เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Only Yesterday : เรื่องเล่าจากวันวานMaya Jett
Turn On the Write : ‘เจ้าพระยา’ เธอรู้ เธอเห็น เธอจำได้!
  •     ย้อนกลับไปเมื่อวันพ่อที่ผ่านมา เราเดินจูงมือสาวผมทองสุดที่รักที่อุตส่าห์บินมาไกลจากดินแดนเมืองหนาวฝ่าคนนับร้อยเพื่อข้ามเรือไปยั่งฝั่งวังหลัง เพราะรับปากไว้ว่าจะพาไปนั่งร้านชิลๆ ร้านนึงที่อยู่ริมน้ำเจ้าพระยา ทุกคนใส่เสื้อสีเหลืองฟ้า ในขณะที่เราสองคนใส่เสื้อสีอะไรก็ไม่รู้ เรามองหน้ากันอย่างขำๆ ที่ไม่เข้าพวก บวกกับความโกลาหลที่น่ารัก ณ ขณะนั้น แน่ล่ะ ประเทศเธอเรียบง่าย มีระเบียบ และบรรยากาศแตกต่างจากที่นี่สิ้นเชิง เธอผู้มีผมทองตาฟ้าช่างดูโดดเด่นกว่าใครท่ามกลางผู้คน เธอหันไปมองเรือข้ามฟากที่เราเพิ่งข้ามกันมาแล้วถามเราว่า

    “เจ้าพระยา.. แปลว่าอะไรเหรอ?”

    ด้วยความที่นึกไม่ถึง หรือไม่ทันคิด หรือมัวแต่ตั้งสมาธิกับการพาเธอเดินฝ่าฝูงชน จึงคิดอะไรไม่ออก และตอบไปว่า

    “เป็นชื่อของแม่น้ำ นี่ไง แม่น้ำเจ้าพระยา ที่เราเพิ่งข้ามฟากมา.. แต่ความหมายคืออะไรเราจำไม่ได้เหมือนกัน”

        มาถึงตรงนี้อย่าเพิ่งรุมประณามเรากันเลยนะ ตอนนั้นคิดไม่ถึงจริงๆ จำได้ว่าหลังจากนั้นแอบไปถามแม่ทีหลังว่าเจ้าพระยาแปลว่าอะไร แม่ทำหน้าเอือมๆ แล้วตอบกลับมาว่า (ประมาณนี้นะ นี่ไปกูเกิ้ลมาเพราะลืม) เป็นศักดิ์ของชนชั้นสูง เราก็อ้อ.. อย่างงี้นี่เอง แต่แล้วก็ไม่ได้พิมพ์ไปบอกเพื่อนผมทองคนนั้น แอบสงสารที่เธอคงไม่มีวันรู้ว่ามันแปลว่าอะไร เนื่องจากความโง่ของเราแท้ๆ 555

        และก่อนหน้าที่เธอจะแวะมาพบกับเราที่เมืองไทยครั้งนั้น เราได้มีโอกาสไปนั่งเล่นริมน้ำบ้านเธอ นั่นก็คือทะเลบอลติกที่ล้อมรอบกรุงสตอกโฮล์มสุดที่รัก ณ ประเทศสวีเดน วันนั้นพกเบียร์กับขนมไปด้วย มีเพื่อนคุยไปพลางๆ พร้อมกับถ่ายรูปมาลงเฟส แต่แล้วเพื่อนที่ไทยทุกคนก็เข้ามาเม้นไปในทางเดียวกันหมดว่า ‘เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาเลยว่ะ’ แป่ววว.. มีความเงิบเล็กน้อยหลังจากเดินทางไกลมากว่าห้าพันไมล์ แต่ดันมานั่งริมน้ำที่บรรยากาศไม่ต่างจากแม่น้ำเจ้าพระยา รู้งี้ไม่มาดีกว่ามั้ยเนี่ย! 555 เอาล่ะ เราจะไม่เล่าย้อนกลับไปทริปสวีเดนให้ยาวยืดนัก เพราะจะน่าเบื่อไป เอาเป็นว่าเราแค่อยากบอกว่าเราเติบโตมากับแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบัน เพราะงั้นไม่แปลกหากเราจะไปแวะเยี่ยมแม่น้ำหรือสายน้ำใดๆ ในส่วนอื่นบนโลกนี้แล้วจะรู้สึกคุ้นเคยเหมือนกับนั่งเล่นริมน้ำเจ้าพระยาที่ไทย เพราะความรู้สึกที่ฝังมาตั้งแต่เด็ก เป็นความรู้สึกผูกพันที่น่ารัก แม้จะไม่ได้มีบ้านติดแม่น้ำ แต่อย่างน้อยก็มีโรงเรียนที่ติดแม่น้ำ และเราก็รักความทรงจำเหล่านั้นมากๆ เลยล่ะ 

        ย้อนไปอีกไม่รู้กี่สิบปี เอาเป็นว่าไม่ถึงยี่สิบปีก็แล้วกัน ตอนนั้นเราอยู่ชั้น ม.2 กำลังเป็นวัยค้นหาตัวเอง วัยซน วัยว้าวุ่น วัยไม่ฟังครู ที่โรงเรียนของเราจะต้องเปลี่ยนห้องเรียนและเปลี่ยนครูประจำชั้นทุกๆ ปี และปีนั้นห้องเรียนเราแจ๊คพ็อตได้เป็นห้องที่อยู่ “ริมน้ำ” ใช่.. แม่น้ำเจ้าพระยาเอง จะใครล่ะ และด้วยความที่เป็นม.ต้น สมัยนั้นห้องเรียนม.ต้นจะไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม ตามปกติหากเป็นห้องอื่นๆ ที่ติดริมถนนจะร้อนเป็นปกติอยู่แล้ว เนื่องจากสภาพอากาศเมืองไทยและพัดลมเก่าแก่ที่ไม่น่าจะดับความร้อนของสาวๆ วัยว้าวุ่นได้ตอนนั้น แต่ห้องเรียนของเราในตอนนั้นติดแม่น้ำและโชคดีที่สุดคือลมพัดเข้ามา ‘ตลอดเวลา’ ไม่มีหยุดเลยจริงๆ เราจำได้ว่าลมส่วนมากที่ได้สัมผัสผิวกายพวกเรานั้นล้วนมาจากแม่น้ำทั้งนั้น หาได้ใช่ลมจากพัดลมไม่ และเราก็ไม่เคยประสบกับปัญหา ‘ร้อน’ เลยแม้แต่นิด! แถมบางครั้งยังต้องประสบกับปัญหา ‘ลมพัดจนผมปลิวปรกหน้า’ บ่อยไปด้วยซ้ำ (อยากรู้เหรอว่าโรงเรียนอะไร เอาเป็นว่าโรงเรียนสตรีล้วนที่ตอนนี้รีโนเวทตึกเรียนหรูซะจนจำไม่ได้ -และเรียนไม่ทันตึกใหม่- ใครนั่งเรือผ่านเจ้าพระยาบ่อยๆ จะสามารถมองเห็นโรงเรียนเราเปิดไฟสวยๆ ในยามค่ำคืนได้ รับรองว่าสวยกว่าตลาดยอดพิมานแน่น๊อน) และนอกจากความเย็นสบายชวนหลับของลมจากแม่น้ำแล้ว ทุกๆ วัน ทุกๆ คาบ เราจะได้ยินเสียงประกาศต่างๆ จากเรือ บางครั้งเสียงนกหวีดที่ชอบดังเวลาเรือจะถึงท่า ได้ยินจนชิน บางครั้งหากวัดฝั่งตรงข้ามมีงานก็จะได้ยินโฆษกพูดทุกอย่างจนจำขึ้นใจเอามาพูดกับเพื่อนบ่อยๆ บางครั้งเราก็ไม่เรียนแต่หันไปมองเรือบ้าง สังเกตเรือขนทราย ขนหิน ขนดิน เรือล่องสุดหรู เรือที่มีชื่อตลกๆ และแม้กระทั่งเรือลำเล็กๆ ที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก ทุกอย่างล้วนเป็นความทรงจำที่น่ารักที่นึกย้อนกลับไปก็ยังรู้สึกเหมือนเมื่อวานทุกครั้ง แหม พิมพ์ไปก็คิดถึงไป ยังจำวีรกรรมแสบๆ ของตัวเองได้อยู่เลย

        พอโตมาอีก มีช่วงนึงที่ชอบเล่นดนตรี พยายามหาเพื่อนร่วมวง เราก็นัดเจอกับเพื่อนเพื่อฝึกกีตาร์บ้าง คุยเรื่องวงบ้าง และที่ๆ โปรดที่สุดก็คือริมแม่น้ำ ใช่.. แม่น้ำเจ้าพระยาอีกแหละ จำได้ว่าเคยมีวันนึงไปนั่งเล่นกีตาร์กับเพื่อนที่สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 ตรงนั้นวิวสวยมากๆ ทั้งวิวสะพานและวิวแม่น้ำ ผู้คนทำกิจกรรมนู่นนี่เต็มไปหมด ทั้งวิ่งบ้าง จูงหมา เล่นสเก็ตบอร์ด นั่งชิลริมน้ำบ้าง ส่วนเรานั่งเล่นดนตรีกับเพื่อนรับลมจากแม่น้ำไป พลางนึกในใจว่าถ้าเมืองไทยมีความน่ากลัวและเปลี่ยวน้อยลง ริมน้ำน่าจะเป็นที่ๆ เหมาะมาแฮงเอาท์กับเพื่อนหรือคนรักมากๆ ที่จริงก็มีหลายคนที่ทำแบบนั้น แต่เรายังรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ๆ ยอดฮิตเพราะยังมีความน่ากลัวในบางอย่างอยู่ บางแห่งสกปรกบ้าง มีคนน่ากลัวๆ นอนหรือเดินอยู่แถวนั้นบ้าง เราเลยแอบเสียดายที่กรุงเทพไม่ได้มีที่ริมน้ำที่เหมาะจะนั่งแฮงเอาท์และเป็นจุดนัดพบแบบคอมม่อนอย่างสถานที่ท่องเที่ยวอื่นได้ขนาดนั้น และนอกจากความเย็นสบาย ความรีแล็กซ์แล้ว คืนนั้นเรายังพบสิ่งใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อนด้วย นั่นก็คือ มีคน ‘ตกกุ้ง’ ที่มาเกาะริมแม่น้ำ เออ กุ้งจริงๆ แล้วเป็นกุ้งที่โคตรน่ากินด้วย 555 วันนั้นคนที่ตกกุ้งอยู่บอกว่าได้กุ้งจนพอใจละ กุ้งที่เหลือที่เกาะอยู่ใต้น้ำที่ไม่ไกลจากเอื้อมมือหากจะกล้าเอื้อมลงไปจับขึ้นมา เขาบอกกับเราและเพื่อนๆ ว่าให้เอากลับบ้านไปทำอาหารกิน ไอ้เราก็บ้ายุอยากเอากลับจริง แต่สุดท้ายไม่ได้เอากลับเพราะไม่มีถุง เสียดายโคตรๆ

        หลังจากนั้นพอโตมาอีกหน่อย ก็ยังคงมีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดมา แต่จะให้เล่าทั้งหมดอาจจะเล่าไม่หมดภายในคืนนี้ เอาเป็นว่าขอยกมาสักสองเรื่องที่ยังตราตรึงอยู่ในใจ และนึกทีไรก็แอบยิ้มให้ตัวเองเบาๆ นั่นก็คือเรื่องแรก..
     
        ย้อนไปวันพ่อปีที่แล้วอีกรอบ หลังจากที่เราจูงมือพาเพื่อนสาวผมทองมาถึงที่ร้านแล้ว เราพาเธอไปนั่งชั้นสองของร้าน เป็นจุดที่เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้สวยงามมาก ถึงแม้จะมืดแต่เราก็ยังเห็นแสงสวยงามของวัดพระแก้วอยู่ เราสั่งอาหาร สั่งเบียร์กันมา กินข้าวกันไป คุยกันเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งถึงเวลาจุดเทียนถวายพระพร.. เธอเป็นสาวสวีเดนที่ไม่เคยสัมผัสกับวัฒนธรรมไทยมาก่อน เธอถือเทียนและมองไปที่มันด้วยประกายตาสีฟ้าหวานๆ ของเธอ เธอดูมีความสุข และเมื่อถึงเวลาจุดพลุ เราพาเธอเดินไปดูที่ระเบียง เธอมองพลุลูกแล้วลูกเล่าด้วยความตื่นเต้น (เออ สาวสวีเดนก็เคยเห็นพลุแหละ แต่บรรยากาศวันนั้นมันดีม๊ากกก) พลุสวยงามมากประกอบกับวิววัดพระแก้วที่สง่าในตัวของมันอยู่แล้ว เธอหันมายิ้มหวานให้เราถ่ายภาพเธอถือเทียนที่ข้างหลังมีแบคกราวน์เป็นพลุสีสันสดใส คืนนั้นทั้งเธอ ทั้งพลุ ทั้งแม่น้ำ ทุกอย่างสวยงามมาก และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เราขับรถไปส่งเธอที่โฮสเทล เธอหันมาบอกลาเราก่อนจะกลับไปเก็บของเพื่อขึ้นเครื่องกลับบ้านเมืองหนาวของเธอในคืนนั้น ไม่รู้จะเจอกันอีกเมื่อไหร่ แต่คืนนั้นสวยงามที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะต้องผ่านพ้นไป

    ความจริงแค่เรื่องนี้ก็น่าจะสวยงามพอแล้วมั้ง..
    แต่ก็อดพูดถึงความทรงจำล่าสุดที่มีแม่น้ำเจ้าพระยามาเกี่ยวข้องอีกไม่ได้..

    ก็ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ เพิ่งได้จุ๊บกับใครสักคนที่ริมน้ำในตอนกลางคืน คิดดูสิว่ามันสวยงามขนาดไหน ถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะไม่ได้อยู่ชมความสวยงามของแม่น้ำกับเราต่อถึงวันนี้แล้วก็ตาม

    เจ้าพระยา เธอรู้ เธอเห็น เธอจำได้ทุกเรื่อง! 

    เฮ้อ.. ความรัก เอ้ย! ไม่สิ เฮ้อ.. รักจริงๆ แม่น้ำเจ้าพระยา

    (ความรักอะไร ชั้นไม่สนใจหรอกนะ จะบอกให้ ตอนนี้มีความสุขดีจริงๆ)

    ปล. อยากมอบเพลงนี้ให้ (ใครก็ได้) เพราะรู้สึกว่ามันเข้ากับบทความนี้ 
    ฟังเพลินๆ นะเออ... 



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in