เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
my writings.kurobakana
[SF] ใจเอย


  • Theme: Melodrama




    Pairing: Chwe Hansol x Boo Seungkwan


    Rating: PG18


    Warning: เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน



    ◍ ◍ แนะนำให้ฟังเพลง ‘ใจเอย’ ของมาช่าเพื่ออรรถรส




















    นัน วนันต์ ชวมงคลกุล (อายุ 21)


    x


    ขวัญ กรวิก บูรณ์อนันต์ (อายุ 22)












    ทุกคนต่างมองว่าวนันต์ ชวมงคลกุล เป็นคนที่โชคดีและเพียบพร้อมในทุกอย่าง ไม่ว่าจะชาติตระกูล รูปลักษณ์ และฐานะทางสังคม แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ใครต่างก็มองว่าโชคดีอย่างเขาไม่ได้มีชีวิตสมบูรณ์แบบอย่างที่คิด ถ้าจะพูดให้ถูก ความสุขได้ถูกพรากไปจากเขาตั้งแต่วันที่แม่เสียชีวิต เด็กหนุ่มที่อายุย่างเข้า 17 ในตอนนั้นรู้สึกเคว้งคว้างและโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนโลกทั้งใบหันหลังให้เขา แม้กระทั่งคนในครอบครัว 



    จนวันหนึ่ง วันที่ตรงกับวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 18 ปีของเขา พ่อได้พาสิ่งที่ตนเรียกว่า ‘ของขวัญ’ อย่างเต็มปากเต็มคำเข้ามาในบ้านชวมงคลกุล 



    ผู้หญิงคนนั้น



    แม่เลี้ยงของเขา



    เด็กหนุ่มละความสนใจกับเค้กช็อคโกแล็ตเจ้าโปรด เทียนที่ยังไม่ทันได้จุดจนครบ เขาลุกขึ้นเต็มความสูง ขยับเก้าอี้กระแทกกับโต๊ะเต็มแรง 



    วนันต์รู้ถึงพิษร้ายที่เรียกว่าความเกลียดชังครั้งแรกในวินาทีนั้น



    ดวงตาคมเหลือบมองแม่เลี้ยงคนใหม่และเด็กหนุ่มอีกคนที่คาดว่าจะเป็นลูกชายของเธอ 



    เขาจำดวงตากลมโตที่ดูตื่นตระหนกคู่นั้นได้เป็นอย่างดี



    นี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาพบกับกรวิก บูรณ์อนันต์









    II



    “กลับมาแล้วเหรอลูก” 



    วนันต์ที่เดินตามหลัง ‘ลูก’ ของประโยคนั้นมาห่าง ๆ มองผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามากอดหอมลูกชายของตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แม่เพิ่งอบคุกกี้ของโปรดหนูเสร็จพอดี” ก่อนจะรู้สึกตัวว่ามีเขาอีกคนที่กลับบ้านมาเหมือนกัน



    เธอยิ้มกว้างให้เขา ดวงตาอ่อนล้าคู่นั้นเต็มไปด้วยความดีใจ



    “ป้าเพิ่งจะอบคุกกี้เสร็จ ถ้านันไม่รังเกียจ—”



    “เขาไม่ทานหรอกฮะ ปล่อยให้คุณเขาพักผ่อนเถอะ”



    วนันต์เลิกคิ้วมองกิริยาคล้ายจะประชดประชันในทีของ ‘พี่ชาย’ อย่างสนใจ



    “ขวัญ แม่บอกแล้วไง—”



    “ขอบคุณครับคุณป้า ผมกำลังหิวพอดี” กรวิกหันมามองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะหันกลับไปสนใจมารดาของตนดังเดิม ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังของแม่ลูกบูรณ์อนันต์ ภาพของอีกฝ่ายที่โอบเอวของหญิงสาว เห็นท่าทีร่าเริงซึ่งผิดจากตอนที่อยู่บนรถกับเขาลิบลับแล้วอดจะหัวร่อไม่ได้



    “หอมมากเลยฮะ” 



    วนันต์มองเจ้าของใบหน้าทะเล้นที่แสร้งสูดกลิ่นหอมที่อบอวลในห้องครัว เจ้าตัวแย้มยิ้มสดใสขณะเอื้อมมือไปหยิบคุกกี้ในจาน 



    “ไม่ล้างมือก่อนเหรอขวัญ เพิ่งเล่นอะไรสกปรก ๆ มาไม่ใช่รึไง?” 



    ดวงตากลมเบิกกว้างจนน่าขันหลังจากเขาเอ่ยออกไป ก่อนจะหันไปมองมารดาของตนที่ดูจะไม่เข้าใจสถานการณ์นี้เสียเท่าไหร่ 



    “ขวัญ... เพิ่งเล่นบาสมาน่ะแม่” กรวิกหัวเราะ แต่ดวงตาคู่นั้นที่เหลือบมายังน้องชายต่างสายเลือด ดูก็รู้ว่าไม่ได้สนุกกับการหยอกเย้าครั้งนี้ของวนันต์นัก “ไม่คิดว่านันจะถือเรื่องแบบนี้ด้วย”



    “ไม่ถือไม่ได้หรอก มือของฉันก็สกปรกเหมือนกัน ถ้าไม่ล้างคงไม่ดีเท่าไหร่” เด็กหนุ่มลูกครึ่งอเมริกันเอ่ยเสียงเรียบ เขาเดินผ่านกรวิกเหลือบมองความกระอักกระอ่วนของคนตัวเล็กกว่าแล้วลอบยิ้ม



    “ไปล้างมือเถอะลูก อย่าถือสาน้องเลยนะ ตามประสาคนเรียนหมอน่ะ” กรวรรณพยายามตะล่อมลูกชาย เขาไม่รู้ว่าสองแม่ลูกมีสีหน้าเช่นไร แต่จากเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่เดินมายังเขาก็น่าจะเดาอารมณ์บูรณ์อนันต์คนลูกได้



    วนันต์แสร้งล้างมือเชื่องช้า เขาหันไปยิ้มให้กับคนอายุมากกว่าด้วยรอยยิ้มที่อีกฝ่ายเคยพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ชอบ 



    เสียงโทรศัพท์จากห้องรับแขกดังขึ้น เด็กหนุ่มร่างสูงเอี้ยวไปดูจนแน่ใจว่าแม่เลี้ยงของตนเดินไปรับโทรศัพท์แล้ว จึงขยับให้กรวิกเข้ามาล้างมือต่อจากตน



    “เป็นบ้าอะไรของนาย?”



    บุตรชายคนเล็กของชวมงคลกุลเหยียดยิ้ม ขณะเช็ดมือกับผ้าขนหนู “ฉันพูดผิดตรงไหน ต้องให้ฉันทวนรึเปล่าว่ามือของเราสกปรกเพราะอะไร”



    “อย่าพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าแม่ของฉันอีก”



    “ว้าว” วนันต์หัวเราะในลำคอ “ไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยว่านายต่อรองกับฉันได้ขนาดนี้ กรวิก” 



    เด็กหนุ่มร่างสูงเอื้อมไปจับมือของคนที่จะร้องไห้อยู่รอมร่อไว้ ดวงตาคมจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีเข้มสั่นระริกที่ไม่มองทางใดเลยนอกเสียจากมือของเขาที่ขยับสอดประสานกับตนจนแนบแน่น “กลัวคุณแม่ที่แสนดีของนายจะรู้หรือไงว่าลูกชายตัวเองใจแตกขนาดนี้”



    วนันต์เกลี่ยนิ้วโป้งบนหลังมือกรวิกไปมา พลางเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย “ฉันไม่แคร์หรอกนะ ถ้าจะต้องกลับไปเป็นไอ้เด็กเวรอย่างที่นายเคยเรียกน่ะ...” กดจูบที่ขี้แมลงวันสามจุดตรงข้างแก้ม “ชอบจะตายเวลาบ้านหลังนี้ลุกเป็นไฟ”



    ดวงตากลมเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตายามผินหน้ามาทางวนันต์ ริมฝีปากอิ่มถูกเจ้าตัวเม้มกัดจนแดงช้ำ เด็กหนุ่มช้อนตามองเขาคล้ายจะขอความเห็นใจ ก่อนจะหลับตาลงขณะส่ายหน้าเป็นเชิงยอมแพ้



    น่าสงสาร 



    แต่ก็น่ารังแกไม่แพ้กัน



    “ร้องไห้ทำไมล่ะครับ?”



    วนันต์ไล้ริมฝีปากซับหยาดน้ำตาบนแก้มเนียนอย่างแผ่วเบา เสียงครางในลำคอกับอากัปกิริยาคล้อยตามของอีกฝ่ายกวนจนตะกอนความปรารถนาที่เพิ่งนอนก้นกลับมาขุ่นคลักอีกครา 



    เขาอยากทำมากกว่านี้เหลือเกิน



    “พอแล้ว...” กรวิกที่ได้สติก่อน ดึงมือของตนออกจากการเกาะกุม เช็ดมือกับเสื้ออย่างลวก ๆ  และเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารโดยไม่หันกลับไปมองเขา



    วนันต์ยิ้มให้กับภาพตรงหน้า เขาพึงใจในชัยชนะของตนไม่น้อย เลือดในกายของเด็กหนุ่มสูบฉีดจนแทบคลั่ง



    บ้านหลังนี้ก็ไม่เลวเท่าไหร่



    “ขวัญ เมื่อกี้ตามิ่งโทรมา เขาบอกว่าติดต่อหนู

    ไม่ได้” เสียงของกรวรรณหยุดแผนการในหัวของเขาเสียสิ้น เด็กหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับกรวิกที่กำลังควานหาโทรศัพท์ของตน 



    วนันต์ลอบสังเกตความร้อนรนของคนตรงหน้าอย่างสนใจ 



    “หนูนี่จริง ๆ เลยนะขวัญ” คนเป็นแม่ตำหนิ “ทีหลังจะเลื่อนนัดอะไรก็ควรบอกพี่เขาไว้ก่อนนะลูก ตามิ่งแกยิ่งขี้กังวลอยู่ด้วย”



    “แม่ฮะ อย่าเพิ่งสิ ขวัญหาโทรศัพท์ไม่เจอเนี่ย”



    “นายลืมไว้ในรถหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มที่นั่งนิ่งมานานตัดสินใจเอ่ยแทรกบทสนทนาของสองแม่ลูก แสร้งลืมว่าเขาเองเนี่ยแหละที่เป็นคนหยิบโทรศัพท์จากมือของกรวิก ปิดมัน และโยนไปเบาะหลัง



    ...ก่อนที่เขาจะดึงร่างเล็กกว่าเข้ามาแล้วทำอะไร ๆ หลังจากนั้น



    “เดี๋ยวฉันไปดูให้”



    แต่รอยยิ้มในใจของวนันต์หายไปแทบจะในทันทีที่เห็นคน ๆ หนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน



    นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าพ่อของตนเองหลังจากที่ทะเลาะอย่างหนักเมื่อสองเดือนก่อน



    บรรยากาศอึมครึมเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของครอบครัวชวมงคลกุลไปเสียแล้ว แม้มันจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่แม่ของเขาจากไป แต่สิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชายคนเล็กของบ้านย่ำแย่ลงในทุก ๆ ครั้งที่เจอหน้าก็คือการเข้ามาของกรวรรณ



    เมื่อวนันต์อายุมากขึ้น เขาเลือกที่จะไม่โทษ

    ผู้หญิงคนนั้นฝ่ายเดียว อาจเป็นเพราะกรวิก

    เล่าเรื่องราวหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับแม่ของตนให้เขาฟัง และจากที่เขาเห็นมาตลอดสามปีหลังจากกรวรรณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชวมงคลกุล เธอดูแลเอาใจใส่เขาดีไม่ต่างกับลูกชายของเธอ



    นั่น... จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาชิงชังในตัวบิดามากขึ้น



    คนที่เอ่ยคำรักกับร่างเย็นเยียบของผู้หญิงคนหนึ่ง เมินคำขอสุดท้ายของเธอที่ให้รักและดูแลศรันย์กับเขา ทำให้ลูกชายทั้งสองมีความสุขที่สุดเท่าที่คนเป็นพ่อจะทำได้ แต่สุดท้าย ผู้ชายคนนี้กลับพาผู้หญิงอีกคนเข้ามาแทนที่ ซ้ำร้ายยังเลือกเปิดตัวในวันเกิดของลูกชายคนเล็กของตน...



    ในวันที่เด็กคนนั้นควรจะมีความสุขที่สุด



    “สวัสดีครับ” 



    วนันต์ยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้ พยายามข่มโทสะที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดบ้างภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย



    “ถ้าฉันไม่ไปไหน แกคงไม่คิดที่จะโผล่หัวมาสินะ” ดูเหมือนว่าบิดาของเขาจะไม่เห็นถึงความพยายามนี้สักเท่าไหร่ คำพูดประชดประชันค่อย ๆ รื้อทึ้งความอดทนของเด็กหนุ่มทีละน้อย



    “ผม... มาเอาหนังสือครับ”



    “แล้วแต่แกก็แล้วกัน” ผู้เป็นบิดาไหวไหล่ วนันต์เห็นอีกฝ่ายเบนความสนใจไปที่สองแม่ลูกที่โต๊ะอาหาร สีหน้าที่ผ่อนคลายกับรอยยิ้มบางที่เขาไม่เคยได้รับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพ่อ “วันนี้เหมือนกรวรรณจะเป็นคนเตรียมอาหารเย็น ทานข้าวด้วยกันสิ”



    เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มกับตนเอง “ไม่ดีกว่าครับ” และเดินเลี่ยงบิดาออกมา



    “นัน”



    หากแต่เสียงเรียกของชายผู้นั้นหยุดขาทั้งสองของเขาไว้



    “ครับ?”



    คน ๆ นั้นยิ้มให้เขา



    “ในที่สุด... ครอบครัวของเราก็สมบูรณ์เสียที” น้ำเสียงผ่อนคลายที่เขาไม่ได้ยินมาแสนนานดังขึ้น “ฉัน... อยากเห็นแกมีความสุขนะ นัน” ประโยคนั้นทำให้ภายในหัวของเด็กหนุ่มแดงฉาน ก่อนจะกลายเป็นสีดำสนิท 



    เขาทั้งโกรธและอยากร้องไห้ในคราวเดียวกัน



    ‘ครอบครัว’ ที่ผู้ชายคนนั้นเอ่ยถึงไม่ใช่ครอบครัวของเขา 



    ไม่ใช่เลย



    “แกสมควรที่จะได้รับมัน”



    สีหน้าอ่อนแรงของแม่ที่พยายามฝืนยิ้มทั้ง ๆ ที่วาระสุดท้ายของชีวิตเธอใกล้จะมาถึง เข้ามาในความทรงจำของเขา



    ‘You deserve it, sweetheart.’ 



    “ผม...” 



    วนันต์คลายมือที่กำแน่นเมื่อครู่ เขาหลับตาลง 



    “มีความสุขดีอยู่แล้วครับ”







    เมื่อเขาเดินกลับมาในบ้านอีกครั้ง ไม่มีเงาของผู้เป็นพ่อและกรวรรณ เหลือเพียงเจ้าของร่างเล็กที่ยืนรอเขาอยู่



    “โอเคใช่ไหม?” กรวิกเอ่ยถามหลังจากที่เขายื่นโทรศัพท์ให้ แววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยกับมือนิ่มที่เอื้อมมาจับมือเขาทำให้หัวใจอบอุ่นอย่างประหลาด “นัน...”



    แต่มันยังคงหนักอึ้งอยู่ หนักจนเขาหายใจ

    ไม่ออก



    วนันต์จึงเลือกไม่เอ่ยคำใดออกไปและเดินผ่านอีกฝ่ายออกมา โดยหลังจากได้หนังสือที่ต้องการจากห้องของศรันย์ เด็กหนุ่มร่างสูงตัดสินใจกลับคอนโดทันทีเพราะไม่อยากต่อบทสนทนากับบิดาอีก 



    ดวงตาคมเสมองขวดโหลขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่วางไว้บนเบาะฝั่งคนนั่ง ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อนเขาจะออกมาจากบ้านหลังนั้น



    ‘เก็บไว้กินนะจ๊ะ ถ้าชอบบอกป้าได้ ไว้ป้าจะทำให้หนูทานนะ’ กรวรรณเอ่ยพลางลูบหัวของเขา วนันต์แปลกใจไม่น้อยที่คราวนี้เขาเลือกที่เงียบมากกว่าทำกิริยาน่ารังเกียจเฉกเช่นทุกครั้ง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะจิตใจที่พร้อมจะแตกร้าวทุกเมื่อ หรือเพราะประโยคถัดมาของเธอกันแน่ ‘ป้าต้องขอโทษนะที่คุกกี้ในโหลดูไม่ค่อยงามเท่าไหร่ เจ้าขวัญเล่นพยายามยัดให้เยอะที่สุด—



    เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าดังขึ้นท่ามกลางเพลงสากลแนวอาร์แอนด์บีที่เขาเปิดคลอแก้เบื่อ 




    kohrawic.kw 


    วันนี้ไม่ไปไหนใช่ไหม


    ส่งแม่ที่สนามบินแล้วจะไปหา




    วนันต์ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว



    เขาเอื้อมเปิดขวดโหลแล้วหยิบคุกกี้ชิ้นหนาขึ้นมา ลิ้มละเลียดความหอมหวานของมันอย่างแช่มช้า









    I



    ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความเกลียดชังที่เขามีให้ ‘พี่ชาย’ คนนี้ในครั้งแรกแปรเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียกเช่นนี้ได้



    วนันต์เกลียดที่กรวิกเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น เกลียดที่เจ้าตัวยังมีแม่ที่รักและห่วงใย แต่เขากลับเหลือแค่บิดาที่เย็นชาและพี่ชายที่เห็นแก่ตัว ศรันย์เลือกที่หนีไปเรียนต่อมากกว่าจะอยู่เคียงข้างเขา



    วนันต์เกลียดความอวดดีจองหองของกรวิก เด็กหนุ่มผู้เป็นที่รักของใครต่อใครถือวิสาสะก้าวขาเข้ามาในชีวิตของเขา เจ้ากี้เจ้าการทำตัวน่ารำคาญ ไม่เคยละความพยายามที่จะดึงเขากลับบ้านชวมงคลกุล โดยอ้างว่าความรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องหนีมาอยู่คอนโดเพียงลำพัง แทนที่จะได้อยู่กับพ่อ 



    แต่วนันต์ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขาชอบการมีอยู่ของกรวิกในชีวิตเขา



    ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่อีกฝ่ายเริ่มมีอิทธิพลกับชีวิตของเขา อาจเป็นตอนที่เขารู้สึกว่าการมองกรวิกแย้มยิ้มและหัวเราะกับแม่ของตนนั้นเพลินตาไม่น้อย



    หรืออาจเป็นเพราะเขารู้ว่าพี่ชายต่างสายเลือดคิดอย่างไรกับเขา



    ดวงตากลมโตคู่นั้นซื่อตรงกับความรู้สึกเสมอ 



    แต่วนันต์เลือกที่จะไม่ใส่ใจ เด็กหนุ่มกลับสมเพชตัวเองเสียด้วยซ้ำที่ได้รับความรักจากคน ๆ หนึ่ง เพียงเพราะชีวิตแสนบัดซบของเขา



    จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากฉลองวันคล้ายวันเกิดปีที่ 19 กับเพื่อนสนิท กรวิกได้แบกร่างของเขาที่เจ้าตัวคิดว่าเมามายมาส่งที่คอนโด แม้จะพร่ำบอกกับตนเองว่าเขาเกลียดคน ๆ นี้เข้าไส้เพียงใด น่าแปลกที่เขากลับยอมให้อีกฝ่ายใกล้ชิดถึงขั้นเช็ดเนื้อตัวให้



    เจ้าของร่างเล็กอาจคิดว่าการที่เขาไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ยามที่เจ้าตัวเช็ดตัวให้นั้นหมายความว่าเขาเมามากจนไม่รู้สึกตัว ...เริ่มแรกวนันต์รู้สึกถึงสัมผัสแผ่วคล้ายขนนกปัดผมที่ปรกหน้าปรกตาให้อย่างอ่อนโยน



    เขาชอบมัน



    ก่อนจะรู้สึกถึงลมหายใจร้อนเป่ารดผิวกาย และริมฝีปากนิ่มค่อย ๆ จรดจูบบนหน้าผากของเขา



    จูบนั้น... กับดวงตากลมที่เบิกกว้างยามเห็นเขาลืมตาขึ้นมา พังทุกปราการและความผิดชอบชั่วดีในใจไปเสียสิ้น



    เปลวไฟที่เคยลามเลียอย่างเชื่องช้า เมื่อเจอน้ำมันเร่งเร้า เพลิงร้อนลุกลามอย่างรวดเร็วและทุกอย่างพลันมอดไหม้ มันแผดเผาทั้งเขาและกรวิก เหลือไว้เพียงเถ้าถ่านแห่งความสับสน จากที่เคยผลักไสอีกฝ่ายเพราะชังน้ำหน้า กลับกลายเป็นว่าความรู้สึกบางอย่างที่เด็กหนุ่มไม่รู้จักค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น



    คราแรกวนันต์คิดว่าคือความเผลอไผล คราต่อมามันคือความลุ่มหลง จวบจนผ่านมากว่าสองปีแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดถึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกักขังให้นกการเวกตัวนี้อยู่แต่ในกรงทองของเขา ปรารถนาให้ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขาเพียงผู้เดียว



    เด็กหนุ่มเริ่มละโมบ เขามิได้ต้องการแค่ความสุขจากร่างกายของ ‘พี่ชาย’ คนนี้ เขาต้องการมากกว่านั้น






    แม้จะรู้แก่ใจว่าตัวเขาได้ทุกอย่างของกรวิก บูรณ์อนันต์ มาทั้งหมดแล้วก็ตาม













    End.
















    ◍ ◍ talk with me free wifi :


    กรวิกหมายความว่านกการเวกนะคะ เราชอบชื่อนี้มากๆ มันฝังหัวตั้งแต่ยืมนิยายบางกอกของพ่อมาอ่าน เรื่องนั้นพระเอกชื่อยมนา นางเอกชื่อกรวิก ชื่อ exotic มาก 


    ภูมิใจกับการตั้งชื่อมาก ชื่อของน้องทั้งสองเข้ากันมาก อย่างวนันต์คิดว่าตัวเองเป็นกรง แต่ไม่ใช่ เพราะน้องเป็นป่า นกการเวกเลยชอบที่จะอยู่กับน้อง ตอนตั้งชื่อเราแค่คิดให้ใกล้เคียงกับชื่อจริงของพวกน้อง ไม่คิดว่าจะน่าสนใจขนาดนี้


    โทนละครไทยน้ำเน่าปนๆกับ coming of age (รึเปล่า) 


    • - ต้องขอบคุณเพลงใจเอย (ซึ่งไม่ได้เข้าอะไรกับเนื้อเรื่องเลย) ที่เราฟังวนตั้งแต่เริ่มเขียนจนแต่งจบ อาศัยว่าชอบทำนองกับเสียงคนร้องเท่านั้น

    • - ไม่รู้ว่าสังเกตกันรึเปล่า เราพยายามใส่ความอ่อนโยนในคาร์น้องวนันต์ ถึงจะชอบแกล้งน้องขวัญตลอดก็เหอะ ถ้ามีโอกาสเขียนอีกก็อยากจะสื่อว่าน้องเป็นคนอ่อนโยนให้มากกว่านี้ เป็นคนที่แข็งนอกอ่อนใน

    • - อยากจะบอกว่าหลังจากครั้งแรกของน้องทั้งสอง วนันต์ไม่ยอมแตะตัวน้องขวัญอีกเลยจนเขาอนุญาตนั่นแหละเลยเกิดครั้งที่สองและกลายเป็นคสพ.ไม่มีชื่อเรียกมากว่าสองปีแบบนี้


    - ทอล์คที่ยาวพอๆกับฟิค...


    - มีอะไรติชมกันได้ที่ #kurofics ในทวิตภพหรือจะคอมเมนต์ตรงนี้ก็ได้นะคะ น้อมรับฟังเสมอ



    - enjoy reading ♡









    • แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 1 (01.12.19)


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in