก: Lindsey Jordan


    "ฉันอยากให้คนฟังเพลงของฉันและเลิกย้ำเสียทีว่าฉันเป็นผู้หญิง ชอบผู้หญิง หรืออายุแค่ 18 
    การเป็นผู้หญิงไม่ใช่ประเภทดนตรี"


    เมื่อปี 2016 จอร์แดนปล่อย EP แรก Habit ออกมาตอนที่เธอยังเรียนอยู่แค่มัธยมปลายเท่านั้น และอีก 2 ปีถัดมา เธอก็ได้ปล่อยเดบิวต์อัลบั้ม Lush ภายใต้ Matador Records 

    จอร์แดนเริ่มเรียนกีตาร์คลาสสิกตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เธอเคยเล่นให้กับวงดนตรีในโบสถ์และวงแจ๊สที่โรงเรียน จอร์แดนเริ่มแต่งเพลงตอนอายุเพียง 12-13 ปีและได้มีโอกาสไปแสดงในเทศกาลดนตรีที่บัลติมอร์กับวง Sheer Mag, Priests และ Screaming Females ขณะนั้นเธอยังต้องขออนุญาตครูใหญ่ที่โรงเรียนเพื่อเซ็นจดหมายรองรับหยุดเรียนให้อยู่เลย การเลือกเดินในเส้นทางนี้ทำให้เธอขาดเรียนไปทั้งหมด 50 กว่าวัน แต่เธอก็เรียนจบมาได้ในที่สุด

    จอร์แดนแต่งเพลงใน EP Habit เล่น ๆ โดยไม่คิดว่าจะเอาไปเล่นให้ใครฟัง เธอบอกว่ามันเป็นเหมือนการเขียนบันทึกไดอารี่ของตัวเองเกี่ยวกับคนที่ชอบ ในขณะที่ Lush เป็นอัลบั้มที่โตขึ้น เธอใช้เวลา 2 ปี ในการแต่งเพลงกว่า 30 เพลงและ 10 เพลงจากในนั้นก็กลายมาเป็นอัลบั้ม Lush ให้เราได้ฟังกัน อัลบั้มนี้โฟกัสที่กีตาร์คลีน ๆ และเสียงร้องใส ๆ เนิบนาบแต่เต็มไปด้วยอารมณ์บาดลึกของเธอ เพลงของ Snail Mail มีเสน่ห์ที่ค่อย ๆ บิ้วต์เมโลดราม่าไปกับบาดแผลจากความรักและการเติบโต ชักชวนให้คนฟังดำดิ่งไปกับท่วงทำนองที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่คาดคั้น และที่ขาดไม่ได้คือสกิลกีตาร์ที่ชาญฉลาดแต่ไม่พยายามโชว์ออฟของเธอ ทุกอย่างใน Lush จึงออกมากลมกล่อมแบบนี้


    ในมิวสิกวิดีโอเพลง Heat Wave เราจะเห็นจอร์แดนเล่นฮอกกี้ด้วยตัวเอง เนื่องจากเธอเคยเป็นผู้หญิงคนเดียวในทีมฮอกกี้ที่โรงเรียน เธอต้องเผชิญกับการเหยียดเพศจากเพื่อนร่วมทีมและพยายามต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองเสมอ นี่คือประสบการณ์ที่ทำให้เธอเติบโตขึ้นและเปลี่ยนมุมมองในชีวิต และวันนี้เธอก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเธอเป็นศิลปินมากความสามารถโดยไม่ต้องพยายามเพื่อให้คนอื่นยอมรับ

    ลินเซย์ จอร์แดนคือศิลปินหน้าใหม่ที่กำลังถูกพูดถึงกันมากในวงการดนตรีอินดี้ร็อกของอเมริกาและได้รับคำชมท่วมท้นจากเดบิวต์อัลบั้มครั้งนี้ เชื่อเถอะว่าเธอคนนี้ต้องมีอนาคตไกลแน่นอน 



    11. King Nun


    ที่มา: ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
    แนวเพลง: grunge, punk, garage, indie rock
    สมาชิก: เรียงจากซ้ายไปขวา

    • James Upton - กีตาร์
    • Theo Polyzoides - ร้องนำ/กีตาร์
    • Caius Stockley-Young - กลอง
    • Nathan Gane - เบส

    King Nun เป็นวงน้องใหม่ที่เปิดตัวด้วยเพลง Tulip เมื่อปี 2016 ประกอบด้วยเพื่อนซี้ 4 คนที่เต็มไปด้วยพลังอันล้นเหลือของวัยรุ่น

    พวกเขาเคยเล่นในผับที่มีแต่ผู้สูงอายุซึ่งหงุดหงิดทุกครั้งเมื่อพวกเขาขึ้นมาขัดจังหวะช่วงเวลาเพลงบลูส์ ที่ผับไม่เคยมีปัญหาเลยจนกระทั่งพวกเขาขึ้นเล่น เจ้าของผับก็โดนร้องเรียนเรื่องเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้านถึง 3 ครั้งในคืนเดียว พวกเขาถูกลดให้เล่นแค่ 2 เพลง แต่พอเล่นไปได้แค่เพลงเดียวก็โดนไล่ลงจากเวทีเสียแล้ว ธีโอเล่าว่าในช่วงเวลานั้น ที่นั่นเป็นเหมือน Wembley สำหรับพวกเขา ก่อนขึ้นแสดงทุกคนนั่งตื่นเต้นอยู่ 2 ชั่วโมงว่าคนฟังจะชอบเพลงใหม่หรือเปล่าทั้งที่พวกเขาไม่เคยชอบเพลงเก่าเลยด้วยซ้ำ! 

    King Nun เซ็นสัญญากับ Dirty Hit (ค่ายเดียวกับ Superfood, Pale Waves, The 1975, Wolf Alice) และทั้งสี่ก็ได้ไปทัวร์กับ Pale Waves และ Superfood มาแล้ว แต่เพลงของพวกเขาแต่งต่างกับวงรุ่นพี่ในค่าย เช่นเดียวกับ Tulip เพลง SpongeHung Around และ Speakerface ก็เต็มไปด้วยเสียงแตกของกีตาร์และการร้องที่ดุดันมีพลัง เพลง Speakerface ยังถูกนำไปใช้ประกอบเกม Dream League Soccer 2017 อีกด้วย

    Chinese Medicine คือเพลงใหม่ล่าสุดของพวกเขาจาก EP ที่เตรียมวางจำหน่ายในอีกไม่นานนี้ กลับมาครั้งนี้ King Nun เปลี่ยนแนวทางจากการเน้นเสียงแตกพร่าของกีตาร์และความหนักแน่นของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นมาเล่นกับจังหวะดนตรีมากขึ้น เสริมด้วยลูกเล่นของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่ช่วยขับเพลงให้ประสานกันและเสริมความน่าสนใจของดนตรีมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่น่าจับตามองสำหรับ EP แรกของหนุ่ม ๆ ทั้งสี่คนนี้



    12. Prateek Kuhad

    Official Site | Facebook | Twitter | Spotify | Instagram

    ที่มา: นิวเดลี ประเทศอินเดีย
    แนวเพลง: folk
    สมาชิก: Prateek Kuhad

    คูฮัดเกิดที่ชัยปุระ เขาเรียนกีตาร์ตอนอายุ 16 ปี โดยเริ่มต้นจากคลาสสิกร็อกอย่าง Led Zeppelin จากนั้นพอได้ฟัง Elliott Smith เขาจึงตั้งใจเขียนเพลงด้วยตัวเอง คูฮัดไปเรียนต่อ Maths and Economics ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เมื่อเรียนจบ เขาย้ายกลับมาที่กรุงเดลีเพื่อเริ่มชีวิตศิลปินตามความฝัน

    เมื่อปี 2016 เขาชนะการแข่งขัน International Songwriting Competition สาขาโฟล์ค สาขาเดียวกันกับที่ Gotye และ Passenger เคยชนะมาก่อน ทว่าคูฮัดก็ต้องประหลาดใจ เพราะผู้จัดการส่วนตัวเป็นคนส่งตัวเขาเข้าประกวดโดยที่ไม่ได้บอกเจ้าตัวเลยด้วยซ้ำ! ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้เดินทางไปแสดงสดที่ต่างประเทศมาหลายที่และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

    คูฮัดได้ปล่อยอัลบั้มเป็นภาษาอังกฤษมาแล้วเมื่อปี 2015 ในชื่อ In Tokens & Charms ซึ่งเป็นอัลบั้มโฟล์คกีตาร์เพราะ ๆ เคล้าด้วยเสียงร้องอุ่น ๆ ตามมาด้วยผลงานล่าสุดในปี 2018 ได้แก่ cold/mess กับ 6 บทเพลงใหม่ที่มีส่วนผสมของเครื่องดนตรีอื่นเข้ามามากขึ้น

    เพลงของเขาที่โด่งดังในอินเดียคือเพลง Tum Jab Paas ที่แปลว่า "เมื่ออยู่ใกล้เธอ" ด้วยเมโลดี้สไตล์ฮินดีและมิวสิกวิดีโอสีพาสเทล มอบความหมายของความรักและคำมั่นสัญญาในบทเพลงน่ารัก ๆ ที่จับใจคนฟัง




    13. Soccer Mommy


    ที่มา: แนชวิลล์ สหรัฐอเมริกา
    แนวเพลง: indie rock
    สมาชิก: Sophie Allison

    ช่วงนั้นในแนชวิลล์มีแต่วงพังก์ที่เต็มไปด้วยผู้ชาย โซฟีรู้สึกว่าตัวเองก็ทำเพลงได้เหมือนกัน จึงตัดสินใจปล่อยเพลงลงในอินเทอร์เน็ต คนรอบตัวก็เริ่มเอ่ยปากชมและเข้ามาขอเทปที่เธออัดเพลงเอาไว้ โซฟีปล่อยอัลบั้มลง Bandcamp หลังจบไฮสคูลเมื่อปี 2015 จากนั้นย้ายไปเรียนด้าน music business ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และที่นั่นเองที่ทำให้เธอได้รู้จักเพื่อนใหม่ โซฟีส่งเพลงไปให้เพื่อนที่มีค่ายเพลงเล็ก ๆ ในนิวยอร์ก เธอจึงได้ปล่อย For Young Hearts ออกมาในปี 2016 อัลบั้มนี้ไปสะดุดตาให้ค่าย Fat Possum เห็นความสามารถ หลังจากนั้นเธอลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาเป็น Soccer Mommy เต็มตัว

    Soccer Mommy ปล่อยเดบิวต์อัลบั้ม Clean ออกมาเมื่อเดือนมีนาคม อัลบั้มนี้พูดถึงความรัก ความห่วงหา และความเปราะบาง เป็น 10 แทร็กที่ดำดิ่งไปกับอารมณ์ความรู้สึกในแบบฉบับอินดี้ร็อกเบา ๆ เนื้อร้องของโซฟีอาจเถรตรงและประชดประชันอย่าง "I don't wanna be your fucking dog that you drag around." จากเพลง Your Dog ที่เธอเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของคนรักกับสัตว์เลี้ยง หรือโศกเศร้าเปราะบางอย่างในเพลง Scorpio Rising ที่ว่า "Cause you're made from the stars that we watched from your car. And I'm just a victim of changing planets. My Scorpio rising and my parents."



    14. Sports Team


    ที่มา: ลอนดอนตะวันตก ประเทศอังกฤษ
    แนวเพลง: indie rock, post-punk
    สมาชิก: Alex Rice - ร้องนำ, Oli Dewdney - เบส, Al - กลอง, Henry, Ben 

    วงลอนดอน 6 ชิ้นวงนี้พบกันครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในปีสุดท้ายของการเรียน เนื่องจากซีนดนตรีแถบนั้นไม่มีพื้นที่ให้วงดนตรีออกมาแสดงสดมากนัก พวกเขาจึงเริ่มเล่นตามงานปาร์ตี้และบอลรูมของมหาวิทยาลัยและปรับมันเป็นเวทีสำหรับการแสดง ครั้งหนึ่งพวกเขาได้พบกับ Dave McCracken (ผู้ที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้ Ian Brown, Depeche Mode, Florence & The Machine) และเดฟได้ชวนพวกเขาไปอัดเพลงที่สตูดิโอในเวลาต่อมา อิทธิพลทางดนตรีของ Sports Team มาจาก The Family Cat, Haircut 100, Pavement และ Pulp เป็นส่วนใหญ่

    Sports Team เพิ่งปล่อย EP แรก Winter Nets ไปเมื่อมกราคมที่ผ่านมา EP นี้ประกอบไปด้วยเพลง Beverly Rose ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชนบทของอังกฤษ เพลงนี้เต็มไปด้วยพลังและเสียงพร่าของกีตาร์ ตามมาด้วย Camel Crew เพลงขึ้นชื่อจากการแสดงสดและถูกเรียกว่าเป็น "เพลงดิส" ที่เลื่องลือกันผ่านเครือข่ายออนไลน์ว่าเพลงนี้เขียนเสียดสีถึงวงลอนดอนตอนใต้อย่าง HMLTD และตามที่อเล็กซ์ ไรซ์ได้เล่านั้น ดุคจาก HMLTD ถึงขั้นซื้อตั๋วมาดูการแสดงและยืนจ้องอยู่หน้าเวทีเลยทีเดียว ส่วนเพลง Winter Nets จังหวะสบาย ๆ ลงมาหน่อย ถึงดนตรีจะเรียบง่ายแต่ก็ดีไม่แพ้กัน ต่อด้วย Back to the Point ที่มีจังหวะสนุกและเนื้อหาเสียดสี จบลงด้วย Stanton เพลงแรกที่พวกเขาแต่งที่ดูเหมาะกับการแสดงสดดีทีเดียว

    ซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดของพวกเขาคือเพลง Kutcher ที่ใช้ดารา Ashton Kutcher มาเป็นการเปรียบเทียบกับความสัมพันธ์อันแสนยุ่งเหยิง




    15. Matt Maltese


    ที่มา: ลอนดอนตอนใต้ ประเทศอังกฤษ
    แนวเพลง: pop, ballad, jazz
    สมาชิก: Matt Maltese

    ในบรรดาวงการเพลงลอนดอนตอนใต้ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ Matt Maltese ดูจะแตกต่างไปคนละสไตล์เลยทีเดียว ดนตรีของแมตต์ในช่วงแรกเป็นสไตล์บัลลาดที่เขาร้องและบรรเลงเปียโนเป็นหลัก แมตต์เป็นที่รู้จักจากเพลง Even If It's a Lie ที่เขาอัดในห้องนอนและปล่อยลงใน soundcloud ผลงานชิ้นแรก ๆ นี้ได้แรงบันดาลใจจาก Leonard Cohen และ Joni Mitchell แต่เมื่อโตขึ้น เพลงของเขาก็เริ่มพัฒนาไปทีละนิด เสียงนุ่มทุ้มขึ้น เนื้อเพลงตลกเสียดสีขึ้น เขาค้นพบสไตล์ของตัวเองและมันก็ไปได้สวยทีเดียว

    แบรนดอน ฟลาวเวอร์ ฟรอนท์แมนวง The Killers ยังเคยเอ่ยปากชมว่าชอบแมตต์และเพลงของเขา
    พาดหัวในบทความของ Noisey ถึงกับยกให้เป็น  “มอริสซีย์คนใหม่แห่งยุคมิลเลนเนียล" แถม NME ยังจัดกลุ่มให้อยู่ในเพลงแนว schmaltzcore ร่วมกับ Rex Orange County และ Tom Misch

    เดบิวต์อัลบั้มของเขามีชื่อว่า Bad Contestant ที่ปล่อยไปเมื่อเดือนมิถุนายน กลับมาครั้งนี้อาจมีบางเพลงที่ไม่ได้จับเปียโน แต่นั่นไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของบทเพลงหายไปเลย แมตต์เริ่มเขียนเนื้อเพลงขี้เล่นอย่าง "You're the beauty, the stranger in the grocery store. You're the highest quality hardwood door. You're the final wartime piece of bread" ในเพลง Greatest Comedian ไปจนถึงเนื้อเพลงจิกกัดตัวเองใน Bad Contestant "I'm a toothache. I'm the saddest case. I'm often looking round for my next mistake. I'm your garden waste. I've left no trace. I'm only here for some hollow math debate." หรือแม้กระทั่งเพลงรักโรแมนติกระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์และเทเรซ่า เมย์ ขณะโลกจะถึงจุดจบหลังกดปุ่มปล่อยระเบิดนิวเคลียร์ใน As The World Caves In 

    Matt Maltese จึงเป็นศิลปินอีกคนที่น่าจับตามองอีกคนในวงการอินดี้



    _________________________________




    จบไปแล้วกับการแนะนำ 15 วงที่อยากให้ลองฟังกัน ความจริงแพลนจะเขียนเยอะกว่านี้ แต่เขียนไปเขียนมาชักจะยาวเกินก็เลยต้องตัดจบไปเพียงเท่านี้ก่อน โอกาสหน้าอาจจะมีภาคต่อ เพราะยังมีอีกหลายวงที่อยากเอามาแนะนำกัน

    ถ้าออกจากบล็อกนี้ไปพร้อมวงใหม่ที่ถูกใจก็จะดีใจมาก ๆ เลย ยังไงใครชอบเพลงไหนหรือวงไหนก็มาคุยกันได้นะคะ 





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in