1
"ทำไมนายถึงชอบสีชมพู" ผมถามเขาคืนบ้าง
"ใครบอกว่าฉันชอบสีชมพู" นายหัวฟักทองรีบสวนกลับมาทันที
"มิลลี่" ผมตอบด้วยความซื่อสัตย์ พยักเพยิดไปทางเจ้าแมวที่กำลังเลียอุ้งเท้าอยู่บนโซฟา ตลกดีเหมือนกันที่หล่อนเองก็รีบหันขวับมาหาผมเพราะรู้ว่าตัวเองโดนพาดพิง จนกลายเป็นว่าตอนนี้ผมโดนสิ่งมีชีวิตสีส้มหนึ่งคนและหนึ่งตัวจับจ้องด้วยสีหน้าและแววตาแบบเดียวกันไม่มีผิด "เถอะน่า นี่มันปีสองพันสิบหกแล้ว จะชอบสีชมพูก็ไม่เห็นน่าอายเลย"
"หึ" เขาแค่นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม จงใจไม่สบตาด้วยอย่างเห็นได้ชัด
จะทำอะไรก็ช่าง — ผมยังคงมองเขาอย่างคาดคั้นอยู่นั่นเอง
"ให้ตายเถอะ" เขาถอนใจเฮือกใหญ่ แสร้งทำเป็นรำคาญใจมากเกินไปหน่อยในความเห็นของผม "ไม่รู้สิ ก็แค่ชอบน่ะ มันดูใสซื่อบริสุทธิ์ดีเหมือนกัน เหมือนได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ ใส่ชุดเจ้าหญิงฟูฟ่องสีชมพูเดินผ่านไปในวันที่อากาศแจ่มใส อะไรทำนองนั้น — หวังว่านั่นจะไม่ฟังดูเหมือนฉันเป็นไอ้โรคจิตนะ"
ผมส่ายหน้า ตอบว่าไม่หรอก
นั่นน่าสนใจดีจะตาย
2
"นายมีพี่น้องหรือเปล่า"
"มีน้องสาวต่างแม่คนนึง" เขาตอบ "ตอนนี้เรียนอยู่ม.นิวยอร์ก"
"ไม่เคยเห็นหน้า พวกนายไม่สนิทกันล่ะสิ"
"นายจะไปเคยเห็นได้ยังไง" เขาพูดมีเหตุผล "อย่างน้อยก็สนิทกันพอให้ฉันยอมรับมิลลี่มาเลี้ยงแทนยัยนั่นก็แล้วกัน"
ผมส่งเสียงอืมม์ในลำคอ ก่อนเอ่ย "เฮ้ ขอดูหน้าเธอหน่อยสิ"
นายหัวฟักทองชักสีหน้าไม่ไว้ใจ ผมต้องอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็นว่าไม่มีเจตนาอะไรแอบแฝง แค่อยากรู้อยากเห็นเฉยๆ จนกระทั่งเขายอมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหน้าเฟซบุ๊คของโซฟีให้ผมดูในที่สุด เด็กสาวผมสีแดงเพลิงเสียยิ่งกว่าพี่ชาย มีรอยยิ้มน้อยๆ ที่ดูเหมือนล่วงรู้ความลับทุกเรื่องบนโลกนี้ ดูรวมๆ แล้วสะสวยเกินกว่าจะลืมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมแน่ใจว่าเคยพบเธอมาก่อน ในบ่ายวันหนึ่งที่จู่ๆ ประตูห้องก็เหวี่ยงเปิดออกมา โดยมีร่างของสาวผมแดงคนหนึ่งกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับใครสักคนเข้ามาด้วย ผมยืนมองตาค้าง ก่อนจะรีบหนีหายเข้าไปในกำแพงอย่างผีที่มีมารยาท เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่นายหัวฟักทองจะได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของผม และตอนนั้นผมนึกว่าเธอเป็นแฟนเก่าที่แอบนอกใจเขาตอนกลางวันแสกๆ ด้วยซ้ำไป
"ทำไมนายทำหน้าอย่างนั้น" เขาคงสังเกตเห็นปฏิกิริยาของผม "มีอะไรหรือเปล่า"
"ไม่มีอะไร" ผมส่ายหน้า ทำตาใสแจ๋ว "เธอน่ารักดี"
"อย่าแม้แต่จะคิดเชียว" เขาขู่เป็นแมวกริ้ว
ผมทำเป็นยกมือยอมแพ้ ในใจนึกสงสาร ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
3
"อะไรนะ นายไม่มีความฝันวัยเด็กเลยเหรอ"
"ฝันแบบที่อยากเป็นนักบินอวกาศน่ะนะ ไม่มีหรอก"
"ว้าว" ผมอึ้งไปเลย "ตอนโตแล้วก็ไม่มีเหรอ"
"ไม่รู้สิ แค่อยากเป็นอิสระ ออกมาอยู่ตัวคนเดียวเองได้ แค่นั้นแหละ"
"ถ้างั้นเราก็เหมือนกันกว่าที่คิดนะเนี่ย"
"งั้นเหรอ แต่ฉันไม่ได้อยากไปอยู่บนอวกาศนะ"
"ตอนนี้นายก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเหมือนกันละว้า"
เขาทำท่าเหมือนอยากจะเถียง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมเห็นนะว่าเขาแอบซ่อนยิ้มไว้หลังแก้วกาแฟ
4
"นายมายืนทำอะไรหน้าห้องน้ำเนี่ย" นายหัวฟักทองทำหน้ามุ่ย ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เพิ่งสระมาหมาดๆ ซึ่งกลิ่นแชมพูจางๆ ทำให้ผมนึกถึงป่าสนหลังฝนตกอย่างบอกไม่ถูก
"เมื่อกี้นายร้องเพลง" ผมตอบ แม้ว่านั่นฟังดูไม่ค่อยเหมือนคำตอบสักเท่าไร
เขาเองก็ชะงักไปนิดหนึ่ง คงจำได้ว่าผมเคยหาว่าเขาแหกปากร้องเพลงเสียงเพี้ยนมาก่อน และตอนนี้กำลังเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เผลอทำอะไรโง่ๆ ลงไปให้ผมรับรู้อีกแล้ว "แล้วไง" เขาย้อน พยายามรักษามาดเข้มเอาไว้ชัดๆ
"นายร้องฮาวดีปอิสยัวร์เลิฟ"
"แล้วไง" เขาชักจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว เป็นมนุษย์ที่อารมณ์เสียง่ายซะจริง "จะบอกว่าร้องห่วยก็บอกมา"
"ยังไม่ได้ว่าอะไรซักคำ" ผมขำที่ไปจี้ใจดำเขาเข้าให้แล้ว "ฉันชอบเพลงนี้"
"อะไรนะ"
"ฉันชอบเพลงฮาวดีปอิสยัวร์เลิฟ แล้วนายก็ร้องดีด้วย — หมายถึงเวลาตั้งใจร้องน่ะนะ"
"นั่นฟังเหมือนไม่ใช่คำชม"
"ฉันออกจะชอบเวลานายร้องเพลง"
นายหัวฟักทองไม่พูดไม่จา เขาต้องไม่เชื่อผมแน่ๆ เพราะว่าผมไม่ได้ยินเสียงเขาร้องเพลงอีกเลยหลังจากนั้น
เซ็งชะมัด
5
"มีอะไรเหรอ" ผมหันไปหาเจ้าของร่างที่ยืนทะมึนอยู่ข้างหลังผมมาสักพักหนึ่งแล้ว
"เปล่านี่" นายหัวฟักทองตอบหน้าตาย เคี้ยวซีเรียลในชามที่ถือติดมือมาด้วย ขณะที่สายตายังคงจับจ้องสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ — โกหกไม่แนบเนียนเลย หรือความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะตอบด้วยซ้ำ คราวนี้ผมเป็นฝ่ายส่ายหน้าให้เขาบ้าง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาละเลงสีต่อไป แม้จะรู้สึกว่าหมอนั่นไม่ได้ขยับไปไหนเลยก็ตาม
"นี่" ผมถอนใจ รู้สึกประหลาดชอบกลที่โดนมอง จะมีใครรู้บ้างไหมว่าวิญญาณก็อึดอัดใจเวลามีคนอื่นมองเห็นเหมือนกันนั่นแหละ "ฉันทำงานไม่ได้ถ้านายยืนมองแบบนี้นะ"
ราวกับว่านั่นเป็นคำแนะนำ เขาลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ เพื่อสังเกตการณ์ต่ออย่างไม่ทุกข์ร้อน เคี้ยวอาหารเช้าของเด็กน้อยอย่างเอร็ดอร่อย ผมมองดูแก้มของเขาขยับขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะเข้าใจในที่สุดว่าความรู้สึกของคนโดนกวนโมโหนั้นเป็นอย่างไร เหมือนตอนนี้ผมโดนผลกรรมตามทัน ในเมื่อนายหัวฟักทองกำลังเล่นบทบาทที่ผมเคยเล่นนั่นเอง
"นายต้องล้อฉันเล่นแน่" ผมโอดครวญ
"ผลงานนาย —" เขาเอ่ย "ไม่ค่อยเหมือนตัวนายเท่าไรเลยนะ"
ผมอึ้ง "ว่าไงนะ"
"นุ่มนวล อ่อนหวาน ล่องลอย อ่อนไหว" เขาร่ายคำคุณศัพท์ยาวยืด ก่อนจะตักซีเรียลเข้าปากอีกคำ "อะไรทำนองนั้น"
"รู้เรื่องศิลปะด้วยเหรอ" ผมไม่ได้จะดูถูกอะไรใคร แค่อยากกวนเขากลับเฉยๆ
"ไม่ค่อย แต่พ่อฉันชอบ"
"เป็นศิลปินสมัครเล่นเหรอ"
"เปล่า นักสะสม"
ผมนึกถึงนามสกุลของเขา พยายามรื้อค้นลิ้นชักความทรงจำว่าเคยได้ยินชื่อลูกค้าคนนี้มาก่อนหรือไม่
"แต่เขาไม่น่าจะชอบงานนายหรอก" นายหัวฟักทองว่า
ไม่อยากจะเชื่อเลย "เหอะ ฉันไม่ได้อยากจะขายให้เขาเหมือนกันแหละน่า"
หมอนั่นถอนใจ ก่อนจะค่อยๆ ยิ้มแล้วก็หัวเราะออกมายกใหญ่ วันนี้เขาดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นน่าหงุดหงิดเป็นบ้า
"นั่นเป็นคำชมหรอกนะ" เขาอธิบาย "เพราะรสนิยมพ่อฉันห่วยแตกสิ้นดีเลย"
ผมกัดปลายพู่กัน มองเขาหันหลังเดินไปล้างชามในครัว ให้ตาย รอยยิ้มบ้านั่นต้องเป็นโรคติดต่อแน่ๆ
6
"นายไปเจอไอ้นี่มาจากไหน" นายหัวฟักทองวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะ ชี้มาที่ไวโอลินคันเล็กที่อยู่ในมือผม
"มิลลี่เป็นคนเจอ" ผมซัดทอดเจ้าแมว ซึ่งส่งสายตาอาฆาตมาให้อย่างไม่ปิดบัง ผมไม่ได้โกหกเสียทีเดียว เนื่องจากมิลลี่ทำลูกบอลไหมพรมกลิ้งไปติดใต้ตู้จนต้องร้องอ้อนให้ผมช่วยนำกลับมาให้ ตอนนั้นแหละผมถึงได้พบกล่องใส่เครื่องดนตรีเก่าๆ ที่นอนฝุ่นเขรอะอยู่ตรงนั้น
"นายจุ้นจ้านกับของส่วนตัวฉัน" เขาถอนหายใจหนักหน่วง ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง "เอามานี่เลย"
ผมยื่นไวโอลินที่ว่าให้เขา "นายเล่นด้วยเหรอ" ผมถาม เพราะว่านี่ดูจะเกินความคาดหมายไปหน่อย
"ใช่" เขาตอบอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเลิกคิ้วท้าทายเมื่อเห็นผมทำสีหน้าประหลาดใจอย่างแรง
"ว้าว" ผมชอบเรื่องเซอร์ไพร์สในแต่ละวันเหลือเกิน "เล่นให้ฟังหน่อยสิ"
"ไม่"
"ได้โปรด"
"ไม่ละ เสียใจด้วย"
"ฉันเล่นเปียโนได้นะ"
"นั่นเกี่ยวอะไรด้วยไม่ทราบ"
"เผื่อว่าวันนึงจะได้เล่นด้วยกัน"
ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้พูดแบบนั้น นายหัวฟักทองหัวเราะหึ แล้วเดินนำไวโอลินไปเก็บในกล่องเหมือนเดิม
"ไว้ชาติหน้าเถอะ" เขาพูดหน้าตาเฉย
ผมหัวเราะแห้งๆ ประชดประชันให้เขา รู้ดีว่าหมอนั่นไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีอยู่จริงสักหน่อย
7
"นายนอนละเมอ"
"เปล่าสักหน่อย"
"นายหลับอยู่ จะไปรู้อะไร"
นายหัวฟักทองกลอกตาใส่ผม พลางคนกาแฟในแก้วไปมาเสียงดัง
"นายพูดอีกสำเนียงนึงแน่ะ" ผมเข้าประเด็น ความจริงแล้วเมื่อคืนมีเรื่องน่าตกใจหลายอย่างด้วยกัน ตั้งแต่เรื่องที่ผมไปอยู่บนเตียงหมอนั่นกลางดึกได้ยังไงก็ไม่รู้ ที่รู้สึกตัวก็เพราะเขาเอามือมาฟาดหน้าผมเต็มๆ ก่อนจะพูดเสียงดังจนผมตกใจยกใหญ่ แต่พอพิจารณาดีๆ ถึงได้รู้ว่าเขาละเมอพูดต่างหาก ถ้อยคำที่ออกมาฟังดูแปร่งๆ เล็กน้อย ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจพักหนึ่งว่าเขากำลังพูดสำเนียงอื่นอยู่นั่นเอง —
เขาเองก็ดูงุนงงไม่แพ้กัน ไม่รู้ตัวสักนิดอย่างที่ผมคาดไว้จริงๆ ด้วย
"นั่นสำเนียงไอริชใช่ไหมล่ะ" ผมถาม ได้คำตอบนี้มาหลังจากลงทุนค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตอย่างยากลำบาก
"ฉันจะไปรู้ได้ไง นายว่าฉันหลับอยู่ไม่ใช่เหรอ"
ช่างยอกย้อนนักนะ "นายไปเรียนพูดมาจากไหนกัน" ผมซักต่อ
"ไม่ได้เรียน" เขาตอบอย่างเซ็งๆ "หยุดเซ้าซี้ได้แล้วน่า"
นายหัวฟักทองเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำ ผมหยุดคิดชั่วครู่ ก่อนที่จะเข้าใจความหมายของเขาในที่สุด
"นายไม่ได้เป็นคนที่นี่!" ผมตะโกน รู้สึกทึ่งกับข้อมูลนี้ไม่น้อย เพราะว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยนึกสงสัยสักนิด
"หยุดตะโกนได้แล้ว!" เขาตะโกนกลับมา
เขาไม่ได้ยอมรับ นั่นแหละคือการยอมรับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องปิดบังเรื่องนั้นด้วย เพราะอย่างนั้น ผมจึงตัดสินใจผลักอีกหน่อยด้วยการบอกว่า "นายละเมอถึงแม่ —"
สิ่งที่ผมไม่คาดคิดคือการที่ประตูเปิดออกมาอย่างแรงราวกับโดนระเบิด นายหัวฟักทองดูโกรธ ไม่สิ เขากำลังโกรธ
"อย่ายุ่ง" เขาขู่
ผมล่าถอย ให้ตายสิ นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงจิตวิเคราะห์เลยด้วยซ้ำ
8
"นี่ รู้อะไรไหม" นายหัวฟักทองเอ่ยโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอแล็ปท็อปที่เขากำลังทำงานอยู่
"อะไร"
"นายไม่แฟร์" เขาว่า มีเสียงพรมนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ประกอบเบาๆ "จะล้ำเส้นฉันโดยที่นายเป็นฝ่ายขีดเส้นเองไม่ได้หรอกนะ"
ผมกัดริมฝีปาก ก่อนยอมเอ่ย "ฉันอยากรู้จักนาย"
เขาพ่นลมหายใจดังพรืดเหมือนรู้สึกขบขัน หันมาสบตาพร้อมแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายเต็มที่
"ฉันก็เหมือนกัน" เขาบอกเรียบๆ "แต่นายไม่ทำตามกฎ"
เมื่อเห็นผมไม่พูดอะไรต่อ เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไร นายหัวฟักทองจึงหันกลับไปทำงานตามเดิม จะมีก็แต่มิลลี่ที่กระโดดขึ้นมาปีนป่ายบนไหล่ของผม หล่อนครางเบาๆ เชิงเห็นด้วยว่าเจ้านายของเธอพูดถูก — เรื่องนั้นน่ะ ผมรู้อยู่แล้วหรอก
9
"นี่" เขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ตอนกลางดึก ผมว่าเขาชักจะติดนิสัยชวนคุยเวลานอนไม่หลับขึ้นมาเสียแล้ว ผมส่งเสียงตอบรับในลำคอไปงั้นๆ รอฟังว่าเขามีเรื่องอะไรจะบ่นให้ฟังอีก อย่างเช่นเรื่องเพื่อนร่วมงานที่พยายามชวนเขาไปเข้าสังคมอยู่บ่อยๆ หรือว่าผู้คนงี่เง่าที่เขาเจอระหว่างทางไปทำงานและกลับบ้าน แต่เปล่าเลย เขากลับถามผมว่า "นายไปทำเรื่องไม่ดีอะไรเข้างั้นเหรอ" ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนพูดกับเด็กเล็กๆ ที่ทำข้าวของเสียหายแล้วไม่ยอมรับไม่มีผิด
"ถ้านายรู้จักฉันเข้าจริงๆ ละก็ นายชอบฉันไม่ลงแน่ๆ" ผมตอบด้วยการไม่ตอบ
"นายเป็นอาชญากรหรือไง" เขายังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ "เคยติดยา ฆ่าคน สังกัดแก๊งมาเฟีย หรือทำผิดกฎหมายงั้นสิ ไม่งั้นจะมีอะไรที่บอกไม่ได้"
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พูดออกไปไม่ได้ ผมเถียงอยู่ในใจ ในความมืด โชคดีแล้วที่เราไม่ได้เห็นหน้ากัน
"นายไม่ได้เป็นคนแบบนั้น" เขาว่าต่อ มีความมั่นใจอยู่ในถ้อยคำเหล่านั้นอย่างแปลกๆ
"นั่นเป็นเพราะว่าฉันตายไปแล้ว"
"ปกติพวกผีจะนิสัยแย่กว่าตอนมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เรอะ"
"นายคิดว่าฉันเป็นคนดีหรือไง"
"ไม่รู้สิ" เขาตอบ "ตอนนี้นายก็โอเค"
"นายนี่มันสมควรโดนผีหลอกจริงๆ เลย"
นายก็โอเค — นั่นเป็นคำชมที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับจากคนที่เพิ่งรู้จักเลยก็ว่าได้ เพราะว่ามันมีอะไรบางอย่างในคำพูดของเขาที่ทำให้ผมอยากจะเชื่อ ไม่ใช่ปัดตกไปอย่างที่ชอบทำ
"ไคล์"
นั่นอาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อผม
"นายไม่ใช่คนเลว"
10
"อรุณสวัสดิ์"
"อรุณสวัสดิ์"
"เอาขนมปังปิ้งหน่อยมั้ย"
"ฮื่อ ขอบคุณ"
"กับเบคอนหรือไส้กรอกดี"
"ขอเป็นไข่คนแล้วกัน"
"ได้สิ"
ผมเอื้อมมือไปหยิบกระทะ ส่วนนายหัวฟักทองเดินมาหยิบแก้วและเริ่มต้นชงกาแฟเงียบๆ เหมือนทุกวัน ก่อนที่จู่ๆ เขาจะเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า "เฮ้ ขอบคุณนะ"
ผมงงเป็นไก่ตาแตก "ว่าไงนะ"
"สำหรับมื้อเช้า"
"โอ้" ผมพยักหน้าช้าๆ "ไม่เป็นไรหรอก"
นายหัวฟักทองใส่น้ำตาลลงไปแค่ครึ่งก้อน ใช้ปลายนิ้วบีบจนเละเทะไม่เป็นท่า ไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ
"เบรนดอล" ผมตัดสินใจเรียก ไม่นึกว่านั่นจะทำให้เขาหยุดกึกอยู่กลางห้อง ไม่แม้แต่จะขยับช้อนคนกาแฟ ถ้าไม่นับวันแรกที่เจอกัน ครั้งนี้เขาทำหน้าเหมือนเห็นผีจริงๆ ไม่มีผิด
"ฉันเสียใจ" ผมเองก็แปลกใจที่ตัวเองเอ่ยคำนั้นออกไปง่ายดายเหลือเกิน ตอนนี้นายหัวฟักทองทำหน้าเหมือนเห็นโลกทั้งใบถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเรียกชื่อเขาอย่างถูกต้อง และเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมเอ่ยคำต้องห้ามจนได้
"นายว่าอะไรนะ"
"ฉันพูดได้แค่รอบเดียวเท่านั้นแหละ" ผมหันไปสนใจไข่ในกระทะต่อ
"นี่ คุณผี"
"หืมม์" เขาไม่เคยเรียกผมแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน
"ฉันรู้"
11
"มิลลี่" ผมอุ้มเจ้าแมวขึ้นมาชมวิว ทันเห็นเจ้านายของหล่อนเดินออกจากตึกเพื่อไปทำงานพอดี "หมอนั่นเป็นมนุษย์ที่แปลกดีชะมัดเลยนะ"
"เมี้ยว"
"ไม่มีวันซะหรอก"
ไม่มีวันหรอกมั้ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in