เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
OVER THE WALLgiftmeme
Home
  • ผมมักเป็นฝ่ายเดินจากไปเสมอ คนที่รู้จักผมทุกผมคงบอกแบบนั้น

    "นายเป็นคนประเภทที่เข้ามาในห้องแล้วจะมองหาทางออกเป็นอย่างแรก" คลาร่าเคยว่าไว้ได้ถูกต้องจนน่าประทับใจ การเติบโตมาในครอบครัวแบบนั้นทำให้ผมรู้ว่าจะหายตัวไปจากงานสังสรรค์ที่น่าเบื่อหรือสถานการณ์ไม่พึงประสงค์อย่างเงียบๆ ได้อย่างไร ผมเคยเดินหนีออกจากค่ายฤดูร้อนตอนเกรดหก เคยทิ้งตาแก่งี่เง่าขึ้นเครื่องบินกลับมาจากเท็กซัสกลางดึก และเคยเก็บข้าวของย้ายออกจากบ้านตอนปีสอง ถึงอย่างนั้น ต่อให้ผมตะลอนๆ ไปครึ่งค่อนโลกหรือหาตัวยากมากเพียงใด ครอบครัวไม่สมประกอบของผมก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะพาตัวผมกลับไป เพียงเพื่อจะพบว่าเดี๋ยวผมก็หายหน้าไปอีกอยู่ดี บางครั้งผมนึกสงสัยว่าแม่ได้ใช้ทรัพยากรรัฐบาลในการสอดแนมผมหรือเปล่า แต่นานวันเข้า — หรืออันที่จริง หลังจากผมมาอยู่ที่นี่ เราเหมือนทำสัญญากันโดยไม่ต้องใช้คำพูด เธอรู้ว่าควรปล่อยผมไปอย่างที่ตาแก่นั่นพูดบ่อยๆ สักที ส่วนผมก็รู้ว่าวันหนึ่งผมคงจะได้กลับบ้านเมื่อเวลามาถึง  — แต่นั่นมันก่อนที่ทุกอย่างจะผิดแผนไปหมด ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเดินจากไปโดยหาทางหวนกลับไปไม่ได้อีก 

    ประตูห้องเช่าหน้าตาธรรมดาๆ นั่นเป็นทางออกที่ปิดตายสำหรับผมมาตลอดทั้งปี และการเห็นนายหัวฟักทองเดินตัวปลิวออกไปทุกเช้ามันชวนคันยิบๆ ในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก แต่การที่จู่ๆ วันหนึ่งผมก็ได้มีโอกาสเปิดประตูนั่นออกไปข้างนอกกลับให้ความรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าอิสระเสรี ก่อนหน้านั้นครู่เดียว ตอนที่ตาลุงยมทูตบอกว่าผมจะได้ไปที่ชอบๆ แล้ว ผมนึกว่าเวลาของตัวเองบนโลกได้หมดลงแล้วเสียอีก แต่พอเห็นผมดูตระหนกตกใจเข้าหน่อย เขาก็รีบอธิบายทันทีว่าผมได้โควต้าท่องเที่ยว ซึ่งอนุญาตให้พวกวิญญาณที่มีความประพฤติดีไปไหนก็ได้ภายในสามวันต่างหาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเรื่องนี้มันชวนขำแค่ไหน แน่นอนว่าผมหัวเราะลั่นจนตาลุงงุนงง — เห็นได้ชัดว่ายังมีอะไรที่ผมต้องเรียนรู้อีกเยอะเกี่ยวกับการตาย ผมชักจะเข้าใจเดซี่ขึ้นมานิดนึงว่าทำไมเธอถึงได้สนใจเรื่องพวกนี้นัก สวัสดิการพวกนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนพนักงานบริษัทที่ได้รับโบนัส หรือไม่ก็นักโทษชั้นดีในคุกสแกนดิเนเวียนไม่มีผิด

    พอตาลุงบอกว่า "เร็วเข้า เราสายแล้ว" (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงรีบร้อนอยู่เสมอ) ผมจึงลุกตามเขาไปติดๆ  ทันเห็นแค่เรือนผมสีส้มของนายหัวฟักทองที่ให้อาหารมิลลี่อยู่ที่มุมห้อง ต่อให้มีเวลา ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาดี จะให้ผมร่ำลาและบอกว่า "เดี๋ยวฉันกลับมานะ" ก็ฟังดูไม่ถูกต้องนัก ในเมื่อเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นและผมยังคงตั้งใจรักษามาตรฐานด้วยการเป็นฝ่ายเดินจากไปเหมือนเดิม ดังนั้น ผมจึงแค่หันหน้าไปทางอื่นแล้วก้าวออกไปอย่างเงียบงันเหมือนเคยเท่านั้นแหละ จนกระทั่งมาคิดได้ภายหลังว่าให้ตาย นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมจากไปโดยไม่มีใครรอผมกลับมา และเขาอาจจะผิดหวังอย่างมากถ้าหากผมกลับไป —

    "อย่าคิดโอ้เอ้อยู่นานกว่ากำหนดละ" ลุงยมทูตกำชับคล้ายกับล่วงรู้ความคิดของผม "ไม่งั้นฉันจะตามตัวไม่เจอและนายจะได้กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ข้างนอก มันอันตรายสุดๆ และถ้าเกิดนายเจอพวกสายตรวจเข้าก็มีหวังได้อยู่ในรายชื่อรอไปอีกเป็นสิบปี เข้าใจตรงกันนะ" เหมือนเดิม ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไร คุณลุงยมทูตก็วิ่งเหยาะๆ หายลับไปจากมุมถนน ทิ้งให้ผมยืนบื้ออยู่กับเป้ที่เขามอบให้หนึ่งใบ

    ผมถอนใจ ยังไงคนตายก็ต้องดิ้นรนคลำทางต่อไปด้วยตัวเองเหมือนเดิม



    บันทึกการเดินทางแบบย่อ:
    1. ใช้เวลาวันแรกเกือบทั้งวันตามหาคลาร่า คว้าน้ำเหลว — และเมื่อรู้ว่าเธออยู่ไหน ผมไม่มีทางกลับบ้านที่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ผมเลือกจะไปหาเธอ แน่นอนอยู่แล้ว
    2. ใช้เวลาอีกครึ่งวันไปกับการเดินทาง ในกระเป๋านั่นมีเงินสดให้พอซื้อตั๋วเครื่องบินราคาแพงหูฉี่ พิลึกอยู่เหมือนกันหลังจากที่ต้องเนียนขึ้นรถไฟใต้ดินฟรีเพราะแท็กซี่มองไม่เห็นผม ผมยังต้องซื้อตั๋วและเช็คอินที่เคาน์เตอร์พิเศษตามที่คู่มือบอกไว้อีก เจ้าหน้าที่สาวทำหน้าขบขันเมื่อรู้จุดหมายปลายทางของผม "เป็นพักร้อนที่สั้นนะ" เธอว่า ผมจึงยักไหล่แล้วย้อนว่าชีวิตหลังความตายน่าจะทันสมัยจนมีเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารทันใจอะไรทำนองนั้นได้แล้ว เธอหัวเราะ บอกว่าช่วยไม่ได้ที่ผมมีเงินน้อยเกินกว่าจะโดยสารเครื่องบินที่เร็วกว่านี้ ซึ่งนั่นสะกิดต่อมลูกคุณหนูของผมอย่างจัง เหอะ
    3. ต้องบอกเดซี่แล้วว่าระบบการจัดการคนตายของที่นี่มันดูเพี้ยนๆ เหมือนสังคมและการเมืองเราไม่มีผิดเลย
    4. คลาร่า คลาร่า คลาร่า ผมว่ายัยบ๊องนั่นต้องรู้ว่าผมมาหาแหงๆ ถึงมันจะไม่ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรเลยก็ตามที — แวบนึง ผมคิดว่าถ้าผมวนเวียนอยู่ใกล้เธอโดยไม่กลับไปที่ห้องเช่านั่นอีกนั่นก็คงดี แต่สายตาว่างเปล่าของเธอทำเอาผมทนไม่ได้ — ผมทนตัวเองไม่ได้ และคราวนี้ผมจะตายอีกครั้งก็ไม่ได้แล้ว
    5. สุดท้ายก็ออกไปเดินเล่นบนชายหาด ซื้อเสื้อและหมวกสานโง่ๆ หนึ่งใบ คนในร้านขายของไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของผมสักนิด แต่ผมก็วางเงินไว้บนเคาน์เตอร์อยู่ดี 
    6. ในบรรดาสิ่งต่างๆ ที่คนเราจะทำเมื่อมีโอกาสครั้งที่สอง ผมกระโดดลงไปว่ายน้ำทะเลและนั่งวาดรูปจนพระอาทิตย์ตกดิน ซื้อของฝากให้นายหัวฟักทองและสลัดสับปะรดที่ดูน่ากินเป็นบ้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปสนามบิน



    นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเลือกที่จะกลับไป สารภาพตามตรงว่าผมก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ — ผมไม่ได้กลัวคำเตือนของตาลุงยมทูตหรอก อันที่จริงชีวิตเร่ร่อนข้างนอกออกจะน่าตื่นเต้นเหมาะกับผมดีด้วยซ้ำไป บางทีผมอาจจะอยากเห็นสีหน้าผิดหวังของนายหัวฟักทองตอนเปิดประตูมาเจอผมก็เป็นได้ เขาต้องหงุดหงิดมากแน่ แต่ว่าการกวนประสาทเขาก็เป็นอะไรที่มอบจุดมุ่งหมายให้คนตายไร้แก่นสารอย่างผม ถ้าคนที่รู้จักผมรู้เข้า พวกเขาต้องไม่เชื่อว่าผมได้กลายเป็นคนที่โหยหาเพื่อนมนุษย์ เพียงเพราะว่าตายไปแล้วถึงได้รู้ว่าการอยู่คนเดียวบนโลกมันเหงาอย่างร้ายกาจอย่างนี้แน่ๆ

    ผมเคาะประตู  ในไม่กี่อึดใจ นายหัวฟักทองที่มีผ้าห่มคลุมรอบตัวและจมูกแดงๆ ก็มายืนอยู่ตรงหน้า แน่ละ สีหน้าของเขาดูน่าประทับใจอย่างที่คาดไว้ไม่ผิด ผมแทรกต้วระหว่างหมอนั่นกับกรอบประตูเข้ามาในห้องอีกครั้ง รู้สึกอุ่นใจที่มาทันเส้นตาย หรืออีกนัยหนึ่ง อุ่นใจที่ยังมีบ้านให้กลับ ถ้าที่นี่จะเรียกว่าบ้านได้น่ะนะ 

    นายหัวฟักทองถามไถ่อะไรไปเรื่อย ผมแอบเห็นเขาค้นข้าวของผมเสียด้วย ขณะที่มิลลี่เดินมาคลอเคลียตอนที่ผมปัดทรายลงถังขยะพอดี อาจฟังดูเป็นไอ้ทุเรศไปหน่อย แต่ผมคงคิดถึงเจ้าหล่อนมากแน่ๆ ถ้าไม่ได้กลับมา "เขาแปลกไปนะรู้ไหม แทบเพี้ยนไปเลย" เธอครางเหมียวๆ ร้องเรียนทันที ผมเลิกคิ้วเป็นคำถาม ก่อนจะหันไปมองนายหัวส้มที่กำลังดูภาพวาดฝีมือของผมอย่างสนอกสนใจ "ไม่จริงน่า มิลลี่" ผมแย้ง เอานิ้วเขี่ยคอเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู 

    เราไม่ได้พูด "ยินดีที่ได้กลับมา" หรือ "ยินดีที่นายกลับบ้าน" ให้กันและกัน ผมยื่นพวงกุญแจเต่าทะเลจากฮาวายให้เขาเป็นของฝาก (เพราะว่าเต่าทะเลน่ะน่ารักมาก) และทำซุปหัวหอมร้อนๆ ให้หนึ่งถ้วยเพราะสงสารที่เขานั่งสูดน้ำมูกอยู่ท่ามกลางกองเอกสารมากมาย ก่อนจะไล่ให้เขารีบไปเข้านอน หมอนั่นงอแงเป็นบ้า แต่ก็หลับสนิททันทีที่หัวแตะหมอน ผมหัวเราะหึเมื่อเห็นไอ้คนที่ไม่เคยพกร่มออกจากบ้านนอนขดตัวกลมอยู่ใต้ผ้าห่ม เหลือแต่ผมยุ่งๆ โผล่พ้นออกมา — ในตอนนั้น คำพูดใดๆ ล้วนไม่จำเป็น ผมได้แต่นึกถึงประโยคจบเรื่องของนิยายที่ผมชื่นชอบอย่างเงียบๆ ขณะค่อยๆ ลิ้มรสชาติแปร่งปร่าของความรู้สึกแปลกใหม่ในถ้อยคำที่ผมไม่เคยเอ่ยมาก่อน  —

    กลับมาแล้ว

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
nichAx (@nicha1313_)
แง อบอุ่นจังค่ะ