เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
/ อ่านวรรณกรรมผ่านสายตาหลังกรอบแว่น /one8octobear
(non-fiction) รถไฟคันนั้นมีหวูดเป็นเสียงคลื่น | บทที่ 1
  • วิชาสารคดี (non-fiction) ครูกิ๊บ ปีสอง เทอมหนึ่ง 
    โจทย์: งานสารคดีที่เขียนขึ้นจากประสบการณ์ของเรา :-)







    เด็กหญิงกับรถไฟซึ่งห่างเพียงเอื้อมมือ






     หากพูดกับเด็กหญิงหรือเด็กชายสักคนว่าคุณกำลังจะพาเขาขึ้นรถไฟ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กคนนั้นจะต้องยิ้มแก้มปริและตอบรับมันโดยไม่ลังเล โดยเฉพาะถ้าเด็กคนนั้นเป็นฉัน คุณคงจะโดนกระโจนเข้ากอดเอวแล้วบอกให้ไปมันเสียเดี๋ยวนี้เลย!


    ฉันโตมาในบ้านแถบชานเมือง เราเรียกกันว่าฝั่งธนบุรี แต่ถึงจะเป็นชานเมืองอย่างไรก็หนีสังคมแบบกรุงเทพฯ ที่จะพบรถติดทุกเมื่อเชื่อวันไม่ได้ เพราะครอบครัวของเราผูกติดชีวิตไว้บนรถ จะกินข้าวก็ทำเอาบนรถ จะมานอนต่อก็นอนเอาบนรถ หรือบางครั้งหากตื่นสายก็นู้นล่ะ ไปแต่งตัวใส่ถุงเท้ากันบนรถเสีย


    ฉันในวัย 8 ขวบจึงแทบไม่เคยสัมผัสการเดินทางผ่านยานพาหนะอื่น ๆ นอกจากรถยนต์ เพราะแม้แต่รถมอเตอร์ไซต์รับจ้างก็ขึ้นน้อยครั้งจนนับนิ้วได้ นอกเสียจากวันที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินให้แม่มารับที่โรงเรียนไม่ได้จริง ๆ ก็อย่าหวังเสียละว่าจะได้นั่งรถมอเตอร์ไซต์ แม่ให้เหตุผลว่าฉันยังเด็กเกินไป แต่แม่ไม่รู้หรอกว่าฉันมักจะแอบเถียงในใจเสมอว่า ‘หนูโตแล้ว ฟันน้ำนมก็หลุดแล้ว ไม่ใช่เด็กแล้วนะ’ ยังดีที่ตอนนั้นไม่ได้โพล่งสิ่งที่คิดออกไป ไม่เช่นนั้นแม่คงได้ลงไปขำกลิ้งกับพื้นให้เหตุผล ‘การนับว่าโตแล้ว’ ของฉัน


    อย่างที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้ว่าฉันในวัย 8 ขวบแทบไม่เคยสัมผัสกับยานพาหนะอื่น ๆ


    และนั่นก็รวมถึงรถไฟด้วย


    ฉันจำความรู้สึกครั้งแรกตอนเห็นรถไฟไม่ได้ เพราะเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร รู้อีกทีทุกอาทิตย์เมื่อไปนอนบ้านคุณยายที่อยู่ดอนเมืองก็จะได้พบกับรถไฟเสมอ มันมักส่งเสียงหวูดดังลั่นมาก่อนที่ตัวจะมาถึง และทุกการปรากฏตัวของมันก็ดึงดูดสายตาของฉันให้มองตามอย่างตื่นตาตื่นใจเสมอ


    ครั้งหนึ่งน้าสาวตัดสินใจพาพี่ชายและพี่สาวของฉันขึ้นรถไฟ ระยะทางสั้น ๆ แค่หนึ่งสถานีเท่านั้น แต่เชื่อเถอะว่าสำหรับเด็ก ๆ ที่ไม่เคยขึ้นรถไฟมาก่อน ระยะทางสั้น ๆ นี้จะติดตรึงในใจไปนานเท่านานอย่างแน่นอน


    น่าเสียดายที่ฉันยังคง ‘เด็กเกินไป’ จึงไม่ได้รับอนุญาตจากแม่ให้ไปขึ้นรถไฟพร้อมพี่ชายพี่สาวและน้า แม้ว่าฉันจะบีบน้ำตาหรือพูดชี้ให้เห็นว่าโตแล้วขนาดไหน แม่ก็ตัดสินใจแน่วแน่ไม่ยอมถอย สุดท้ายเลยเป็นฉันเองที่ต้องยอมยกธงขาวแล้วถอยกลับไปนั่งประจำที่นั่งข้าง ๆ คนขับพร้อมน้ำตา แต่แม่ก็ชดเชยการอดนั่งรถไฟครั้งนี้ด้วยการขับรถคู่ขนานไปกับรถไฟซึ่งบรรทุกไว้ด้วยพี่สาวและพี่ชายของฉัน


    แม้กระทั่งตอนนี้ฉันก็ยังคงรู้สึกเสียดายที่พลาดรถไฟเที่ยวนั้นไป


    แต่กระนั้นความรู้สึกยามที่แม่ชี้ชวนให้มองออกไปทางหน้าต่าง ความรู้สึกยามรถวิ่งไปบนท้องถนนพร้อมกับรถไฟที่วิ่งแซงไปข้างหน้า เสียงล้อรถไฟที่บดไปกับราง เสียงหวูดซึ่งหวีดเสียงร้องดังตามหน้าที่ของมัน ทุกสิ่งอยู่ในความทรงจำของฉันเหมือนกับถูกสลักเอาไว้


    ยามได้มองตามรถไฟเคลื่อนขนานไปกับรถที่ฉันนั่งอยู่มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจเล็กเท่ากำปั้นเต้นระรัวแทบจะกระเด้งออกมา ฉันยิ้มแก้มแทบปริให้แม่ ความรู้สึกอยากบีบน้ำตาปลิวหายไปตามเสียงลมซึ่งดังพรึบพรับผ่านหน้าต่างฝั่งคนขับที่เปิดอยู่



    บางทีเราอาจจะเสียบางสิ่งไป เพื่อโอกาสที่จะได้พบกับอีกสิ่งหนึ่งแทน



    เพราะถ้าให้ฉันเลือกในตอนนี้ ฉันก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะยอมแลกช่วงเวลาที่ได้อยู่บนรถกับแม่สองคนและตื่นเต้นกับรถไฟซึ่งวิ่งคู่ขนานไปพร้อมเรา กับ โอกาสที่จะได้ขึ้นรถไฟในครั้งนั้นหรือไม่


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in