เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Abysspiyarak_s
Day 17-18 : Sky and Bed sheet
  • ท้องฟ้า

    ระหว่างที่รอพีท ผมเดินไปตามถนนเลียบท่าเรือ 
    ท้องฟ้าเดือนพฤศจิกายนมืดสนิท เช่นเดียวกับผืนน้ำข้างหน้า
    ถ้าไม่มีแสงสว่างจากบนฝั่งสาดส่องลงไปเบื้องล่าง 
    สิ่งที่ผมเห็นในเวลานี้คงเป็นความมืดมิดที่ยากเกินหยั่ง
    เช่นเดียวกับคดีที่ผมมีอยู่ในมือในเวลานี้ 
    จิตใจของฆาตกรที่ลงมือฆ่าเหยื่อ และอาจรวมถึงจิตใจของผมด้วย


    ผมนั่งบนม้านั่ง โทรศัพท์กลับไปที่หมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาหาระหว่างที่ผมอยู่กับวินเซนต์ 
    มีสัญญาณว่าโทรติดแล้วดังขึ้นสองหรือสามครั้ง ก่อนที่ปลายสายจะตอบกลับมา “ฮารุ...”

    “ลีโอ...” ผมเรียกชื่อเขา อดไม่ได้ที่จะใช้แขนเสื้อเชิ้ตของตัวเองเช็ดปากที่เพิ่งจูบกับคนอื่นไปเมื่อครู่นี้

    ผมโกหกวินเซนต์ว่าพีทโทรศัพท์มาว่ากำลังมารับ เพราะความจริงแล้ว เจ้าของโทรศัพท์สายนั้นคือ ลีโอ
    ในช่วงเวลาที่ผมกำลังคิดหนักและหาข้ออ้างที่จะหนี คิดแม้กระทั่งจะส่งข้อความให้ใครสักคนช่วยโทรเข้า
    ลีโอก็โทรศัพท์เข้ามาในจังหวะเวลาที่ผมกำลังต้องการใครสักคนพอดี ทำให้ผมมีข้ออ้างปลีกตัวออกมา


    “เสียงนายสั่น” เขาทัก น้ำเสียงของเขานุ่มนวล และบ่งบอกถึงความเป็นห่วง แม้จะไม่ถามออกมาตรง ๆ
    “ผมอยู่แถว Brighton Pier ดื่มมานิดหน่อย ลมกำลังแรงเลย” ผมบอก เป็นความจริง แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด
    “นายโอเคนะ” เขาถามโดย ไม่ได้ซักไซ้หรือรุกไล่เอาความจริง เพียงแต่ถามสิ่งที่ผมสามารถตอบเขาได้
    “ผมโอเค” ขณะตอบ ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ในอก ผมรู้ว่าตัวเองไม่ได้เมา และรู้ว่ามันคืออะไร


    “คุณเป็นไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม” ผมถามเขากลับ พยายามเงี่ยหูฟังเสียงที่อยู่เบื้องหลังของเขา
    ผมได้ยินเสียงเพลง Heart like a Wheel ... น่าจะเป็นเพลงนั้น ถ้าผมฟังไม่ผิด เขาชอบเพลงเคลติกโฟล์ก
    เขาอาจอยู่ที่บ้านหรือห้องทำงานที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ นั่งทำรายงาน ใช้บ้านซุกหัวนอนเหมือนเคย
    “ถ้าไม่นับเรื่องมีศพคดีอื่นมาให้ชันสูตรเพิ่ม ทุกอย่างเรียบร้อยดี ฮัล... ฉันกำลังจะออกจากออฟฟิศ”


    เสียงเพลงที่ผมได้ยินหายไปแล้ว ผมได้เสียงของเขาเก็บแฟ้มเอกสาร เสียงกุญแจ และเสียงปิดสวิตช์ไฟ
    “อย่าลืมอาหารเย็นนะ ลีโอ” ผมบอก นั่นเป็นสิ่งที่เราต่างคนต่างละเลยเมื่ออยู่ลำพัง ไม่ใช่ตอนอยู่ด้วยกัน
    “แน่นอน ไม่ต้องห่วง อยากได้อะไรพิเศษไหม ฉันจะได้ซื้อไว้ให้ เผื่อนายจะมาค้างที่บ้านอีก”
    เสียงเขาฟังดูแจ่มใสมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และผมนึกภาพได้ทันทีว่า เขากำลังยิ้มตลอดเวลาที่พูด
    “ไม่ครับ ขอบคุณนะ ไว้กลับไปลอนดอนแล้ว ผมจะไปหา” ผมบอกเขา และบอกลาสั้น ๆ แล้ววางสาย


    ผมจ้องมองจอโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือจนกระทั่งหน้าจอตัดเข้าล็อกสกรีน และแสงไฟดับลง
    ผมหายใจเข้า และระบายออกช้า ๆ กลุ่มควันสีขาวจากไออุ่นของร่ายกายที่ปะทะความเย็นลอยในอากาศ
    “ผมคิดถึงคุณนะ ลีโอ” ผมพึมพำ มองผืนน้ำและท้องฟ้ามืดดำอีกพักหนึ่ง แล้วเดินกลับสู่แสงสว่าง



    ผ้าปูที่นอน

    “ลีโอ...”

    เสียงที่ผมใช้เรียกชื่อของคนที่อยู่กับผมในเวลานี้สั่นพร่าจนผมจำเสียงตัวเองไม่ได้
    ลมหายใจของผมติดขัด ดวงตาพร่ามัว ความเคลื่อนไหวของเขารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
    ในขณะที่ความเคลื่อนไหวของผมกลับสะเปะสะปะอย่างควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
    ปลายนิ้วมือและปลายเท้าของผมจิกลงบนผ้าปูที่นอนจนยับย่น แต่มันไม่ช่วยอะไร


    ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน... เพราะมันเหมือนไม่ใช่เขา และเหมือนไม่ใช่ตัวผมเอง


    ใบหน้าที่ก้มลงมาหาผมรางเลือน เมื่อมือของผมยื่นออกไปเอื้อมคว้าเขาเป็นหลักยึด
    ก็พบว่าใบหน้าของคนที่โน้มตัวอยู่บนตัวของผมเกลี้ยงเกลา ผิดจากลีโอที่ผมคุ้นเคย
    ร่างนั้นยังรุกล้ำเข้ามาไม่หยุด แต่ผมไม่มีแรง ไม่มีความสามารถที่จะผลักไสเขาออกไป


    กลิ่นหอมสะอาดของสบู่ไอริชสปริงแปรเปลี่ยนไปเป็นกลิ่นที่ผมไม่เคยสัมผัสจากลีโอ
    คุ้นจมูก แต่สมองของผมหนักอึ้งจนคิดอะไรแทบไม่ออก ยิ่งคิด ยิ่งปวดหัวหนักขึ้น
    จากกลิ่นของโรสแมรี่ เป็นกลิ่นตะไคร้ แล้วจึงกลายเป็นกลิ่นของบรั่นดีที่ผ่านเปลวไฟ


    วินเซนต์ แอปเปิลบี้... ชื่อนั้นผุดขึ้นมาในความคิดของผม... มันเป็นไปไม่ได้


    ผมมาอยู่กับเขาได้อย่างไร ทั้งที่ผมควรอยู่กับลีโอ ที่บ้านของเขา ที่ลอนดอน
    ผมควรจะนอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่ม บนเตียงหลังจากร่วมรักกับเขาหลังจากกลับไปหาเขา
    ผมแยกกับวินเซนต์ที่ท่าเรือไบรตัน เขากลับไปแล้ว และผมเดินกลับไปยังจุดที่พีทว่าจะมารับ


    ความทรงจำของผมหลังจากนั้นเหมือนกับขาดหายไปเฉย ๆ


    ผม ‘คิด’ ว่าตัวเองอยู่ในลอนดอน อยู่กับลีโอ แต่ความจริงแล้วผมอยู่ที่ไหนกันแน่
    ผมไม่รู้เลยว่า ในตอนนี้ ตัวของผมอยู่ในความจริง หรือความฝัน หรืออะไรกันแน่


    ผมพยายามดิ้นรน ทั้งที่เปลือกตาหนักขึ้น แขนขาแทบไม่มีแรงเหลืออยู่ เริ่มคลื่นไส้
    ในความพยายามที่เหมือนจะมีค่าเท่ากับศูนย์ ร่างที่คร่อมทับและเคลื่อนขยับอยู่ก็หยุดลง
    แต่เมื่อผมลืมตาขึ้น คนที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่วินเซนต์ แต่เป็นนีล แมคเคนซี
    ผมเห็นหน้าของเขาไม่ชัด แต่ผมรู้ว่าเป็นเขา ทว่าไม่ทันที่ผมจะขยับปากเอ่ยสิ่งใดออกไป
    ผมกลับร้องออกมาสุดเสียง เมื่อร่างของเขาขาดออกเป็นสองท่อน ทั้งที่ใบหน้าของเขายังยิ้มอยู่


    ผมลุกพรวดขึ้นจากเตียงที่ผมนอนอยู่ มือทั้งสองข้างยังคงกำผ้าปูที่นอนแน่น
    เหงื่อของผมโทรมกายจนเสื้อเชิ้ตกับกางเกงที่สวมเปียกแนบตัว ขณะที่ผมหอบหายใจ
    อาการเจ็บแสบที่เกิดขึ้นบริเวณหลังต้นคอที่เหงื่อของผมหยดไหลลงไปถูกบาดแผลเข้า
    ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นสัมผัสบริเวณดังกล่าวโดยอัตโนมัติ และพบรอยแผลเล็ก ๆ สองจุดที่นั่น


    เจ็บ แต่มันก็ช่วยเรียกสติของผมให้กลับคืนมา แม้ว่าอาการมึนงง และปวดมวนในท้องจะยังอยู่
    แต่ในเวลานี้ ผมควรจะต้องรู้ให้เร็วที่สุดว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เพราะบาดแผลที่ได้รับ แม้จะมองไม่เห็น
    แต่ผมพอคาดเดาได้ว่า มันเป็นรอยแผลที่เกิดขึ้นได้เมื่อแนบเครื่องช็อกไฟฟ้าบนผิวหนังส่วนที่อ่อน


    สิ่งที่ผมสรุปกับตัวเองได้ในวินาทีนั้น ความรู้สึกเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านลงมาตามแนวสันหลัง


    พีทอยู่ที่ไหน รู้หรือเปล่าว่า ผมไม่ได้กลับไปกับเขา เพราะที่นี่ไม่ใช่โรงแรมที่พักที่เราจองเอาไว้


    “คุณชิมาดะ”


    ผมสะดุ้งเฮือก หันขวับไปตามเสียงเรียก และพบว่า ดวงตาสีฟ้าเยือกเย็นคู่หนึ่งจ้องมองผมอยู่


    “ดร. เครตช์เมอร์...” 


    To be continued >>> Day 19 - 20 : Experiment and Steak 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in