เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
To all the movies I've watched beforeilysm
Movie Review “The Prestige"
  • Movie Review

    “The Prestige

    ศึกมายากลหยุดโลก”






                ทั้งชีวิตเคยดูหนังมายากลมาแค่เรื่องเดียวคือ Now you see me ซึ่งก็รู้สึกอัศจรรย์ใจ ทึ่งไปหมด สนุกมากๆ คราวนี้ได้ยินคำกล่าวขานถึง The prestige มาเยอะว่าเป็นสุดยอดหนังมายากลในตำนาน ปรากฏว่าคนละฟีลกับ Now you see me เลยนะ ไม่เหมือนกันเลย เรื่องแรกจะเน้นความอลังการงานสร้างของกล การหลอกซ้ำหลอกซ้อน บู๊แหลก บลาๆๆ แต่เรื่องที่สองมีความเป็นหนังชีวิตกว่า จะว่าเรียลก็ไม่เต็มปากเต็มคำ แต่ที่แน่ๆคือสนุกไม่แพ้เรื่องไหนแน่นอน



     

    เรื่องย่อ


              ภาพยนตร์เปิดมาด้วยฉากการตายของ Angier นักมายากลชื่อดังแห่งยุค โดยมี Borden นักมายากลคู่แข่งของเขาเป็นพยานรู้เห็น และถูกจับขึ้นศาลเพราะเชื่อกันว่าเป็นฆาตกร ไม่ใช่แค่ Borden อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ แต่ยังเป็นเพราะ Borden อดีตนักมายากลร่วมสำนักกับ Angier นั้น เคยมีเรื่องบาดหมางใจกันมาก่อน เพราะความหมกมุ่นกับการคิดค้นทริคมายากลใหม่ๆของเขาเป็นสาเหตุให้คนรักของ Angier ต้องตายระหว่างการแสดงบนเวที เหตุการณ์ดั่งชนวนระหว่างการแข่งขันกันเองของทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างต้องการจะเป็นนักมายากลที่เก่งกาจที่สุด โดยพยายามเหยียบอีกฝ่ายจมดินไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นการแฉทริค การทำลายการแสดง การเล่นสกปรกเพื่อให้มาซึ่งความลับของคู่แข่ง ฯลฯ ไม่ใช่เพียงการฝึกแสดงมายากลที่ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่เรื่องราวก็ขมวดปมซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน จนสุดท้ายทางออกที่เหลือก็เจ็บปวดกับทุกๆฝ่าย


                                                                                            

    ตัวละคร


              ให้คะแนนเต็ม คือไม่มีที่ติ ไม่ว่าจะเป็น Angier หรือ Borden ล้วนก็มีลักษณะนิสัยที่ชัดเจน เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและจิตวิญญาณของนักมายากล รวมถึงปมแค้นระหว่างทั้งสองก็สมเหตุสมผล ยิ่งเหตุการณ์ดำเนินไป ความเป็นคู่อริของทั้งคู่ก็ยิ่งเข้าใจได้ เพราะพฤติกรรมต่างๆล้วนวางฐานอยู่บนสิ่งที่หนังอธิบายคนดูกลายๆอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นความรักที่พวกเขามีต่อมายากล ความรักที่ข้องเกี่ยวกับผู้ช่วยสาวที่ไม่สามารถยอมแพ้กันได้ หรือแม้แต่ตัวละครอื่นๆที่มีส่วนช่วย เช่น ฟาลลอนหรือคัตเตอร์ ก็ยังมีมิติ มีความคิดเป็นของตัวละคร ไม่ใช่สักแต่จะแสดงตามบทบาท ทุกอย่างสมจริงสมจัง ไหลลื่น และมีความสลับซับซ้อนในแง่ของจิตใจตัวละคร ไม่ต่างจากกลสารพัดที่ได้เห็นเลย


              ส่วนตัวแล้วชอบฉากแลกไดอารี่กันมาก (รู้น่ะว่าไม่ได้แลก เป็นการแย่งชิงยื่นเงื่อนไขโกลาหลวุ่นวาย) นั่นเป็น Point ในการดำเนินเรื่องที่โคตรเจ๋ง ค่อยๆสลับมุมมองผู้เล่าเรื่องอย่างนิ่มนวล เป็นธรรมชาติ แถมยังแอบสอดแทรกคาแรกเตอร์ที่ต่างฝ่ายต่างเปลี่ยนไปตามผู้เล่าเรื่องด้วย


              ในด้านการแสดงเองก็ทำให้เราอิ๊นนนนนนนอินโดยเฉพาะ Borden รู้สึกกรี๊ดเป็นพิเศษ เราเป็นโอลิเวียก็หลงรักอะ เค้าน่ารักจัง ;__; แถมเรายังแยกออกระหว่าง Borden กับฟาลลอนด้วยเห้ย! เราว่าเขามีความแตกต่างกันเบาๆ อ้อ อีกจุดที่ต้องชื่นชมคือตัวละครเรื่องนี้สีเทาอึมครึม ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว ทุกคนต่างเป็นทาสของความทะเยอทะยานและความผูกใจเจ็บเคียดแค้น

     



    พล็อต


              การวางบทที่ระดับปรมาจารย์ คือวางได้แยบคายมาก ไดอะล็อกเท่ การดำเนินเรื่องสามารถทำให้ระยะเวลาหลายปีจบลงได้โดยไม่อืดหรือกระชับจนเกินไป ไม่คิดว่าเข้าใจยากด้วย กลต่างๆมีการอธิบายในตัวมัน เหมาะกับคนที่สมองคิดไม่ค่อยทันอย่างเรา และไม่เว่อร์วังอลังการเท่า Now you see me สมกับที่แบ่งโฟกัสไปยังโทนดราม่าบ้าง ซีนอารมณ์บ้าง จะแตกต่างจาก Now you see me ที่โฟกัสแอคชั่นอย่างเห็นได้ชัด


               

              จะมีช่วงที่เราหลุดสมาธิไป คือ เกี่ยวกับเครื่องจักรตัวปัญหาที่เทสล่าประดิษฐ์ ทำให้ตอนจบพีคเกินกว่าที่ควรจะเป็น เราไม่ได้สังเกตแต่ละฉากละเอียดดีเองแหละ orz ทำให้ได้รู้ว่าผู้เขียนบท ผู้กำกับ  ใครก็แล้วแต่ หย่อนปมปลีกย่อยระหว่างทางเต็มไปหมด ถ้าดูประมาณสองรอบคงจะได้ขบคิดเยอะมากๆ 


              สุดท้ายนี้ ชอบฉากจบไม่ไหวแล้ว พีคในพีค แม้จะเดาได้รางๆแหละว่าฟาลลอนน่าจะมีบทบาทซัมติง แต่คิดไม่ถึงในประเด็นการตายของ Angier มากกว่า หรืออย่างวิธีที่ Borden ทำทำให้สามารถเล่นกลมนุษย์สลับที่ได้ สรุปแล้วคือเรื่องนี้มีดีที่พล็อต สนุก ครบรส สมเหตุสมผล ถ้ามีข้อเสียบ้างก็คงถูกความลื่นไหลของบทกลบไปหมดแล้ว






     

    ฉาก


              ไม่ใช่หนังใหม่มาก แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจเหมือนดูหนังเก่า ถ้าเทียบกัน อย่าง Visual effects นี่เราว่าดีกว่าหนังในยุค 2006 มากแล้ว มุมกล้องก็ดี รู้สึกว่าซื่อสัตย์ผิดกับหนังมายากลมากๆ เพราะว่ามุมกล้องไม่ได้ปิดบังอะไรเราเลย แค่ทำให้เรา ‘รู้ไม่หมด’ เหมือนเวลาที่นักมายากลแสดงบนเวทีเบอร์นั้นเลย

     



    ภาพรวม


              มีแต่ชมเนาะ ;-; ก็คงพอเดาได้ว่าเรื่องนี้จัดเป็นอีกเรื่องโปรดทันทีที่ดูจบ เพราะตลอดเวลาที่ดูคือลุ้นมากกกกกกกก ช่างเป็นหนังมายากลที่ตีโจทย์แตก ลุ้นไปหมด ยิ่งท้ายๆนี่พีคแล้วพีคอีก ทั้งที่ไม่ได้หักมุมบ้าคลั่งอะไรมาก แต่ด้วยการไต่ระดับไปจนถึงจุดไคลแมกซ์จนกระทั่งปมคลี่คลาย หนังทำได้ดีจริงอะไรจริง เป็นหนังที่ควรค่าแก่การดูมากไม่ว่าจะชอบหนังแนวไหน เพราะเราเองก็ไม่ได้ชอบแนวนี้เป็นพิเศษ แต่เกิดความรู้สึกดีๆต่อผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน เพราะเรื่อง The prestige เลยก็ว่าได้ หนังมีอิทธิพลจริงๆนะ แงงงงงงงง หแถมยังสอดแทรกประเด็นวิทยาศาสตร์เข้ามาเนียนๆให้ไปคิดเอาว่า ตกลงสิ่งที่ทรงพลังที่สุดคือมายากล วิทยาศาสตร์ หรือความหลงใหลหมกมุ่นอย่างไร้ที่สิ้นสุดของคนกันแน่? 


                ปล.ขอโทษที่เรื่องนี้รีวิวลวกมาก ง่วง ดูจบไปเป็นอาทิตย์เพิ่งได้จังหวะเขียน orz


                9/10 คะแนนหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ให้คะแนนสูงเท่านี้ ลำเอียงมะ


    - ilysm.







     

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
เขียนดีครับ
ผมชอบเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะที่เขาเล่นกับสาม step ของมายากลมาใช้กับการวางทั้งสามองก์ของหนัง