เจสัน ฟิตซ์เจอรัลด์ คือ อัลฟาที่ทำให้ชีวิตของแคลเรนซ์ ชเวพังพินาศ และทำให้โอเมก้าทั้งชายและหญิงอีกหลายคนพบกับความเจ็บปวดที่ไม่สามารถเลือกอะไรได้ นอกจากต้องอดทน หรือถ้าไม่อดทน พวกเขาก็มีทางเลือกให้ตัวเองอยู่ไม่กี่ทาง แต่ในบรรดาโอเมก้าเคราะห์ร้ายที่ผ่านมือนักธุรกิจในวงการภาพยนตร์อย่างเจสัน แคลเรนซ์ เชวคู่แท้ที่พยศกับเขามากที่สุดกลับเป็นคนที่เขาอยากเอาชนะที่สุด
แคลเรนซ์มีทุกอย่างที่เรียกว่าเป็นข้อด้อยในโลกที่อัลฟ่าชายผิวขาวเป็นใหญ่
เขาเป็นคนเอเชียที่นับเป็นประชากรที่ต่ำชั้นกว่าชาวแอฟริกันอเมริกันเสียอีก พ่อแม่มีการศึกษาสูงก็จริง แต่ก็นับว่าอยู่ในกลุ่มของผู้อพยพ แม้จะเกิดในสหรัฐอเมริกา สัญชาติอเมริกัน และมีมีผลการเรียนระดับเด็กหน้าห้องก็ไม่ได้ทำให้สังคมรอบตัวอ้าแขนรับเขาอย่างง่ายดายเสมอไป และที่สำคัญที่สุด เขามีเพศรองเป็นโอเมก้าที่มีการเจริญพันธุ์ได้ต่ำและเด็กที่เกิดจากโอเมก้าชายก็มีโอกาสรอดน้อยกว่าโอเมก้าเพศหญิงที่อาจเรียกได้ว่าเป็นเพศแม่ที่สมบูรณ์แบบหลายเท่า
การเป็นโอเมก้าชายเชื้อสายเอเชีย โดยเฉพาะเชื้อสายเกาหลีที่เป็นประเทศที่โอเมก้าทุกเพศและเบต้าหญิงประสบกับเหตุการณ์ทางเพศที่เลวร้ายมาแล้วในช่วงสงครามโลกยิ่งตอกย้ำความเป็นทาสของโอเมก้าในสายตาของเจสันมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแคลเรนซ์ถูกกำหนดมาให้เป็นคู่แท้ที่ต้องตกอยู่ในอาณัติของอัลฟ่าที่เป็นคู่ของตัวเองหลังจากการเมทสำเร็จ
เจสันคิดว่าการใช้กำลังจะทำให้แคลเรนซ์หมดแรงต่อสู้ แต่เขาคิดผิดถนัด
ไม่เพียงแต่จะต่อต้าน แคลเรนซ์เป็นคู่แท้ที่เฉยชา ความนิ่งเฉย ดื้อเงียบทำให้อัลฟ่าหนุ่มที่ไม่เคยถูกขัดใจหมดความอดทน และคนที่หมดความอดทนก่อน ใช้ความรุนแรงก่อนก็เป็นผู้แพ้ในเกมที่ทำให้คำว่า ‘คู่แท้’ ที่ถูกชะตากำหนดมาให้เป็นคู่กันตามธรรมชาติหมดความศักดิ์สิทธิ์ และนำมาซึ่งความหายนะของฝ่ายที่คิดว่าตัวเองจะไม่มีวันแพ้
คนที่เกือบตายยังฮึดสู้เก็บลมหายใจที่เหลืออยู่เอาไว้มาเอาคืนทางกฎหมายทีหลัง
เจสัน ฟิตซ์เจอรัลด์ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาฐานพยายามฆ่าและใช้ความรุนแรงกับคนในครอบครัว ซึ่งเป็นความผิดที่อ้างไม่ได้ว่าเกิดขึ้นจากฮอร์โมนหรือธรรมชาติของเพศรอง ถูกฟ้องหย่าและเรียกค่าเสียหายทางแพ่งอีกมหาศาล จากคนที่นั่งแท่นโปรดิวเซอร์ เคยเดินพรมแดงในเทศกาลหนัง และเปิดห้องพิเศษของโรงแรมสำหรับออดิชั่นนักแสดงเป้าหมายที่กลายเป็นทาสที่ถูกโซ่ล่ามไปตลอดชีวิต เพราะรอยกัดของอัลฟ่าไม่กี่ครั้ง ได้ห้องพิเศษของตัวเองในเรือนจำและใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะออกมาสัมผัสกับอิสรภาพในสังคมได้
“การที่เด็กคนนั้นไม่ได้เกิดมาอาจเป็นโชคดีของแกแล้วก็ได้”
ดวงตายาวรีของแคลเรนซ์อ่อนแสงลงยามเอ่ยถึงสิ่งที่เขาสูญเสียไปในคราวนั้น ถึงจะไม่ได้รัก ออกจะเกลียดคนคนนั้นด้วยซ้ำไป แต่สิ่งที่เจสัน ฟิตซ์เจอรัลด์เคยเกิดขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและร่างกายก็ทิ้งร่องรอยของความอาลัยแก่คนที่เกือบได้เป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อีกชีวิตหนึ่งขึ้นบนโลก
“คุณมีอีกไม่ได้เหรอ” จัสตินถาม เขารู้ว่าอีไลรอคอยการกลับมาและคอยให้ความช่วยเหลือแคลเรนซ์เท่าที่ทำได้
โอเมก้าหนุ่มยิ้มให้เขา “ไม่ได้อีกต่อไปแล้วล่ะ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เรา... ผมหมายถึงอีไลกับผมก็คิดกันไว้แล้วว่าเราคงไม่มีลูกกัน เพราะมันเสี่ยงเกินไปสำหรับโอเมก้าเพศชาย”
ถึงไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่จัสตินก็พอจะเข้าใจความหมายและความโล่งใจลึก ๆ ของแคลเรนซ์ที่ไม่มีลูกกับคู่รักที่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เพราะหลังจากนั้นไม่นาน อีไลก็จากไปด้วยอุบัติเหตุบางอย่างที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ เป็นคดีที่ยังปิดไม่ลง และการเป็นผู้ปกครองเลี้ยงเดี่ยวไปพร้อมกับการทำงานและติดตามคดีของคู่หมั้น รวมถึงทำงานให้กับองค์กรลับไม่เปิดเผยตัวตนอย่างโร้คไปในเวลาเดียวกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในขณะที่การเป็นคนตัวเปล่าทำให้โอเมก้าหนุ่มสามารถทำได้ทุกอย่างอย่างที่ทำอยู่ในเวลานี้
“เห็นไหมว่า เรื่องของผมไม่สนุกเท่าไหร่หรอก” แคลเรนซ์ ชเวบอก “แต่ทุกอย่างอาจไม่ลงเอยด้วยดีอย่างนี้ก็ได้ ถ้าโครงการวิจัยของคุณไม่รับสมัครอาสาสมัครสำหรับการทดลองยาสำหรับลบล้างผลของการกัดของอัลฟ่าในโอเมก้า”
“ตอนนั้น ผมไม่ได้ใช้นามสกุลเดิมของตัวเองแบบตอนนี้ ไม่ได้ไว้ผมยาวแบบตอนนี้ด้วย คุณจะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก”
จัสตินมองหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ขอโทษนะ ที่ผมจำอะไรไม่ได้ แล้วก็ทำให้คุณต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
แคลเรนซ์ส่ายหน้ายืนยันว่า เขาไม่จำเป็นต้องขอโทษหรือรู้สึกผิดแต่อย่างใด “ผมยินดีเล่า เพื่อให้คุณเข้าใจว่า ทำไมงานของคุณถึงมีความสำคัญกับผม และเป็นประโยชน์กับโอเมก้าที่ถูกล่ามโซ่ที่มองไม่เห็นติดกันอัลฟ่าอย่างไม่เต็มใจ”
“ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ผมจะต้องโกหกคุณ”
เบต้าหนุ่มสบตาสีน้ำตาลคู่นั้นที่มองตาของเขาตอบกลับมา แม้จะยิ้มอยู่ แต่เขาเห็นร่องรอยบางอย่างในสีหน้าของคนตรงหน้าอย่างที่เขาไม่เคยใส่ใจจะสังเกตจากคนอื่นมาก่อน และเห็นเงาสะท้อนสีหน้าของตนเองอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย
“ผมเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณนะ แคลเรนซ์...”
“ผมคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรที่ดีกว่านี้กับคุณดี”
“คุณไม่จำเป็นต้องพูดหรอก ผมเข้าใจ” แคลเรนซ์บอก
คำถามนั้นของจัสติน เคลย์มอร์เป็นสิ่งที่แคลเรนซ์คาดไม่ถึง
“มีงานวิจัยสักชิ้นบอกว่าการกอดจะทำให้รู้สึกดีขึ้นและส่งผลทางบวกกว่าคำพูดในบางกรณี”
คำอธิบายนั้นทำให้โอเมก้าหนุ่มยิ้มออกมาได้ และคลายแขนที่กอดอกออก
“ได้สิ”
และดูเหมือนว่า ผลการวิจัยชิ้นนั้นจะถูกต้องอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
หมายเหตุ: เรื่องนี้ขอยืมไอเดียกับ prompt มาจากทวิตของคุณเกด
อันนี้ค่ะ เป็นพล็อตโอเมก้าเวิร์สที่โฟกัสกับบทบาทของเบต้า เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยลองเอามาเขียนดู แล้วไหนๆ ก็จะเข้าช่วง #Fictober กันแล้วก็เลยใช้คำโจทย์ของ Inktober ปี 2018 มาเขียนด้วย ก็หวังว่าจะรอดจนจบ 30 ตอนนะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in