เมื่อปีที่แล้วประมาณช่วงซัมเมอร์ หรือหน้าร้อนบ้านเค้า (เดือนกรกฎา - สิงหา) เราได้ทำการอาจหาญแบกกระเป๋าเที่ยวคนเดียวที่ยุโรปเป็นเวลาเดือนกว่าๆ ใช่แล้ว.. ไป ’คนเดียว’ อย่าหาว่าติสท์หรือแนวเลย ความจริงคือการจะหาเพื่อนคนไทยซี้ๆ กันไปเที่ยวต่างประเทศด้วยมันยากมากกกก ยากยิ่งกว่านัดรียูเนี่ยนกันระหว่างรุ่นมัธยมหรือมหาลัยอีกจะบอกให้! ทั้งติดงาน ติดเรียน ติดแฟน เก็บเงินไม่ทัน ไม่มีเงินบ้าง ต้องผ่อนนู่นนี่นั่นบ้าง เราเลยตัดสินใจไม่รอใครแล้วเก็บกระเป๋าไปเที่ยวคนเดียวซะเลย และด้วยเวลา 45 วันที่ขอวีซ่าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ กับแผนการจะไปทำฟาร์ม อยู่ฟรี แลกกับงาน และไปเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่น่ารักน่าจดจำ การไปเที่ยวคนเดียวอาจฟังดูเหงาและน่ากลัวในตอนแรก แต่ขอบอกว่าถ้ามีโอกาสก็ควรลองสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะการไปเที่ยวคนเดียวทำให้เราได้เห็นโลกในอีกมุมมองที่ต่างจากการไปกับคนอื่นเป็นไหนๆ
ใครที่เคยติดตามบล็อกเราหรือ
เรื่องเล่าจากสวีเดน (พอได้โอกาสก็โปรโมททุกครั้ง) อาจรู้สึกเบื่อๆ กับการเล่าเรื่องไปเที่ยวกันแล้ว มาวันนี้เราอยากเล่าความทรงจำที่น่ารักที่ได้พบเจอระหว่างทางให้ฟังบ้าง นั่นก็คือเรื่องของมิตรภาพระหว่างการเดินทางเที่ยวคนเดียวและได้พบกับเพื่อนต่างชาติหลายๆ คน เราอาจพูดถึงไม่หมดทุกคนที่เจอจริงๆ แต่ขอยกคนที่ประทับใจและน่าจดจำมาเล่าให้ฟังกัน เผื่อว่าอ่านแล้วอาจจะมีแรงบันดาลใจอยากไปเที่ยวและเจอเพื่อนหน้าใหม่จากต่างชาติบ้างเนอะ
เพื่อนๆ เหล่านี้บางคนเราก็รู้จักกันมาก่อนแล้วในอินเตอร์เน็ต บางคนไปเจอที่นั่นเลย บางคนอาจเจอโดยบังเอิญ และบางคนก็นึกไม่ออกว่าถ้าเราไม่ได้รู้จักเค้าแล้วชีวิตจะเป็นแบบไหนกันนะ แต่ที่แน่ๆ เรารู้สึกทึ่งอยู่เสมอสำหรับการพบเจอใครสักคนในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนและที่ใดก็ตาม มิตรภาพดีๆ บางทีก็มีค่าน่าจดจำและรักษาเอาไว้ ถึงแม้ว่าเพื่อนบางคนจะอยู่ไกลขนาดต้องนั่งเครื่องบินไปหาประมาณ 16 ชั่วโมง และค่าตั๋วหลายหมื่นบาท ถึงแม้บางคนอาจจะได้เจอครั้งนึงในรอบห้าปี สิบปี อย่างน้อยเราก็เคยได้รู้จักกันและเติมสีสันให้กับความทรงจำบ้างแหละน่า
ต่อไปนี้จะเป็นการรีวิวเพื่อนฝรั่ง 6 คน จาก 3 ประเทศที่ไปแวะเวียนมา..(ชื่อบางชื่อของเหล่าเพื่อน 6 คนนี้อาจเป็นชื่อสมมุติ เพื่อความส่วนตัวบางประการนะ)
1. เพื่อนอิตาลีสุดเลิฟ
สมุดที่เรากับอลิซวาดร่วมกัน
เคยกันมั้ยที่อยู่ๆ ก็มีใครก็ไม่รู้มาแอดเฟสบุคเรา แถมเป็นคนต่างชาติซะด้วย.. น่ากลัวแฮะ แต่พอลองกดดูรูปและโปรไฟล์ของเค้าก็พบความเจ๋งบางอย่างที่ทำให้ต้องกดรับโดยไม่ต้องมีข้อสงสัยใดๆ และนั่นก็คือ ‘อลิซ’ เพื่อนชาวอิตาลีที่แอดเรามาตั้งแต่ 5-6 ปีที่แล้วด้วยการไปเจอเราคอมเมนต์ใต้ภาพวงดนตรีฝรั่งเศสสุดโปรด สงสัยคงถูกชะตาเลยแอดกันมา ช่วงนั้นเราก็อายุประมาณมหาลัยปีแรกๆ ติดเน็ต อยากฝึกภาษา เลยคุยกับอลิซมาโดยตลอดและไม่เคยคิดว่าจะได้เจอกัน เพราะตอนนั้นอิตาลีสำหรับเราเป็นอะไรที่ไกลมากและคงไม่ได้ไปในเร็ววัน ตัดภาพมาอีกที เมื่อกลางปีที่แล้ว (2015) พอไอเดียการเที่ยวยุโรปเข้ามาในหัว ระหว่างที่ลิสต์ชื่อประเทศที่อยากไป อิตาลีก็เข้ามาในหัว และก่อนจะเป็นอิตาลีก็คือบูดาเปสต์ เราเลยทักหาอลิซและถามเรื่องไปเที่ยวอิตาลี อลิซบอกว่า ‘มาบ้านชั้นสิ มาค้างได้นะ เดี๋ยวพาเที่ยว’ มีหรือจะไม่ตอบตกลง และไปๆ มาๆ เราลงเอยกันด้วยการนัดเจอที่บูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการีที่อลิซเคยไปและอยากไปอีก อลิซจึงมาร่วมทริปกับเราด้วย... วินาทีแรกที่ได้พบกับอลิซมันช่างอธิบายไม่ถูก คิดดูดิ เพื่อนในเน็ตที่คุยกันมา 6 ปี และในที่สุดก็ได้มาเจอกัน พอเจอกันแล้วในหัวก็พูดประมาณว่า ‘โห แค่นี้เอง เจอกันไม่ยากเลย’ หลังจากนั้นเราเที่ยวในบูดาเปสต์กับอลิซอยู่ห้าวัน ได้เจอพี่สาวอลิซที่นั่งรถไฟจากบราทิสลาวามาเที่ยวด้วย และหลังทริปบูดาเปสต์เราก็ไปเที่ยวอิตาลีต่อกับอลิซ ได้เที่ยวมิลาน หลงทางบ้าง ทะเลาะกันบ้าง เราซื้อสมุดมาเล่มนึงและเขียนสลับหน้ากันเป็นความทรงจำ สมุดนี้เก็บไว้ที่อลิซ เรื่องที่ประทับใจสุดคือได้ไปบ้านอลิซ ไปเจอพ่อแม่ชาวอิตาลีที่พูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเลย แต่ท่านทั้งสองก็เอ็นดูเรามากและเลี้ยงดูอย่างดี อลิซเรียกเพื่อนๆ สิบกว่าคนมาจัดปาร์ตี้ให้เรา ไปเที่ยวผับ ไปดูเมืองเก่า ได้ไปดูสวนที่พ่ออลิซปลูกผัก ปลูกดอกไม้ ทุกอย่างสวยงามที่สุด และเมื่อต้องจากกับอลิซเรากอดกันนานมากเพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน
2. เพื่อนคนแรกที่สวีเดน
ย่านเมืองเก่าที่สตอกโฮล์ม
เราพบกับมาเรียในแอพนึงผ่านอินเตอร์เน็ต เจอกันประมาณสามเดือนก่อนที่เราจะไปสวีเดน นั่นคือการหาเพื่อนล่วงหน้าในแบบหนึ่งของเรา (ฮั่นแน่.. ชื่อแอพต่างๆ ขึ้นมาในหัวเลยใช่มั้ยล่ะ แต่เราจะไม่บอกว่าแอพไหน ใบ้ให้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิดหรอก) มาเรียเป็นคนที่ให้ข้อมูลและคุยด้วยดีมากมาตั้งแต่ต้น เธอให้ข้อมูลในเรื่องของสวีเดนและคอยแนะนำเรื่องต่างๆ ให้เราที่ไม่เคยไปสวีเดนมาก่อน ทุกอย่างมีประโยชน์และมาจากน้ำใจล้วนๆ และเมื่อถึงวันเดินทาง หลังจากสิบหกชั่วโมงกว่าๆ บนเครื่องบินและได้ก้าวเท้าเข้าประเทศสวีเดนเป็นครั้งแรก มาเรียเป็นเพื่อนคนแรกที่เราส่งข้อความหาหลังจากเราไปซื้อซิมการ์ดมาใช้ และอีกสองชั่วโมงต่อมามาเรียก็นั่งรถมาหาเราและพาเดินเที่ยวรอบเมือง วันนั้นเป็นวันที่ยาวนานและเหนื่อยมาก ทั้ง jet lag หิวแต่กินไม่ลง งงเวลา งงสถานที่ (แปลกใหม่) ทึ่งกับเมืองสตอกโฮล์มที่แสนจะมีเสน่ห์ และหลังจากมาเรียเอ่ยปากชวนไปกินข้าวเย็นที่บ้านเธอ เราก็ตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดมากใดๆ มาเรียพานั่งรถเมล์ประมาณครึ่งชั่วโมงไปบ้านของพ่อแม่เธอที่ชานเมือง เป็นบ้านสไตล์สวีเดน บ้านคนสวีเดนหลังแรกที่เราได้แวะเข้ามาเยี่ยม อาหารสวีเดนโดยคนสวีเดนมื้อแรกที่ได้ลิ้มลอง และเป็นอาหารที่ดีเลิศ แซลมอน มันฝรั่ง มะเขือเทศอวบๆ ต่อด้วยไอติมวนิลลาสุดอร่อยและสตรอเบอร์รี่ลูกโต พ่อแม่ของมาเรียใจดีและอยากให้เรามีความสุขและอิ่มจริงๆ หลังอาหารพวกเขาก็เสนอไวน์และเบียร์รวมทั้งเครื่องดื่มอีกมากมายที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจจริงๆ เราอยู่บ้านมาเรียจนถึงดึก มาเรียเลยอาสาขับรถมาส่งเราที่โฮสเทล วันนั้นคือวันที่ยาวที่สุดและน่าประทับใจที่สุดในรอบปี และทุกวันนี้เรายังคงคุยกับมาเรียอย่างสนุกสนาน ปรึกษาและถามข้อมูลเกี่ยวกับสวีเดนกับเธออยู่เสมอแม้ว่าเราจะเคยเจอกันแค่วันเดียว แต่เชื่อมั้ยว่าเรารู้สึกเหมือนเราไม่ไกลกันเลย ...ตอนนี้มาเรียไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศไต้หวัน ใกล้ขึ้นมาอีกหน่อย ไว้ว่างๆ จะแวะไปหานะมาเรีย เพื่อนสวีเดนคนแรกของเรา
3. เพื่อนฝรั่งเศสที่เจอที่บูดาเปสต์
ไปหอไอเฟลกับเจเรมี่
มาถึงคราวของชายหนุ่มบ้างหลังจากที่พูดถึงแต่เพื่อนสาวไป เจเรมี่เป็นหนุ่มฝรั่งเศสที่เรากับอลิซเจอที่ผับแห่งหนึ่งในบูดาเปสต์ หลังจากที่เมาและผูกมิตรกับ ‘ทุกคนที่พูดได้’ แล้ว ด้วยโชคชะตาที่น่ารักทำให้เจเรมี่มาติดใจกับกลุ่มเรา คืนนั้นเราอยู่ในผับกันจนตีสี่ ทั้งเต้นทั้งดื่ม บ้าบอแรนด้อม รู้จักคนไปทั่ว สนุกมาก 555555 ผับในบูดาเปสต์มีหลายแบบ และแบบที่ยอดฮิตเลยก็คือผับเด็กแนวที่ตกแต่งด้วยสไตล์เรโทรและความ old school ที่เด็กแนวบ้านเราน่าจะหลงรักได้ไม่ยาก ไม่ใช่ผับหรูที่ต้องแต่งตัวสวยขับรถหรูมาจอดหน้าร้านอะไรทำนองนั้น (แบบนั้นในกรุงเทพฯ อิชั้นก็ไม่เคยไปค่ะ ถถถถ) ผับนี้คนส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่มาเที่ยวกับที่บูดาเปสต์ ซึ่งถือเป็นเมืองยอดฮิตของวัยรุ่นยุโรปในช่วงหน้าร้อน พอตีสี่เราเริ่มง่วงและเมาเลยมองอลิซคุยกับเจเรมี่เรื่องแผนที่บูดาเปสต์ ตอนนั้นไม่รับรู้อะไรแล้วนอกจากอยากกลับไปนอน และด้วยความใจดีที่เจเรมี่เลี้ยงเบียร์ เราเลยบอกว่าจะไปปารีสหลังทริปอิตาลี เจเรมี่เลยให้เบอร์โทรและอีเมลมา รับปากว่าจะพาเที่ยวในปารีส สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือสองอาทิตย์ให้หลัง เราไปถึงปารีสเป็นครั้งแรกในชีวิต เจเรมี่ก็มารอและช่วยถือกระเป๋า สอนซื้อตั๋วรถใต้ดิน เอาแผนที่ปารีสมาให้เรา นั่งรถใต้ดินไปโฮสเทลด้วยกันกับเรา รอเราเก็บของและพาไปหาอะไรกิน ต่อด้วยไปร้านเหล้าเล็กน้อย เราไปทริปปารีสคนเดียวเพราะอลิซขออยู่บ้านต่อ การมีเจเรมี่ที่ปารีสเลยถือเป็นอีกเรื่องที่น่าจดจำ เจเรมี่ลางานสามวันเพื่อมาอยู่กับเราและพาเที่ยว การพาเที่ยวและตามใจของเจเรมี่ทำให้เราลืมการเที่ยวคนเดียวและหาอะไรด้วยตัวเองไปโดยปริยาย (ไม่ดีนะอย่าเอาเยี่ยงอย่าง เหมือนโดนตามใจจนเหลิง 5555) ทุกวันนี้เรายังคงประหลาดใจกับการพบเจอคนบางคนในบางช่วงเวลา คิดดูสิ ถ้าวันนั้นเราไม่ได้ไปผับนั้นที่บูดาเปสต์ เราคงไม่ได้เจอเจเรมี่
อ้อ เจเรมี่เพิ่งไปเที่ยวสวีเดนมา ทีแรกเราว่าจะไปด้วย แต่จองตั๋วไม่ทันและลางานไม่ทัน และวันนี้เจเรมี่พิมพ์มาหาแต่เช้าว่า
‘ช่วงปลายเดือนพฤศจิกาว่างมั้ย เราจะไปเที่ยวกรุงเทพฯแหละ’
กรี๊ดดดดด เจเรมี่ เราจะได้เจอกันอีกแล้วเนอะ :)
4. เพื่อนสวีเดนแบบเร่งด่วน.. แต่ยืนยง
รูปพิซซ่ากับทะเลสาปที่คาร์ลสตัด
ที่บอกว่าเร่งด่วนคือวันนั้นเราอยู่ที่เมืองเงียบๆ เมืองนึงในสวีเดน เป็นวันสุดท้ายก่อนที่อีกวันจะต้องนั่งรถกลับสตอกโฮล์มแล้ว เราเจอกับเพื่อนคนนี้ในอินเตอร์เน็ตเช่นกัน (เห็นมั้ยล่ะ สมัยนี้ทุกอย่างมีอินเตอร์เน็ตเป็นตัวแปร) พอได้คุยกันปุ๊บ เราก็นัดเจอกันเลย อาจด้วยท้องฟ้าที่เป็นใจ จากอุณหภูมิหน้าร้อนที่หนาวมากสำหรับเด็กไทยอย่างเราที่วันนี้เกิดอุ่นขึ้นมา พระอาทิตย์เหมือนอยากออกมาทักทาย เราเลยไปเจอกันในใจกลางเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า คาร์ลสตัด เรานัดเจอกันแบบไม่ยาก พอเจอกันเธอก็พาเราไปเดินเล่นรอบๆ เมือง อ้อ ลืมบอกไปว่าเธอชื่อ โจเซฟิน ขอเรียกสั้นๆ ว่าโจก็แล้วกันนะ โจพาเราไปทุกที่ที่เราเอยปากออกมา ‘อยากไปดูหนังสือ’ โจก็พาไปร้านหนังสือ ‘อยากได้หนังสือเรื่องนี้’ โจก็เดินไปเรียกพนักงานและถามถึงหนังสือเล่มนั้นให้เรา ‘อยากไปซื้อแชมพู’ โจก็พาลงไปซุปเปอร์มาร์เกต เราประทับใจคนสวีเดนอย่างนึงคือ หากได้เป็นเพื่อนเค้าแล้ว เค้าจะเทคแคร์เราเป็นอย่างดี หลังจากเดินเล่นทั่วเมือง กินไอติม ล่องเรือชมวิวแล้ว โจโทรเรียกให้แม่มารับและอาสาขับรถพาเรากลับไปยังบ้านของเธอ พอไปถึงบ้าน โจพาเราไปดูรอบๆ บ้านและชวนกินขนม เราขึ้นไปนั่งเล่นบนห้องโจแล้ววาดรูปให้เป็นของขวัญวันเกิดที่เพิ่งผ่านมาของโจ จากนั้นเก็บข้าวของไปยังทะเลสาป ระหว่างทางที่โจขับรถพาเราไปทะเลสาปเรารู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน คิดดูสิ อยู่ในประเทศที่ไม่เคยมามาก่อน และมีเพื่อนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันวันนี้กำลังขับรถพาเราผ่านป่า ผ่านเมือง ผ่านทุ่งหญ้ากว้างๆ ถ้าเกิดเป็นใครคิดไม่ดีเราคงไม่ได้กลับมาไทยแล้ว แต่โจก็พาเราไปถึงทะเลสาปแล้วเราก็กินเบียร์กับพิซซ่าที่ริมหาดและลมแรง และน้ำอุณหภูมิประมาณไม่เกิน 19 องศาในหน้าร้อนของสวีเดนก็ทำให้เราตัวสั่นหงึกๆ เหมือนหมา เราเล่นน้ำกับโจจนห้าทุ่ม พระอาทิตย์เพิ่งตก โจขับรถพาเรากลับไปที่บ้านพัก วันนั้นเป็นวันที่วิเศษมากกับโจที่เปลี่ยนสถานะจากคนแปลกหน้าเป็นเพื่อนกับเราได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง เรากอดบอกลากันพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นในใจว่าสักวันต้องเจอกันอีกแน่นอน
5. เพื่อนซี้ที่โฮสเทล
หนุ่มๆ ที่น่ารักของเรา ถ่ายที่ปารีส
ตอนเราไปปารีส ด้วยความที่เป็นประเทศสุดท้ายของทริป 45 วัน เดือนกว่าๆ ในยุโรป เริ่มเหนื่อยและเริ่มหมดแรงหลังจากใจมีความอ่อนแรงลงตั้งแต่ออกมาจากสวีเดน (จะไม่ลำไยพูดนอกเรื่องมากละกัน 555) หลังจากที่นัดกับเจเรมี่ตั้งแต่เมื่อคืน เราก็พบว่าตัวเองตื่นสายที่สุดในโฮสเทลที่นอนรวม 4 คน ใครก็ไม่รู้ รู้แต่ตื่นมาก็ไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว แต่... มีหนุ่มหน้าใสตัวเล็กคนนึงที่เดาได้ว่าน่าจะเป็นคนรัสเซีย เดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากเราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ “หวัดดี” นางทักแบบลังเล แต่ก็ทักมาละ “หวัดดี” เราทักตอบ “วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ” นางถาม อาจเพราะเห็นว่ายังมัวเอ้อระเหยลอยชายอยู่คนเดียวในห้อง เราเลยบอกว่า “เดี๋ยวจะไปพิพิธภัณฑ์ลูฟ และอาจจะเดินเล่นรอบๆ เมือง... สนใจไปด้วยกันมั้ย” ไหนๆ เจเรมี่ก็ว่างเจอแค่ตอนเย็น ตอนนี้ไม่อยากเหงา ชวนนางไปเลยดีกว่า “เอาสิ” นางตอบ และหลังจากนั้นก็ตัดภาพไปที่เรากำลังเดินหลงทางกับตาคนนี้อยู่ในปารีส มหานครแห่งความน่าหลงใหล ตาคนนี้มีชื่อว่า ‘เดวิน’ ที่ทีแรกเราได้ยินว่าเดวิด และเพิ่งมารู้ว่านางชื่อเดวินก็วันสุดท้ายก่อนกลับไทย เราพาเดวินไปให้เจเรมี่รู้จักและเราสามคนก็กลายเป็นเพื่อนคู่หูซี้กันในทริป ไปเมากันตามบาร์แปลกๆ ในปารีส คุยกันเรื่องมนุษย์ต่างดาวบ้าง เรื่องจริงจังบ้าง เรื่องเที่ยว เรื่องชีวิต ทุกอย่างสนุกมากและไม่คิดว่าในช่วงชีวิตจะได้มารู้จักเพื่อนหน้าใหม่ๆ ในเมืองที่เราเพิ่งจะเคยมาด้วยซ้ำ สามวันในปารีสของเราคือสามวันที่สนุกสนานและมีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา เราให้ความสำคัญกับการพบผู้คนและมิตรภาพมากกว่าสถานที่ที่ไป เราจดจำแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ และเรื่องตลกๆ ที่เราเคยทำด้วยกันในสามวันสั้นๆ นั้น และเมื่อต้องจากกัน ทุกคนจะยังอยู่ในใจเราเสมอ
อ้อ.. เดวินเป็นหนุ่มเชื้อสายรัสเซียที่มาเกิดที่อเมริกานะ
6. เพื่อนสั้นๆ ที่บังเอิญเจอในซุปเปอร์มาร์เกต
เพื่อนใหม่ที่สตอกโฮล์ม (ไม่ได้ถ่ายเอโกะมา ถ่ายแต่นก)
ย้อนกลับไปเล่าเรื่องที่สวีเดนอีกครั้ง วันสุดท้ายในสตอกโฮล์มของเรานั้นดูเหงานิดๆ หลังจากที่บอกลากับเพื่อนคนนึงที่ไปเดินเล่นกันมา เราเลยแวะไปเดินเอ้อระเหยที่ย่าน Old town หรือที่เรียกกันว่า Gamla stan นั่นเอง หลังจากลงรถใต้ดินมาเราเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เกตเพื่อแวะซื้ออะไรนิดหน่อย และสิ่งแรกที่เราเดินเข้าไปหาคือโซนเบียร์ เรายืนมองเบียร์อยู่นานว่าจะลองชิมอันไหนดี และสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างจากผู้หญิงเอเชียที่ยืนเลือกเบียร์อยู่ข้างๆ แวบแรกในหัวบอกว่า ‘นางต้องคิดว่าเราเป็นคนญี่ปุ่นแน่นอน’ อ้อ ลืมบอกไปว่าเราคิดว่านางคือคนญี่ปุ่น และในที่สุดเมื่อนางเอ่ยปากถามเราเรื่องเบียร์ว่า “อันนี้ใช่เบียร์ของสวีเดนรึเปล่าคะ?” ด้วยความที่เราไม่รู้ ก็เลยตอบไปว่า “ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่อันนี้ใช่ค่ะ ลองดูก็ได้นะ รสชาติไม่แย่” เราชี้เบียร์ยี่ห้อนึงของสวีเดนที่เคยลองมาแล้วรู้สึกโอเค เมื่อบทสนทนาเริ่ม เธอเลยถามเราว่า “เป็นคนญี่ปุ่นรึเปล่าคะ?” ว่าแล้วเชียว เราตอบไปว่าไม่ใช่ และหลังจากนั้นก็เริ่มคุยกัน จนลงเอยด้วยการซื้อขนมนมเนยและเบียร์กัน เราชวนนางไปนั่งริมน้ำชมวิวกัน รู้สึกพราวด์เล็กน้อยที่อยู่สวีเดนมาร่วมเดือนและได้แนะนำอะไรให้นักท่องเที่ยวคนอื่นได้บ้าง เราสองคนเลยไปนั่งที่ริมน้ำชมวิว กินเบียร์ คุยถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเจอมา เธอเป็นหญิงชาวญี่ปุ่นที่ชื่อเอโกะ อายุประมาณสี่สิบกว่าๆ ได้ น่าจะรุ่นแม่ๆ เรา (อาจเด็กกว่านิดนึง) เราเล่าให้เอโกะฟังถึงเรื่องที่เราไปทำงานอาสาที่บ้านฟาร์มในเมืองใกล้ๆ สตอกโฮล์มมา เอโกะเล่าเรื่องทริปนอร์เวย์ที่เธอเพิ่งไปมา เธอลางานมานานเพราะอยากมาเที่ยวคนเดียว เราสลับกันเปิดรูปจากทริปสนุกๆ ให้ดูกัน แต่นั่งไปได้สักพักเอโกะรู้สึกเริ่มหนาวนิดๆ เราพกเสื้อแจคเกตมาเลยรู้สึกโอเค ส่วนเอโกะไม่ได้เตรียมเสื้อนอกมาเลย เราเลยพาเอโกะไปเดินเล่นในย่านเมืองเก่า ระหว่างที่เดินเราก็ชี้นู่นนี่ให้ดู แนะนำร้านนู้นนี้ พร้อมกับสังเกตกระเป๋าที่ไม่รูดซิบของเธอแล้วพูดว่า “อย่าลืมปิดกระเป๋าและระวังของให้ดีนะ สตอกโฮล์มเป็นเมืองที่ปลอดภัยมาก แต่ก็อยากให้ระวังไว้ก่อน” เอโกะยิ้มแล้วพูดประมาณว่าเราเหมือนอยู่มานานเลย ซึ่งเปล่าเลย อยู่มาไม่นาน แต่เรารักสตอกโฮล์มมากจึงรู้รายละเอียดบางอย่างเยอะกว่าเมืองหรือประเทศอื่นๆ ที่เคยไป หลังจากเดินเล่นกันอยู่สักพัก เอโกะขอตัวกลับโรงแรมไปเพราะทนหนาวไม่ไหว ก่อนจากกันเราแค่มองตายิ้มๆ กัน ไม่กล้ากอดเอโกะแบบที่เวลาเจอเพื่อนสวีเดนแล้วต้องกอดทักทายและบอกลาทุกครั้ง ก็คงเพราะคนเอเชียอย่างพวกเราๆ ไม่ค่อยเก่งในการแสดงออกทางความรู้สึกหรือการสัมผัสตัวกันเท่าไหร่ (ซึ่งเราว่ามันค่อนข้างสำคัญต่อความสัมพันธ์คนเรามาก ไว้ค่อยพูดถึงทีหลังนะ) เราลังเลอยู่ในใจว่าควรขออีเมลหรือเฟสบุคเธอไว้ดีมั้ย แต่บางอย่างในใจบอกว่าไม่ต้องดีกว่า เก็บไว้เป็นความทรงจำก็พอ แต่พอมาถึงตอนนี้ บางครั้งก็ยังนึกเสียดายที่ไม่ได้ขออะไรมาเลย.. แง
สตอกโฮล์มที่รัก
การได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ระหว่างการท่องเที่ยวนั้นเป็นอะไรที่วิเศษมาก เราค่อนข้างรักในเรื่องราวแบบนี้ และเน้นเจอผู้คนมากกว่าจะต้องเก็บสถิติว่าไปที่นั่นที่นี่มาแล้ว ปลายเดือนหน้าเราจะได้กลับไปเดินเล่นที่สวีเดนอีกครั้ง เพื่อนเก่าๆ หลายคนก็ยังอยู่ที่นั่น บางคนก็ไม่อยู่บ้าง ไม่คุยกันแล้วบ้าง แต่สิ่งที่ตื่นเต้นนอกเหนือจากการกลับไปเจอเพื่อนเก่าแล้วก็คือเพื่อนใหม่ๆ ที่เราจะได้เจอ นึกแล้วก็น่าเดาเหมือนกันแฮะว่าจะเจอคนแบบไหน และจะได้ทำอะไรสนุกๆ กันบ้าง
แล้วจะมาเล่าให้ฟังแน่นอน!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in