เครกบอกว่า The Academic โตมากับเพลงอินดี้ป็อปและวงอย่าง The Kooks, The Killers, Kings of Leon, The Strokes พวกเพลงอินดี้ป็อปที่มีกีตาร์ริฟฟ์ดี ๆ และเมโลดี้ติดหู แนวทางในการทำเพลงของ The Academic เลยใช้กีตาร์เป็นหลักร่วมกับท่อนฮุกที่จดจำง่าย
วงนี้เพิ่งออกเดบิวต์อัลบั้มไปเมื่อต้นปี 2018 นี้เอง อัลบั้มแรกนี้มีชื่อว่า "Tales From The Backseat" ซึ่งรวมเพลงดังอย่าง Bear Claws และ Why Can't We Be Friends? เข้าไปด้วย
วงนี้จะพาเราย้อนกลับไปยังปลายยุค 50-60 ด้วยเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปินในตำนานอย่าง The Beatles รวมไปถึง The Strokes, The Growlers, Whitney และ The Vaccines ตามที่วิลได้ให้สัมภาษณ์ไว้ สมาชิกสี่คนนี้เจอกันที่ BIMM ซึ่งเป็นวิทยาลัยดนตรี
สาเหตุที่วงนี้มีแนวเพลงที่ผสมกันก็เพราะความชอบของสมาชิกแต่ละคนนั้นแตกต่างอย่างลงตัว สไตล์ที่บางคนชอบ คนอื่นในวงอาจไม่ชอบเลย แต่นั่นคือเสน่ห์ที่ก่อกำเนิดเป็นเพลงของ HMLTD อย่างเพลง To The Door ก็มีส่วนผสมของสปาเก็ตตี้เวสเทิร์นและ R&B หรือจะเป็นเพลงพาวเวอร์บัลลาดอย่าง Satan, Luella and I วงนี้ก็จัดให้ได้
อีกอย่างที่น่าสนใจคือ "การแสดงสด" HMLTD ได้แปลงโฉมเวทีธรรมดา ๆ ให้กลายมาเป็นโรงละครในชั่วข้ามคืน พวกเขาอาศัยความร่วมมือจาก Brockenhurst and Sons ช่วยออกแบบเวทีตามคอนเซ็ปต์ที่ต้องการ เมื่อถึงวันก่อนการแสดง สมาชิกในวงก็จะเข้าไปตกแต่งเวทีเอง เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับบรรยากาศของเวทีมากพอ ๆ กับการเล่นดนตรี (และแอบส่องมาด้วยว่าแสดงสดดุเดือดมากๆ)
ผลงานล่าสุดที่ปล่อยมาคือ Hate Music Last Time Delete เป็น EP แรกภายใต้ค่าย Sony ซึ่ง Pictures of You อาจมีสไตล์ที่แตกต่างไปจากเดิม แต่ฟังง่ายขึ้นและน่าจะเข้าถึงกลุ่มคนจำนวนมากได้ ในขณะที่ Proxy Love สามารถกลับมาเรียกความเป็นตัวตนได้อีกครั้ง ส่วนเพลงอื่นเป็นเพลงเก่าของวงที่ยังไม่เคยปล่อยมา อาจจะมีจำนวนเพลงน้อยไปนิด แต่ก็หวังว่าจะได้เห็นผลงานน่าทึ่งจากวงนี้อีกเรื่อย ๆ
หลังปล่อยเดบิวต์ซิงเกิ้ล If You Wanna ลง soundcloud ไปได้เพียง 2 สัปดาห์ วงดนตรีที่มีเพียง 1 เพลงและแฟนเพลง 0 คนวงนี้ก็ได้ขึ้นเล่นบนเวที BBC Introducing ที่เทศกาลดนตรี Reading Festival ปี 2016 นอกจากนี้พวกเขายังได้เป็นศิลปินประจำสัปดาห์ของ BBC Radio 1 และเพลง If You Wanna ก็ถูกเปิดในสถานีวิทยุต่าง ๆ อีกมากมาย
Paris Youth Foundation ได้ทัวร์กับ Blaenavon และ The Magic Gang ทั้งยังได้เล่นเทศกาลดนตรีต่าง ๆ ไม่หยุดหย่อน นับว่าเป็นศิลปินที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนพวกเขาเองยังแทบไม่อยากจะเชื่อ
เควินบอกว่าเพลงของ Paris Youth Foundation ได้รับอิทธิพลมาจาก Catfish and The Bottlemen, Foals และ The 1975 ส่วนใหญ่เป็นเพลงจังหวะอัพบีทสไตล์อินดี้ป็อปที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก อกหัก และการเลิกรา
Shame เจอกันตอนยังเรียนมัธยม พวกเขาซ้อมที่ผับ Queen’s Head ที่เดียวกับวงรุ่นพี่อย่าง Fat White Family เพลงดังของ Shame คือ One Rizla ซึ่งเป็นเพลงแรกที่พวกเขาแต่งตอนอายุเพียงแค่ 16-17 ปี One Rizla เต็มไปด้วยด้วยเนื้อร้องที่แดกดันและถากถาง
Lucie,Too เป็นวงทริโอหญิงล้วน พวกเธอได้ชื่อวงมาจากเพลงชื่อเดียวกันของ Now Now จิซาโตะเป็นคนแต่งเพลง เธอชอบฟังเพลงต่างประเทศหลากหลายแนว และนาโฮะที่เป็นมือกลองเคยอยู่วง Sunny Car Wash มาก่อน
เสียงใส ๆ จิซาโตะและเมโลดี้ติดหู ประกอบกับทำนองแข็งแรง ไลน์เบสดี ๆ ทำให้เพลงของ Lucie,Too สดใสแต่ก็มีพลัง สามสาวเพิ่งจะออกเดบิวต์ EP "Lucky" ไปเมื่อต้นปี 2018 นี้เอง EP นี้รวมเพลงดังอย่าง Lucky และ Kimi ni Koi ด้วย
SPINN ก็ไม่ต่างจากหลายวงที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยมัธยม อาศัยแรงบันดาลใจจากดนตรีหลากหลายแนว เช่น เพลงยุคแรก ๆ ของ The Cure, The Smiths, Arctic Monkeys, The 1975 ไปจนถึงดนตรีแจ๊สและหนัง Submarine
เพลงดังของวงนี้คงหนีไม่พ้น Notice Me ที่มียอดฟังเกือบ 2 ล้านครั้งใน spotify แถมมิวสิกวิดีโอยังเป็นพื้นหลังสีชมพูพร้อมกับจอห์นนี่ใส่เสื้อสกรีนว่า "Who the fuck is Johnny Quinn?" เจ้าตัวยังออกมาเผยด้วยว่า "รู้สึกเหมือนแมตตี้ ฮีลลี่เลย"
ล่าสุดพวกเขาออกผลงานใหม่ SPINN EP ไปเมื่อเดือนเมษายน ตามมาด้วยเพลงใหม่ล่าสุด It's Not Getting Better ที่เปลี่ยนบรรยากาศมาในจังหวะที่ช้าลงเล็กน้อย
ที่มา: ลอนดอนตอนใต้ ประเทศอังกฤษ แนวเพลง: alternative, new wave, pop house, funk, 80s
สมาชิก:
Rowan Martin (ซ้าย) - แต่งเพลงและเล่นดนตรีหลากชนิด
Joey Bradbury (ขวา) - ร้องนำและแต่งเนื้อร้อง
ดูโอ้จากลอนดอนคู่นี้ได้มาเปลี่ยนแปลงเพลงป็อปด้วยอิทธิพลจากวง Pulp, Madness และเพลงยุค 70-80 พวกเขาต้องการเพลงที่ไม่เสียดสีหรือประชดประชันและอยากกลับมาทำอย่างที่มอร์ริสซีย์และ The Smith เคยทำตอนร้องเพลง Panic ที่ว่า 'say nothing to me about my life' ซึ่งเป็นยาต้านพิษของยุค 80 พวกเขาได้แรงบันดาลใจมากจากเพลงนี้ รวมทั้งเพลงตีมจากทีวีโชว์ต่าง ๆ ด้วย พวกเขาเอาไอเดียมาจากหลายแหล่งเพื่อสร้างสรรค์เพลงของตัวเองขึ้นมา
ทั้งคู่ปล่อยซิงเกิ้ลออกมาไม่กี่เพลง แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้ศิลปินชื่อดังอย่างเอลตัน จอห์นเปิดในรายการวิทยุและเอ่ยปากว่าชอบเพลงของพวกเขา Suggs นักร้องวง Madness ก็เห็นด้วยเช่นกัน ไม่เท่านั้นแมตตี้ ฮีลลี่จาก The 1975 ยังคอยสนับสนุน แถมยังไปดูคอนเสิร์ตพวกเขามาแล้วด้วย โรแวนบอกว่าไม่แปลกใจเลย เพราะ The 1975 ก็มีจุดประสงค์เหมือนกัน พวกเขาเลยเข้าใจกันดี
เพลงล่าสุดของพวกเขา Chin Up เป็นเพลงที่ปล่อยมาช่วงบอลโลกเพื่อให้กำลังใจทีมชาติอังกฤษ แถมในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ยังมีสมาชิกจาก Wolf Alice และ Swim Deep มาร่วมแจมอีกด้วย ส่วนเพลงที่แนะนำ ขอยกให้เพลง Party Politics เนื้อเพลงฉลาด มีอ้างอิงป็อปคัลเจอร์ และส่ง message ดี ต้องยอมรับว่าจุดแข็งของวงนี้คือเนื้อเพลง ยิ่งฟัง ยิ่งสนุก ยิ่งปล่อยมา ยิ่งเซอร์ไพรส์
King Nun เซ็นสัญญากับ Dirty Hit (ค่ายเดียวกับ Superfood, Pale Waves, The 1975, Wolf Alice) และทั้งสี่ก็ได้ไปทัวร์กับ Pale Waves และ Superfood มาแล้ว แต่เพลงของพวกเขาแต่งต่างกับวงรุ่นพี่ในค่าย เช่นเดียวกับ Tulip เพลง Sponge, Hung Around และ Speakerface ก็เต็มไปด้วยเสียงแตกของกีตาร์และการร้องที่ดุดันมีพลัง เพลง Speakerface ยังถูกนำไปใช้ประกอบเกม Dream League Soccer 2017 อีกด้วย
Chinese Medicine คือเพลงใหม่ล่าสุดของพวกเขาจาก EP ที่เตรียมวางจำหน่ายในอีกไม่นานนี้ กลับมาครั้งนี้ King Nun เปลี่ยนแนวทางจากการเน้นเสียงแตกพร่าของกีตาร์และความหนักแน่นของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นมาเล่นกับจังหวะดนตรีมากขึ้น เสริมด้วยลูกเล่นของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่ช่วยขับเพลงให้ประสานกันและเสริมความน่าสนใจของดนตรีมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่น่าจับตามองสำหรับ EP แรกของหนุ่ม ๆ ทั้งสี่คนนี้
ช่วงนั้นในแนชวิลล์มีแต่วงพังก์ที่เต็มไปด้วยผู้ชาย โซฟีรู้สึกว่าตัวเองก็ทำเพลงได้เหมือนกัน จึงตัดสินใจปล่อยเพลงลงในอินเทอร์เน็ต คนรอบตัวก็เริ่มเอ่ยปากชมและเข้ามาขอเทปที่เธออัดเพลงเอาไว้ โซฟีปล่อยอัลบั้มลง Bandcamp หลังจบไฮสคูลเมื่อปี 2015 จากนั้นย้ายไปเรียนด้าน music business ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และที่นั่นเองที่ทำให้เธอได้รู้จักเพื่อนใหม่ โซฟีส่งเพลงไปให้เพื่อนที่มีค่ายเพลงเล็ก ๆ ในนิวยอร์ก เธอจึงได้ปล่อย For Young Hearts ออกมาในปี 2016 อัลบั้มนี้ไปสะดุดตาให้ค่าย Fat Possum เห็นความสามารถ หลังจากนั้นเธอลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาเป็น Soccer Mommy เต็มตัว
Soccer Mommy ปล่อยเดบิวต์อัลบั้ม Clean ออกมาเมื่อเดือนมีนาคม อัลบั้มนี้พูดถึงความรัก ความห่วงหา และความเปราะบาง เป็น 10 แทร็กที่ดำดิ่งไปกับอารมณ์ความรู้สึกในแบบฉบับอินดี้ร็อกเบา ๆ เนื้อร้องของโซฟีอาจเถรตรงและประชดประชันอย่าง "I don't wanna be your fucking dog that you drag around." จากเพลง Your Dog ที่เธอเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของคนรักกับสัตว์เลี้ยง หรือโศกเศร้าเปราะบางอย่างในเพลง Scorpio Rising ที่ว่า "Cause you're made from the stars that we watched from your car. And I'm just a victim of changing planets. My Scorpio rising and my parents."
ที่มา: ลอนดอนตะวันตก ประเทศอังกฤษ แนวเพลง: indie rock, post-punk
สมาชิก: Alex Rice - ร้องนำ, Oli Dewdney - เบส, Al - กลอง, Henry, Ben
วงลอนดอน 6 ชิ้นวงนี้พบกันครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในปีสุดท้ายของการเรียน เนื่องจากซีนดนตรีแถบนั้นไม่มีพื้นที่ให้วงดนตรีออกมาแสดงสดมากนัก พวกเขาจึงเริ่มเล่นตามงานปาร์ตี้และบอลรูมของมหาวิทยาลัยและปรับมันเป็นเวทีสำหรับการแสดง ครั้งหนึ่งพวกเขาได้พบกับ Dave McCracken (ผู้ที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้ Ian Brown, Depeche Mode, Florence & The Machine) และเดฟได้ชวนพวกเขาไปอัดเพลงที่สตูดิโอในเวลาต่อมา อิทธิพลทางดนตรีของ Sports Team มาจาก The Family Cat, Haircut 100, Pavement และ Pulp เป็นส่วนใหญ่
Sports Team เพิ่งปล่อย EP แรก Winter Nets ไปเมื่อมกราคมที่ผ่านมา EP นี้ประกอบไปด้วยเพลง Beverly Rose ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชนบทของอังกฤษ เพลงนี้เต็มไปด้วยพลังและเสียงพร่าของกีตาร์ ตามมาด้วย Camel Crew เพลงขึ้นชื่อจากการแสดงสดและถูกเรียกว่าเป็น "เพลงดิส" ที่เลื่องลือกันผ่านเครือข่ายออนไลน์ว่าเพลงนี้เขียนเสียดสีถึงวงลอนดอนตอนใต้อย่าง HMLTD และตามที่อเล็กซ์ ไรซ์ได้เล่านั้น ดุคจาก HMLTD ถึงขั้นซื้อตั๋วมาดูการแสดงและยืนจ้องอยู่หน้าเวทีเลยทีเดียว ส่วนเพลง Winter Nets จังหวะสบาย ๆ ลงมาหน่อย ถึงดนตรีจะเรียบง่ายแต่ก็ดีไม่แพ้กัน ต่อด้วย Back to the Point ที่มีจังหวะสนุกและเนื้อหาเสียดสี จบลงด้วย Stanton เพลงแรกที่พวกเขาแต่งที่ดูเหมาะกับการแสดงสดดีทีเดียว
ที่มา: ลอนดอนตอนใต้ ประเทศอังกฤษ แนวเพลง: pop, ballad, jazz
สมาชิก: Matt Maltese
ในบรรดาวงการเพลงลอนดอนตอนใต้ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ Matt Maltese ดูจะแตกต่างไปคนละสไตล์เลยทีเดียวดนตรีของแมตต์ในช่วงแรกเป็นสไตล์บัลลาดที่เขาร้องและบรรเลงเปียโนเป็นหลัก แมตต์เป็นที่รู้จักจากเพลง Even If It's a Lie ที่เขาอัดในห้องนอนและปล่อยลงใน soundcloud ผลงานชิ้นแรก ๆ นี้ได้แรงบันดาลใจจาก Leonard Cohen และ Joni Mitchell แต่เมื่อโตขึ้น เพลงของเขาก็เริ่มพัฒนาไปทีละนิด เสียงนุ่มทุ้มขึ้น เนื้อเพลงตลกเสียดสีขึ้น เขาค้นพบสไตล์ของตัวเองและมันก็ไปได้สวยทีเดียว
แบรนดอน ฟลาวเวอร์ ฟรอนท์แมนวง The Killers ยังเคยเอ่ยปากชมว่าชอบแมตต์และเพลงของเขา
พาดหัวในบทความของ Noisey ถึงกับยกให้เป็น “มอริสซีย์คนใหม่แห่งยุคมิลเลนเนียล" แถม NME ยังจัดกลุ่มให้อยู่ในเพลงแนว schmaltzcore ร่วมกับ Rex Orange County และ Tom Misch
เดบิวต์อัลบั้มของเขามีชื่อว่า Bad Contestant ที่ปล่อยไปเมื่อเดือนมิถุนายน กลับมาครั้งนี้อาจมีบางเพลงที่ไม่ได้จับเปียโน แต่นั่นไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของบทเพลงหายไปเลย แมตต์เริ่มเขียนเนื้อเพลงขี้เล่นอย่าง "You're the beauty, the stranger in the grocery store. You're the highest quality hardwood door. You're the final wartime piece of bread" ในเพลง Greatest Comedian ไปจนถึงเนื้อเพลงจิกกัดตัวเองใน Bad Contestant "I'm a toothache. I'm the saddest case. I'm often looking round for my next mistake. I'm your garden waste. I've left no trace. I'm only here for some hollow math debate." หรือแม้กระทั่งเพลงรักโรแมนติกระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์และเทเรซ่า เมย์ ขณะโลกจะถึงจุดจบหลังกดปุ่มปล่อยระเบิดนิวเคลียร์ใน As The World Caves In
Matt Maltese จึงเป็นศิลปินอีกคนที่น่าจับตามองอีกคนในวงการอินดี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in