ในที่สุด จัสตินก็หาเหตุผลที่จะโทรศัพท์หาแคลเรนซ์ได้ เพราะข้อความเสียงขู่ฆ่านั่นเลยทีเดียว
ข้อความที่คุกคามมีทั้งหมดมีหลายสิบข้อความตลอดสามวันที่เขาไม่ได้กลับมาที่ห้อง ข้อความที่ทิ้งไว้มีหลายเสียง อาจผ่านการแปลงเสียง ดัดเสียง หรือบางทีอาจเป็นเสียงจริงก็ได้ แต่ข้อความของทุกเสียงที่โทรศัพท์มาด้วยหลากหลายหมายเลขนั้นมีสาระอย่างเดียวกันคือ ข่มขวัญและขู่ฆ่า
วิสัญญีแพทย์กลับมาที่อพาร์ตเมนท์ของจัสตินหลังจากที่เขาโทรศัพท์ถึง บอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น และปรึกษาว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไม่มีการถามซ้ำว่าจริงหรือไม่ กังวลไปเองหรือเปล่า เพียงแค่บอกว่า อย่าเพิ่งลบข้อความทิ้ง อย่าเพิ่งแจ้งตำรวจก่อนที่เขาจะไปถึง เพียงไม่กี่อึดใจ เจ้าตัวก็โทรศัพท์บอกว่า รออยู่หน้าอพาร์ตเมนท์แล้ว
ทันทีที่เห็นหน้าและเห็นว่าเขายังปลอดภัยและอยู่ในสภาพไม่ต่างจากตอนที่จากกัน แคลเรนซ์ถึงกับถอนใจเฮือกด้วยความโล่งอก เกือบคว้าตัวเขามากอดอยู่แล้ว แต่เมื่อนึกถึงอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดีของเขาขึ้นได้ โอเมก้าหนุ่มก็ทำเพียงเอื้อมมือมาจับบ่าของเขาแล้วบีบเบา ๆ เหมือนต้องการแน่ใจว่า เขายังอยู่ดีจริง ๆ และเหมือนปลอบใจเขาไปในตัว ก่อนขอให้เขานำไปที่ห้องเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น
การมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนทำให้เขาอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าใครคนนั้นจะเป็นคนที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม แม้ว่าการไว้ใจคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อและค่อนข้างไม่เป็นเหตุเป็นผล แต่จัสตินก็คิดว่า เขาตัดสินใจถูกที่เลือกปรึกษาแคลเรนซ์ที่รู้ปัญหาของเขาตอนนี้ดีที่สุด และไม่ต้องเริ่มต้นอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เพื่อนที่ (เขาคิดว่า) รู้จักกันมานานซึ่งอาจช่วยอะไรเขาไม่ได้
“ผมว่ามันแปลก ๆ นะ จัสติน” แคลเรนซ์ออกปาก หลังจากฟังเสียงในเครื่องตอบรับข้อความอัตโนมัติที่เขาเปิดให้ฟัง และกดเล่นข้อความสุดท้ายซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เวลาที่บันทึกเสียงคือเวลาที่พวกเขากินมื้อค่ำอยู่ด้วยกันที่ร้านอาหารอิตาเลียนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้กับที่พัก
‘แกหนีไปไม่พ้นหรอก ต่อให้หนี ฉันก็จะตามไปจัดการแกให้ได้”
จากนั้นก็เล่นข้อความที่เก่ากว่านั้นอีกข้อความหนึ่ง บุคคลปริศนาโทรศัพท์มาในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน
“แกรอดตายมาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าแกจะรอดไปได้ตลอดหรอกนะ ไอ้เบต้า”
และข้อความก่อนหน้านั้นอีก เป็นข้อความของวันที่เขาถูกทำร้าย แต่เป็นข้อความที่ส่งมาก่อนที่เขาจะพบกับอัลฟ่าพวกนั้นที่บริเวณซอกตึกลับตาคนที่เขาใช้เป็นเส้นทางลัดกลับบ้านในบางเวลาที่กลับจากห้องสมุดดึกกว่าปกติ
“คนอย่างแกสมควรตายอย่างหมาข้างถนนแล้ว”
แคลเรนซ์วางมือจากเครื่องบันทึกข้อความโทรศัพท์ ยกมือขึ้นเท้าเอว ขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของห้องที่ถูกคนปองร้าย
“ข้อความที่ส่งมาถึงคุณ ถ้าเรียงตามลำดับเวลาก่อนหลัง เหมือนมันรู้ความเคลื่อนไหวของคุณ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็รู้ความเป็นไปของคุณ”
จัสตินมองตอบและพยักหน้าเห็นด้วย แคลเรนซ์ ชเวพูดถูกทุกอย่าง
ถ้าเรียงลำดับข้อความโดยเริ่มจากข้อความของเมื่อสามวันก่อนเป็นข้อความที่แสดงให้เห็นว่า เขามีอันเป็นไปหรือตายไปแล้ว ข้อความที่ถูกส่งมาในวันถัดมาแสดงให้เห็นว่า อีกฝ่ายรู้แล้วว่าเขาหนีรอดไปได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และข้อความประเภทหลังนี้มีความถี่มากที่สุด เหมือนเป็นการขู่ไปด้วยและทดสอบไปในตัวว่า เขากลับมาถึงห้องแล้วหรือยัง เพราะถ้าเขากลับมาถึงที่พักแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่จะรับโทรศัพท์ หรือมีใครสักคนหนึ่งเห็นความเคลื่อนไหวของเขาบ้าง
“พวกมันรู้ว่าผมรอดมาได้” จัสตินบอก “แต่อาจจะยังไม่รู้ว่าช่วงสามวันก่อนนั้น ผมอยู่ที่ไหน กับใคร”
“เป็นไปได้” แคลเรนซ์เห็นพ้องด้วย แต่ยังคงขมวดคิ้วด้วยความไม่สบายใจ “แต่ผมอดคิดไม่ได้ว่า ในขณะที่เราส่งคนตามความเคลื่อนไหวของคุณอยู่ อีกฝ่ายก็อาจมีคนคอยตามคุณอยู่เหมือนกัน ปัญหาคือผมรู้ว่าพวกเรามีใครบ้าง แต่ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นพวกไหน”
“แสดงว่าพวกที่ตามล่าผมอยู่มีหลายพวกงั้นเหรอ”
เวรแล้ว... เบต้าหนุ่มนึกในใจ เมื่อคิดตามคำพูดที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างไม่ปิดบังของโอเมก้าตรงหน้า
เขาไม่เคยคิดจริง ๆ ว่า สิ่งที่ทำเพื่อให้โอเมก้าเป็นอิสระ สามารถทำอะไรได้ตามใจตัวเองมากขึ้น โดยไม่ต้องตกอยู่ใต้อาณัติของอัลฟ่าไปตลอดชีวิตจะนำไปสู่ความเดือดร้อนของตัวเองมากมายถึงขนาดนี้ เพราะเมื่อคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยและอาจารย์ที่ปรึกษาอนุมัติให้เขาทำการทดลองในมนุษย์ได้ เขาวางใจแล้วว่า ถ้าไม่เกิดผลกระทบทางลบมากเกินไป วิทยานิพนธ์ของเขาคงเดินหน้าไม่ได้และคงไม่ผ่านในระดับดีมากอย่างที่เป็นอยู่
“มีอัลฟ่าที่สนับสนุนให้อัลฟ่าเป็นใหญ่อยู่หลายพวก” แคลเรนซ์รับตามตรง ไม่พยายามจะพูดบิดเบือนให้เขาสบายใจขึ้นว่า คนที่มองเขาเป็นศัตรูมีแค่ไม่กี่พวก “แต่เท่าที่ฟังจากข้อความที่พวกมันส่งมาถึงคุณ น่าจะมีแค่กลุ่มเดียวที่เคลื่อนไหวโดยใช้ความรุนแรงกับคุณ เพียงแต่ผมยังไม่กล้าคาดเดาว่าเป็นพวกไหน”
“ผมคิดว่า ผมพอจะเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองอยู่บ้าง” จัสตินบอก พยายามทำสีหน้าให้ปกติ แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองคงจะทำหน้าตาไม่เข้าท่าหรือฝืนยิ้มแหย ๆ ให้อีกฝ่ายอยู่ เพราะสายตาและสีหน้าของแคลเรนซ์ที่มองเขาตอบกลับมานั้น เต็มไปด้วยความสงสารและเห็นใจ
“คุณคิดไว้บ้างหรือเปล่าว่าจะทำยังไงต่อไป”
นักชีวเคมีที่ถูกตามล่าส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ผมไม่เคยเจอประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน”
“ถ้าผมบอกให้คุณทำตามคำแนะนำของผม คุณจะเชื่อใจและทำตามผมไหม จัสติน”
เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ผมเชื่อคุณ แคลเรนซ์”
“ถ้าอย่างนั้น รีบเก็บเสื้อผ้า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เอกสารสำคัญที่ต้องใช้และของที่คุณจำเป็นต้องใช้ตอนนี้เลย” แคลเรนซ์จับต้นแขนของจัสติน มือของเขาเย็นแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่น เสียงของเขาบ่งบอกถึงความเร่งรีบแต่ก็ให้ความมั่นใจและมั่นคงกับคนฟังได้ ไม่จำเป็นต้องขยายความเพิ่ม จัสตินก็รู้ว่าเขาต้องทำอะไรและจะไปที่ไหนต่อ
“ทำไมคุณถึงยอมเสี่ยงช่วยผมมากขนาดนี้” มันเป็นคำถามงี่เง่า แต่เขาก็หลุดปากถามไปแล้ว ระหว่างที่เปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าเดินทางออกมา กึ่งหยิบกึ่งกระชากเสื้อผ้าบนราวแขวนโยนลงกระเป๋า “เพราะงานของผมมีค่ากับคุณและโอเมก้าทั้งหลายมากจริง ๆ ใช่ไหม ผมแค่อยากแน่ใจว่าตัวเองเป็นประโยชน์คุ้มค่าพอที่คุณจะเอาตัวเองมาเสี่ยง”
แคลเรนซ์ที่ช่วยปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่อัพเดทระบบปฏิบัติการเสร็จทันเวลาพอดีลงในเป้ให้หยุดมือและหันมามองเขาพร้อมกับยิ้มให้
รอยยิ้มของแคลเรนซ์มีความหมายอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น
“งานวิจัยของคุณมีค่ากับเรา และยิ่งไปกว่านั้น คุณมีค่ากับผมมากเกินกว่าที่ผมจะยอมเสียคุณไป”
To be continued.... Chapter 10: Flowing
----------------------------------------------
หมายเหตุ: เรื่องนี้ขอยืมไอเดียกับ prompt มาจากทวิตของคุณเกด
อันนี้ค่ะ เป็นพล็อตโอเมก้าเวิร์สที่โฟกัสกับบทบาทของเบต้า เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยลองเอามาเขียนดู แล้วไหนๆ ก็จะเข้าช่วง #Fictober กันแล้วก็เลยใช้คำโจทย์ของ Inktober ปี 2018 มาเขียนด้วย ก็หวังว่าจะรอดจนจบ 30 ตอนนะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in