19. Experiment“คุณอยู่ที่บ้านผม คุณโดเฮอร์ตี้ เพื่อนของคุณออกไปโทรศัพท์ข้างนอก สักพักคงกลับมา”
เสียงของ ดร. เครตช์เมอร์เรียบเฉย ค่อนข้างเย็นชา และเหมือนจะเจือด้วยสำเนียงไม่ชอบใจ
เขาไม่รอให้ผมถามว่า ตัวเองอยู่ที่ไหน มาได้อย่างไร และนอกจากเขาแล้วมีใครอยู่ด้วยอีกบ้าง
เหมือนครั้งแรกที่พบกัน สายตาของเขาที่มองมายังผม ยังคงเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
ตรงกันข้ามกับผมที่ยินดีจะเชื่อเขา เมื่อเห็นโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ของผมบนโต๊ะหัวเตียง
หน้าจอที่ล็อกเอาไว้แสดงให้เห็นว่ามีข้อความและสายเรียกเข้าที่ผมไม่ได้รับ และมีชื่อพีทรวมในนั้น
ส่วนสูทแจ็คเก็ตของผมกับเนคไทถูกแขวนพาดเอาไว้บนพนักเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างเตียง
“ขอบคุณครับ” ผมบอก ดร. เครตช์เมอร์ พยายามขยับตัว และหย่อนขาลงข้างเตียงเพื่อลุกยืนขึ้น
แต่ต้องหยุดตัวเองไว้แค่นั้น เพราะศีรษะของผมหนักอึ้งและปวดหนึบเหมือนมีใครมาบีบขมับสองข้าง
“บอกผมหน่อยซิ คุณชิมาดะ ว่าคืนนี้ คุณไม่ได้เล่นยา หรือไปยุ่งเกี่ยวกับ Chemsex ที่ไหนมา”
“ขอโทษนะครับ...?”
คำว่า Chemsex ที่เขาพูดถึง ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร และคำถามนั้นก็ทำให้หน้าผมร้อนวูบ
Chemsex มีความหมายว่า การใช้ยาหรือสารกระตุ้นก่อนหรือระหว่างการมีเซ็กซ์ ด้วยความเชื่อว่า
เป็นจะช่วยเร้าอารมณ์ หรือทำให้สนุกกันได้มากขึ้น ในกลุ่มชายรักชายบางพวกก็ใช้มันด้วยเหตุผลนี้
ผมไม่เคยบอกเขาว่า ผมมีรสนิยมทางเพศแบบไหน แต่ท่าทีของเขาดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
“ผมเจอคุณอยู่ที่ทางเดินขึ้นชายหาด สภาพเหมือนคนเมายา เสื้อผ้าหลุดลุ่ยอย่างที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้
ผมถึงได้ถามคุณไงว่า คุณมีอะไรกับใครมา แล้วใช้ยาหรือเปล่า” เขาอธิบายโดยไม่ละสายตาไปจากผม
ท่าเรือไบรตัน... คือ สถานที่สุดท้ายที่ผมจำความได้ และเป็นสถานที่ที่ผมเช็คอินครั้งสุดท้ายให้พีทได้รู้
เส้นทางที่ผมเดิน เป็นเส้นทางเลียบด้านล่างของชายหาดไบรตัน ไม่ใช่ด้านบนฟุตบาทที่ติดกับถนน
เพราะในเวลานั้น ลมทะเลเริ่มแรงขึ้น และผมไม่อยากให้เสียงลมและเสียงรถรบกวนตอนที่ผมคุยกับลีโอ
ผมคงหมดสติไปหลังจากวางสาย และเดินไปยังทางขึ้นฟุตบาท ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสามร้อยเมตร
ผมพยายามทวนความจำของตัวเองว่า ได้ยินเสียงฝีเท้าของใคร หรือรู้ตัวว่ามีใครติดตามมาหรือไม่
แต่ก็นึกอะไรไม่ออก คงเพราะจดจ่ออยู่กับเรื่องของวินเซนต์ แอปเปิลบี้ และจุดที่นัดพีทไว้จนไม่ทันสนใจ
“ผมจำอะไรไม่ได้” ผมยกมือขึ้นสัมผัสที่ต้นคอด้านหลัง รอยแผลเล็ก ๆ สองรอยนั้นยังแสบอยู่ไม่หาย
“ผมไม่รู้ว่า คุณรู้เกี่ยวกับตัวผมมากแค่ไหน ผมเคยเปลี่ยนคู่นอนบ่อยก็จริง แต่ผมไม่เคยใช้ยา”
“ก็ไม่แน่ว่า คุณอยากจะทดลองอะไรใหม่ ๆ อย่างมีอะไรกันนอกสถานที่ แล้วก็ลองใช้ยากัน”
ผมจ้องตาตอบจิตแพทย์ที่ดูเหมือนว่า เขาไม่คิดอยากจะดำรงสถานะนั้นต่อหน้าผมสักเท่าไหร่
ผมพยายามเก็บอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้ในใจ และภาวนาให้คู่หูของผมกลับเข้ามาในบ้านให้เร็วที่สุด
ก่อนที่ผมจะโกรธจนขาดสติ ลุกขึ้นไปต่อยหน้าเฟรเดอริก เครตช์เมอร์สักหมัด ไม่ใช่ก่อนเขาจะฆ่าผม
“ผมเห็นคุณอยู่กับวินเซนต์ แอปเปิลบี้ที่ Giggling Squid”
ฟังดูเป็นประโยคกล่าวหามากกว่าประโยคบอกเล่า แต่มีอะไรบางอย่างที่ผมรู้สึกสะดุดใจเป็นพิเศษ
“แล้วคุณก็มาอยู่ที่ท่าเรือกับชายหาดไบรตัน ที่ผมมาดื่มกับวินเซนต์งั้นหรือครับ”
คำถามของผมทำให้เขาเงียบไป ใบหน้าของเขาแดงขึ้น เพราะความกระอักกระอ่วนมากกว่าโกรธ
ดูเหมือนว่า ผมจะตีความหมายของสายตาของเขาที่มองผมในวันที่พบกันใกล้ที่เกิดเหตุผิดไปบ้าง
ที่จริง ผมอยากขอเขาใช้ห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าสำรวจให้แน่ใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมบ้างตอนหมดสติ
แม้ว่า ผมจะไม่รู้สึกถึงอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของผม ยกเว้นรอยแผลที่หลังต้นคอเท่านั้น
แต่มีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า และผมไม่อยากให้โอกาสในการซักถามสิ่งที่ผมอยากรู้ขาดตอนไปตอนนี้
“แค่อยากบอกว่า โชคดีที่คุณพบผมที่นั่นเท่านั้นเอง” ผมฝืนยิ้มให้เขา “แล้วคุณเจอพีทได้ยังไงครับ”
คำถามและท่าทีของผมทำให้เขาเงียบไป เหมือนไม่คาดคิดว่า ผมจะยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มันเป็นคำถามง่าย ๆ ถ้าเขาจะตอบมาตามตรง แต่ถ้าเขาพยายามตีความมัน เขาอาจตอบมันไม่ได้
“ผมกำลังหาทางพาคุณไปส่งที่โรงพยาบาล กำลังจะโทรศัพท์เรียกแท็กซี่ให้มารับ เขาก็มาพบพอดี”
“คุณไม่มีรถ...” ผมตั้งข้อสังเกต สติของผมเริ่มกลับคืนมาแล้ว แม้ว่าอาการคลื่นไส้จะยังคงอยู่
มีความเป็นไปได้ว่า ยาที่เขาพูดถึงก่อนหน้านี้ อาจเป็น GHB ที่เหยื่อได้รับ หรือเป็น โรฮิปนอล
มันไม่ได้ทำให้ฝันดี ก่อนที่จะตื่นขึ้นแล้วลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป เพราะบางครั้ง มันก็ทำให้ฝันร้ายได้
“รถของผมสตาร์ทไม่ติด ยังหาสาเหตุไม่ได้ เลยให้อู่ลากเอาไปซ่อม คงใช้เวลาสักสองสามวัน”
เขาตอบ และผมอดคิดในใจไม่ได้ว่า ถึงจะไม่มีรถใช้ แต่เขาก็มีความอุตสาหะในการตามดีเหลือเกิน
ถ้าหากพีทไม่มาพบผมกับเขาเสียก่อน สถานที่ที่ผมถูกพาไปอาจไม่ใช่โรงพยาบาล หรือที่นี่ก็เป็นได้
“ขอบคุณมากครับ และต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องลำบาก” ผมบอกเขา และพยายามลุกยืนขึ้น
ผมรู้สึกว่าตัวเองยืนโงนเงนอยู่พักใหญ่ พอก้มลงจะหยิบเอากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือ
ก็เสียหลักเซไปข้างหน้า จนต้องใช้มือยันผนังห้องเอาไว้ไม่ให้ล้ม ก่อนที่จะมีมือหนึ่งเข้ามาประคอง
เจ้าของมือนั้น คือ พีท ไม่ใช่เฟรเดอริก เครตช์เมอร์ ที่ผมแน่ใจแล้วว่า เหตุที่เขาไม่ชอบหน้าผม
คือ เขาชอบลีโอ และลีโออาจเคยบอกกับจิตแพทย์ของตนเองด้วยความเชื่อใจว่า เขาชอบผม
เมื่อคนเราลงมีอคติกับใครแล้ว ต่อให้มีอาชีพที่ควรรู้เท่าทันใจตัวเอง ก็ยากที่จะห้ามความคิดนั้นได้
ความรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ถูกเลือก ทั้งที่ผมมีการศึกษา มีระยะเวลาที่รู้จักกับลีโอน้อยกว่าเขา
คงทำให้ ดร. เครตช์เมอร์เกลียดผม ไม่อยากเป็นมิตร เพราะความผิดหวังที่ได้รับมากกว่าอย่างอื่น
ยังมีคำถามอีกมากที่ผมอยากถามเขา แต่ผมไม่อยู่ในสภาพที่จะทำอย่างนั้นได้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
สิ่งที่ผมทำได้ คือ การทดลองประเมินสถานการณ์และวิธีการที่จะรับมือกับเขาก่อนเปิดเกมที่แท้จริง
ผมไม่อยากรีบร้อนจนคนร้ายที่ผมค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าเป็นใครจะไหวตัวทันจนหนีพ้นมือกฎหมายได้
และผมเลือกที่จะยังไม่ถามเขาในตอนนี้ว่า เขากับวินเซนต์ แอปเปิลบี้รู้จักกันในฐานะอะไรกันแน่
20. สเต็กเนื้อ
ผมเป็นหนี้บุญคุณพีท โดเฮอร์ตี้มากเหลือเกิน เพราะการตัดสินใจของเขาทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
และโชคดีที่เขามาพบผมก่อนที่ ดร. เฟรเดอริก เครตช์เมอร์จะพาผมไปโรงพยาบาล ถ้าเขาทำตามที่พูด
เพราะการพาผมไปโรงพยาบาลหมายถึงการที่ตำรวจท้องที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง และเรื่องจะไปกันใหญ่
เนื่องจากสภาพของผมที่เหมือนเมายา เสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย กับสถานะทางเพศของผมอาจทำให้มีปัญหา
แม้ไบรตันจะเป็นเมืองที่จัดพาเหรดเกย์ไพรด์ทุกปี แต่ใช่ว่าตำรวจทุกคนจะเข้าใจกลุ่ม LGBTQ
ความเป็นไปได้ที่จะในการตีความว่า เป็นการคุกคามทางเพศ หรือ chemsex ในสายตาตำรวจมีเท่ากัน
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมทางเพศที่ผ่านมาของผมที่ไม่เคยคบหากับใครจริงจังได้นานนัก
ความโน้มเอียงที่คนจะมองว่า ผมเต็มใจมีความสัมพันธ์กับคนที่ตัวเองไม่รู้จักและใช้ลองยาด้วยมีมากกว่า
ในสภาพที่ผมไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ ผมเชื่อสัญชาตญาณของพืท ในฐานะตำรวจด้วยกันและเพื่อน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในฐานะคู่หู พีทไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง มีแต่ยิ่งทำให้ผมไว้วางใจเขามากยิ่งขึ้น
อีกคนที่ผมต้องขอบคุณ คือ ลีโอ... ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้พีทตัดสินใจโทรศัพท์ไปบอกเรื่องของผมกับลีโอ
ทั้งสองคนทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี และปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึงคลี่คลายลงอย่างง่ายดาย
จากบ้านของ ดร. เครตช์เมอร์ พีทขับรถพาผมไปที่แล็บนิติวิทยาศาสตร์เอกชนแห่งหนึ่งในไบรตัน
พยาธิแพทย์กับเจ้าหน้าที่แล็บที่รออยู่เป็นเพื่อนรุ่นน้องของลีโอที่เพียรบอกให้เขาลาออกมาร่วมงานกัน
ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความ พวกเขาจัดการทุกอย่างตามกระบวนการที่ควรทำอย่างมืออาชีพ
ตลอดเวลาของกระบวนการเหล่านั้น ลีโอรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และทำหน้าที่เป็นสมองแทนผมทุกอย่าง
เราตกลงกันว่า จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเอาไว้ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจทีหลังเมื่อทุกอย่างชัดเจนขึ้น
ผมไม่รู้ว่าควรขอบคุณพวกเขาเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ และนึกอะไรไม่ออกนอกจากคำว่า ขอบคุณ
ผมไม่รู้ว่า ตัวเองพูดขอบคุณพีทไปแล้วกี่ครั้ง จนกระทั่งในที่สุด เขาบอกว่าไม่ต้องการอะไรจากผม
ถ้าหากผมต้องการตอบแทนอะไรเขา ก็ขอแค่สเต็กเนื้อดี ๆ หรือซันเดย์โรสต์จากผับประจำของเราก็พอ
เป็นครั้งแรกที่ผมเข้าใจความรู้สึกของคนที่ตกเป็นผู้เสียหายได้ลึกซึ้งที่สุด แม้ว่าจะจำอะไรไม่ได้ก็ตาม
และไม่เคยรู้สึกดีกับการมีใครสักคนที่รอรับผมอยู่ที่บ้าน และอยู่กับผมในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดช่วงหนึ่ง
มันอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผมเลยก็ได้ ผมค่อนข้างแน่ใจอย่างนั้น แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้
และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด คนที่ทำร้ายผมที่มุมอับของชายหาดและท่าเรือไบรตันในคืนวันก่อนนั้น
อาจไม่ใช่คนแปลกหน้าที่หมายตาใครก็ได้แล้วผมบังเอิญเดินผ่านมา แต่อาจเป็น ‘มัน’ ที่เราต้องการตัว
ลีโอเป็นคนที่ผมพึ่งพาได้เสมอ เขาไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด เมื่อพีทพาผมมาส่งที่บ้าน ที่เขายืนรอรับอยู่
เขาเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งพีทกลับบ้าน และโอบกอดผมเอาไว้ เมื่อเหลือเราอยู่ตามลำพังเพียงสองคน
เสื้อโค้ตของเขาเย็น เช่นเดียวกับปลายจมูก และหนวดเคราที่ชื้นด้วยไอเย็นจากสายหมอกนอกบ้าน
ในขณะที่เขาให้กุญแจบ้านของเขาแก่ผมเอาไว้ ให้ผมเข้าไปรอเขาในบ้านที่อบอุ่นได้ตลอดเวลา
แต่เขากลับต้องยืนรอผมอยู่นอกรั้วบ้าน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นของปลายฤดูใบไม้ร่วง
ผมซุกหน้าเข้ากับอกของเขา ความพยายามที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้พังทลายไปหมดแล้ว
ผมไม่ได้ร้องไห้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองที่ยังไม่รู้ว่า มันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพียงใด
แต่ผมร้องไห้เพราะความรู้สึกอัดอั้นตันใจและความกดดันที่ตัวเองแบกรับเอาไว้มานานหลายสัปดาห์
ร้องไห้เพราะความรู้สึกที่ผมอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เมื่อผมได้รับสิ่งที่ผมไม่ควรได้รับเลยจากเขา
อ้อมแขนของลีโอโอบกระชับแน่นขึ้น เขาจูบและแนบหน้ากับเรือนผมของผม และโยกตัวไปมาเบา ๆ
มือข้างหนึ่งของเขาลูบหลังของผมเพื่อปลอบโยน และปล่อยให้ผมร้องไห้จนกระทั่งน้ำตาแห้งหายไปเอง
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ ฮารุ”
เขาเอ่ยกับผมด้วยรอยยิ้ม และนั่นก็มากเพียงพอที่จะทำให้ผมยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรก
“ผมกลับมาแล้ว ลีโอ”
To be continued >>> Day 21 : Tin Wall
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in