แคลเรนซ์ออกไปจากห้องพร้อมกับถาดอุปกรณ์ทำความสะอาดแผลที่ได้มาตรฐานเทียบเท่าอุปกรณ์ของโรงพยาบาล
มือเรียวบางแต่แข็งแกร่งคู่นั้นที่เคยคว้าตัวของเขาไว้และดึงให้เขาหนีจนพ้นมือคนที่หวังเอาชีวิตเขามาจนได้กลับเป็นมือที่นุ่มนวลและคล่องแคล่วมากเช่นกันในเวลาทำงานที่ต้องใช้ความระมัดระวังและเบามืออย่างการล้างแผลที่มีใครสักคนเย็บให้เขาอย่างเรียบร้อย กิริยาการสำรวจความเรียบร้อยของแผลของโอเมก้าหนุ่มทำให้คนเจ็บอดคิดไม่ได้ว่า เจ้าตัวอาจเป็นคนลงมือทำแผลให้เขาด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่มีสิ่งใดมายืนยันข้อเท็จจริงข้อนั้น และอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
เสียดายที่เบต้าไม่มีความสามารถที่คนกลุ่ม ‘พิเศษ’ เพราะไม่สามารถใช้การดมกลิ่นเพื่อตรวจสอบสถานะของอีกฝ่ายได้ แต่นั่นก็อาจจะดีแล้ว เพราะเขาคิดว่า การที่ตัวเองไม่ได้กลิ่นประจำตัวและไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากกลิ่นนั้นย่อมปลอดภัยกับเจ้าของบ้านมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของบ้านเป็นโอเมก้า
นอกจากคำกล่าวจากปากของแคลเรนซ์ที่เอ่ยถึงเพศรองของตนเอง หลายอย่างภายในห้องและบนเตียงที่เขานอนอยู่บ่งชี้ถึงลักษณะเฉพาะตัวและสัญชาตญาณเบื้องลึกที่ไม่มีโอเมก้าคนไหนต่อต้านได้ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศสว่าง สะอาด และอบอุ่น ผ้าปูที่นอนและผ้าห่มที่เนียนมือเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นคือกองหมอนนุ่ม ๆ ที่กองอยู่บนเตียง และมีเยอะกว่านั้นบนโซฟา ที่เป็นไปได้ว่า แคลเรนซ์นอนที่นั่นเพื่อคอยเฝ้าดูอาการคนเจ็บอย่างเขาทุกคืน
ถึงจะมีพฤติกรรมเหมือนโอเมก้าทั่วไป แต่แคลเรนซ์ ชเวไม่เหมือนโอเมก้าคนไหนที่เขารู้จักมาก่อนในชีวิต
ชายหนุ่มคนนั้นแข็งแกร่ง คล่องแคล่ว และใช้ความปราดเปรียวของตัวเองเอาชนะอัลฟ่าที่ได้เปรียบด้านพละกำลังและรูปร่างได้อย่างเหลือเชื่อ และที่ไม่น่าเชื่อยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่ได้เอาตัวรอดแค่เพียงคนเดียว ทว่ายังพาเบต้าที่ไร้ทักษะด้านการกีฬา เป็นแค่เนิร์ดในห้องแล็บอย่างเขาหนีจากอันตรายมาได้
ความมุ่งมั่นในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นของแคลเรนซ์ระหว่างพาเขาหลบเข้าไปในประตูทางหนีไป คำพูดปลุกปลอบและกระตุ้นเตือนให้เขาอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ และกำลังแขนที่ใช้ลากและเกือบจะอุ้มเขาที่เจ็บแผลจนพูดไม่ออกและเข่าอ่อนแทบทรุดลงทุกห้าหรือสิบนาทีที่วิ่งซอกซอนไปตามหลืบเร้นของอาคารจนถึงรถที่จอดซ่อนไว้ของคลาเรนซ์เป็นกำลังแขนที่นำพาเอาชีวิตของเขาให้รอดพ้นจากความตายมาได้อย่างเฉียดฉิว
มาถึงตอนนี้ เขาแทบจินตนาการไม่ออกเลยว่า แคลเรนซ์จะใช้ชีวิตแบบโอเมก้าทั่วไปได้อย่างไร มันดูไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมสะอาด สงบ และสบายในอพาร์ตเมนต์หรูที่เขาไม่เคยจินตนาการว่าตัวเองจะมีโอกาสมาอยู่ในที่แบบนี้เลยแม้แต่น้อย
ความจริง เขาจินตนาการชีวิตของตัวเองเมื่อไถลออกนอกเส้นทางที่คุ้นเคยไม่ออกเลยต่างหาก
ตั้งแต่เล็กแล้ว ชีวิตของจัสติน เคลย์มอร์มีแต่โรงเรียน บ้าน ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านฟาสต์ฟู้ด ห้องสมุด แล้วก็วนกลับไปตามเส้นทางเดิมแบบนั้น แม้กระทั่งในวัยทำงาน เป็นนักวิจัยของสถาบันด้านชีวเคมีชื่อดังของรัฐและติดอันดับหนึ่งในสิบมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของสหรัฐ ชีวิตเขาก็ยังคงวนเวียนในวงจรเดิม เป็นคนน่าเบื่อที่สนใจแต่สิ่งน่าเบื่อ แต่สิ่งที่เคยเป็นสิ่งน่าเบื่อของใครหลายคนกลับกลายเป็นผลงานที่ส่งชื่อของเขาให้ผงาดขึ้นมาเป็นนักวิจัยมีชื่อขึ้นมาได้ และในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ชีวิตจืดชืดของเขา ‘ร้อนแรง’ ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ...
ร้อนเหมือนถูกย่างอยู่ในเตาอบที่ไม่มีทางออกไม่มีผิด
มันเป็นความสำเร็จทางวิชาการ ทางวิทยาศาสตร์ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครบางคนให้ดีขึ้นไม่มากก็น้อย แต่อีกทางหนึ่ง มีหลายคน... จำนวนมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้ และเรียกได้ว่าคิดไม่ถึง... เดือดร้อนกับสิ่งที่เขาทำขึ้นด้วยความหวังดี และผ่านคณะกรรมการจริยธรรมที่พิจารณาการทดลองในมนุษย์มาแล้วด้วยซ้ำไป
ตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนถ่านร้อน ๆ หรือเป็นกระต่ายที่หมาล่าเนื้อไล่ต้อน เป็นชีวิตที่เหมือนถูกจับขังทั้งเป็นอยู่ในเตาอบ ทั้งร้อน อึดอัด และทรมานอย่างบอกไม่ถูก ไก่งวงที่ถูกย่างช่วงวันขอบคุณพระเจ้ากับคริสต์มาสยังโชคดีกว่าเขาเสียอีก เพราะมันตายไปแล้ว แต่เขามีชีวิตอยู่ และยังตั้งตัวไม่ติดว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตในอนาคต เพราะแล็บที่เคยเป็นสถานที่หลบภัยสำคัญและเป็นแทบทุกสิ่งทุกอย่างของเขากลายเป็นที่ที่มีซอมบี้กระหายข่าวและกระหายจะก่อกวนชีวิตเขามารอเป็นฝูง
เฉพาะตัวเขาเองไม่เป็นไรหรอก เพราะอย่างน้อยถ้ามีลมหายใจก็คงยังพอตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดไปได้ และถ้าจะตายจริง ๆ ก็คงไม่เหลือใครให้ห่วง แต่ตอนนี้ เขากำลังเป็นห่วงใครอีกคนมากกว่า แม้ว่าคนคนนั้นน่าเป็นห่วงน้อยกว่าเขา และออกปากบอกเขาเองว่า ไม่เดือดร้อนเพราะเขาอย่างแน่นอนก็ตาม
“เหมือนคุณกำลังคิดอะไรอยู่”
เสียงของโอเมก้าเจ้าของบ้านที่กลับเข้าห้องมาอย่างเงียบเชียบทำให้เบต้าหนุ่มตื่นจากห้วงความคิด กลิ่นหอมของกาแฟคั่วบดในหม้อต้มแบบโมค่าบนถาดที่อีกฝ่ายยกมาพร้อมกับอาหารทำให้ประสาทของเขากลับมาตื่นตัวอีกครั้ง
“ทำไมมองผมแบบนั้น” ชายหนุ่มเชื้อสายเอเชียหัวเราะ ขณะวางถาดลงบนโต๊ะทำงานในห้องนอนซึ่งเป็นโต๊ะตัวเดียวที่อยู่ในระดับที่สามารถนั่งกินอาหารได้ไม่ต้องก้มหรือเงยมากเกินไปเหมือนโต๊ะหัวเตียงหรือโต๊ะรับแขกหน้าโซฟา
“ไม่ต้องห่วงหรือกลัวว่าผมจะเดือดร้อนหรอก” เขาพูดราวกับอ่านใจของจัสตินออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ”ผม... เราพร้อมที่จะปกป้องคุณอย่างเต็มที่ มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกที่สร้างผลงานที่ส่งเสริมความเสมอภาคในทางชีวภาพขึ้นมาในยุคของประธานาธิบดีท็อดด์ที่ทำให้อเมริกาย้อนกลับไปในยุคที่มีการแบ่งแยกชนชั้นและเพศรองอีกหน งานของคุณต่างหากที่จะทำให้อเมริกากลับมาก้าวหน้าได้ ไม่ใช่นโยบายการทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่ด้วย”
“ผมไม่คิดว่า งานของผมยิ่งใหญ่ขนาดนั้น”
จัสตินคิดว่า แคลเรนซ์อาจกล่าวแย้งคำพูดของเขา แต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงแค่ยิ้มให้
“เรื่องเล็กของคุณอาจเป็นเรื่องใหญ่ของผม เรื่องเล็กของผมอาจเป็นเรื่องใหญ่ของคุณก็ได้ แต่ผมคิดว่าอาหารเช้าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนที่ไม่ได้กินอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมาสองวันแล้วอย่างคุณ และหวังว่าคุณจะคิดตรงกัน”
ว่าแล้ว แคลเรนซ์ก็สอดแขนเข้ามาประคองเพื่อช่วยเขาให้ลุกขึ้น และเดินไปที่โต๊ะทำงานที่กลายเป็นโต๊ะอาหารชั่วคราว จัสตินต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะยืนบนขาของตัวเองได้ถนัด การนอนนานเกินไปทำให้รู้สึกเหมือนขาทำงานไม่ประสานกันชั่วคราว อาการเจ็บตึงที่แผลลึกบนสีข้างก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาต้องอาศัยบ่าของอีกคนเป็นหลักยึด ก่อนที่จะเคลื่อนที่ไปนั่งที่เก้าอี้ได้ด้วยตัวเอง โดยมีคนที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่วันแรกที่ประสบเหตุเดินประกบอยู่ข้าง ๆ และคอยดูว่า เขาต้องการความช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่
จัสตินถอนใจเฮือกด้วยความโล่งอก เมื่อไปถึงโต๊ะและนั่งลงได้สำเร็จ ส่วนแคลเรนซ์เดินไปยกเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างเตียงมานั่งที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามกับเขา และเทกาแฟในหม้อใส่ถ้วยให้เขาและให้ตัวเอง เลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่า ต้องการน้ำตาลหรือนมหรือไม่ แล้วยกจานแซนด์วิชและสลัดผักที่เตรียมมาให้เขาและตัวเองคนละจาน
“แซนด์วิชจากไก่อบที่เหลือจากวันก่อนน่ะ” สำเนียงคนพูดฟังเหมือนขอลุแก่โทษที่ไม่สามารถหาอาหารที่ดีกว่านี้ให้ได้
นั่นเป็นครั้งแรกตั้งแต่พบกันมาที่จัสตินรู้สึกถึงความเป็นเอเชียอย่างยิ่งในตัวของจัสติน ชเว... การเลี้ยงผู้มาเยือนด้วยอาหารที่ดีและเพียงพอดูเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเจ้าตัว และท่าทางขัดใจตัวเองในเรื่องนั้นทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้
“ดีกว่าที่ผมกินอยู่ทุกวันมากเลย” จัสตินหมายความอย่างนั้นจริง ๆ “ผมไม่รู้ว่าจะต้องขอบคุณคุณแค่ไหนถึงจะพอ... ผมหมายถึงทุกเรื่องเลย ตั้งแต่เรื่องที่เสี่ยงช่วยผมจากคนพวกนั้น...”
ทั้งที่เราไม่รู้จักกัน... เขาอยากจะพูดแบบนั้น แต่ตัดสินใจกลืนมันลงคอไปพร้อมกับกาแฟอึกแรกในช่วงเวลาสองวันที่ขาดคาเฟอีน... ดูเหมือนเป็นเขาฝ่ายเดียวต่างหากที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนตรงหน้าเลย ยกเว้นแค่ชื่อ ในขณะที่อีกฝ่าย ‘รู้จัก’ เขามากพอสมควร อย่างน้อยที่สุดก็เป็นฝ่ายที่มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขามากกว่า
“ครับ” จัสตินรับอย่างไม่อ้อมค้อม เขารู้ว่านั่นเป็นนิสัยเสียข้อหนึ่งของตัวเองและความซื่อสัตย์ต่อความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองมากเกินไปก็พาเขาเข้าตาจนมานับไม่ถ้วน คราวนี้ก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด เขาคิดว่าการพูดความจริงกับคนที่สามารถให้ความจริงกับเขาได้อย่างแคลเรนซ์น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุด “แต่ไม่ใช่แค่นั้น”
คิ้วของโอเมก้าหนุ่มเลิกสูงขึ้น มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย มีเสียงอืมเบา ๆ แสดงความสนใจมากกว่ารำคาญ
“ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่า คุณคงอยากรู้อะไรจากผมหลายเรื่องเลยละ” แคลเรนซ์ว่าพลางยกขาในกางเกงยีนฟอกสีซีดขึ้นไขว่ห้าง ประสานมือสองข้างบนเข่าของตัวเอง เอนหลังพิงพนัก และสบตากับเบต้าที่อยู่บนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง
“เริ่มจากเรื่องอะไรก่อนดี”
“โร้คกับคุณ... ผมอยากรู้เรื่องของ ‘โร้ค’ และเรื่องของคุณ แคลเรนซ์”
To be continued.... Chapter 4: Spell
----------------------------------------------
หมายเหตุ: เรื่องนี้ขอยืมไอเดียกับ prompt มาจากทวิตของคุณเกด
อันนี้ค่ะ เป็นพล็อตโอเมก้าเวิร์สที่โฟกัสกับบทบาทของเบต้า เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยลองเอามาเขียนดู แล้วไหนๆ ก็จะเข้าช่วง #Fictober กันแล้วก็เลยใช้คำโจทย์ของ Inktober ปี 2018 มาเขียนด้วย ก็หวังว่าจะรอดจนจบ 30 ตอนนะคะ ฮา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in