จัสตินตื่นแล้วและแน่ใจว่าตัวเองยังไม่ตาย อย่างน้อยหัวใจก็ยังเต้น สมองยังทำงาน เพียงแต่ยังไม่อยากลืมตา
อาการปวดศีรษะบริเวณที่ถูกจับกระแทกผนัง อาการเจ็บ ตึงที่แผลลึกบริเวณสีข้างเป็นข้อยืนยันว่า เขายังคงมีชีวิตอยู่
อย่างไรก็ตาม ในบางแวบของความคิดในช่วงเวลาที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น เขาอดคิดไม่ได้ว่า เขาอาจกำลังอยู่บนสวรรค์ แม้จะไม่เชื่อว่า โลกหลังความตายมีอยู่จริงและสวรรค์เป็นเพียงเรื่องแต่งโน้มน้าวใจคนให้ลุกขึ้นมาทำสิ่งดีบ้างเท่านั้น
นานเท่าไหร่แล้ว ที่ไม่ได้นอนหลับอย่างเป็นสุข อยู่ในความสงบเงียบ และปลอดภัยอย่างนี้...
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นับจากวันที่มีใครสักคนนำเอาบทคัดย่อวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาและบทความวิจัยที่ลงในวารสารวิทยาศาสตร์ของเขาออกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตและมีคนมาขอสัมภาษณ์เขาเกี่ยวกับงานวิจัยที่ทำเสร็จไปแล้วและหาทางต่อยอดต่อไป แม้จะไม่ถึงกับอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนอาชญากรหนีคดี แต่ก็ต้องคอยระวังตัว รอจังหวะที่จะออกจากที่ทำงานกลับบ้านและเดินทางจากบ้านไปยังที่ทำงาน กระทั่งการใช้ขนส่งสาธารณะก็ยังเป็นเรื่องเสี่ยงภัย เพราะไม่รู้ว่าจะมีคนแปลกหน้าคนไหนที่เขาไม่รู้จัก แต่คนพวกนั้นรู้จักเขาจะเข้ามาหาเรื่อง ในขณะที่คนเห็นเหตุการณ์อยู่ตำตาส่วนใหญ่พร้อมใจกันเมินเฉยราวกับว่า ไม่มีความรุนแรงอะไรเกิดขึ้นต่อหน้าพวกตนในเวลานั้น
นานเท่าไหร่แล้ว ที่ไอ้ตัวปัญหา ไอ้เด็กเนิร์ดน่าเบื่ออย่างเขาไม่ได้ถูกแกล้ง ถูกดูถูกเหยียดหยาม และถูกมองด้วยสายตาสงสัยไม่เป็นมิตรอย่างนี้ ถึงแม้จะไม่ได้ถูกจับขังในห้องน้ำหรือล็อกเกอร์เก็บของ หรือถูกล้อเลียนเกี่ยวกับความคิดที่จะช่วยโอเมก้าที่ไม่เต็มใจจะอยู่ใต้อาณัติของอัลฟ่าได้รับการปลดปล่อยว่าเป็นความคิดที่โง่เขลา ไร้สาระ และจะก่อให้เกิดปัญหามากกว่าช่วยแก้ปัญหา แต่ใครหลายคนก็มองเขาราวกับว่า เขาเสียสติไปแล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็มองว่า เขาเป็นพวกขวางโลกหัวรุนแรงที่พยายามจะใช้ข้ออ้างและผลงานทางวิทยาศาสตร์มาต่อต้านสิ่งที่พระเจ้าหรือธรรมชาติกำหนดเอาไว้แล้ว และควรจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป นั่นก็คือ ชนชั้นทางชีวภาพที่ต่ำต้อยของโอเมก้าควรเป็นสิ่งที่กำหนดชนชั้นทางสังคม
นานเท่าไหร่แล้ว ที่เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวอยู่บนโลกที่มีคนรายล้อมมากมายแต่ไม่มีใครเข้าใจ
เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่มีใครสักคนที่จะยื่นมือเข้ามาจับมือของเขาเอาไว้และบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า เขาทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วและการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเท่าเทียมเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นอย่างที่ครูใหญ่เอ็มเม็ตต์ เทรเวอร์เคยทำเลย
จัสตินรู้สึกถึงน้ำหนักของคนที่นั่งลงบนเตียง และสัมผัสจากปลายนิ้วมือที่เกลี่ยบริเวณหางตาและปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวออกให้
ภาพที่เห็นเมื่อค่อย ๆ ลืมตายังพร่ามัวในแสงสลัวของโคมไฟบนหัวเตียงที่อีกฝ่ายเปิดไว้ในห้องที่ปิดม่านทึบไม่ให้แสงสว่างจากภายนอกเล็ดรอดเข้ามารบกวนคนเจ็บที่ยังนอนหลับอยู่
“ไม่เป็นไรแล้ว คุณปลอดภัยแล้ว สบายใจได้” เจ้าของมือข้างนั้นเอ่ยปลอบ วางหลังมือทาบเหนือหน้าผากของเขา ก่อนเลื่อนลงมาข้างแก้ม และข้างลำคอ “ไข้ลดแล้ว พักอีกวันหรือสองวัน คุณก็กลับบ้านได้... ถ้าคุณต้องการจะกลับ”
เขายังมองคนที่นั่งอยู่บนขอบเตียงและใช้ปลายนิ้วมือยาวสางผมที่ยุ่งเหยิงจากการนอนของเขาขึ้นเหนือหน้าผากได้ไม่ถนัดนักจากองศาที่นอนอยู่ เขาไม่รู้จักชายคนนี้ แต่จดจำจากน้ำเสียงและสัมผัสได้ว่า คนผู้นี้เป็นคนคนเดียวกับคนที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิดและช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และน่าจะเป็นคนที่คอยดูแลเขาอยู่เกือบตลอดเวลาระหว่างที่เขายังไม่รู้สึกตัว
เขารู้สึกว่า คำขอบคุณนั้นแผ่วโหยและแห้งผากเต็มที แต่ถึงอย่างไรเขาก็อยากพูดมันออกไป
“ไม่เป็นไร ผมยินดีช่วย” เสียงของคนพูดทำให้คนฟังรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มให้
“ไม่หรอก” อีกฝ่ายตอบเขาอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น “ไม่ว่าการช่วยคุณจะทำให้เกิดอะไรตามมาก็ตาม ผมและพวกเรายินดีช่วยคุณเสมอ เพราะสิ่งที่คุณทำช่วยพวกเราและช่วยตัวคุณเองด้วย จัสติน... ผมเรียกคุณแบบนี้ได้ใช่ไหม”
‘พวกเรา’ ... เขาสะดุดกับคำคำนี้ และถ้าจำไม่ผิด คนตรงหน้าเขาเคยพูดว่า ‘โร้ค’ ส่งมาช่วย คำว่าพวกเราในที่นี้ หมายถึงอะไรสักอย่างที่เรียกว่า ‘โร้ค’ อย่างนั้นหรือ
มีคำถามมากมายที่เกิดขึ้นทันทีที่เริ่มตั้งสติได้ แต่เขาเอ่ยปากออกไปได้แค่รับคำและอนุญาตให้อีกฝ่ายเรียกชื่อตัวของตนเองได้เท่านั้น
“ผมชื่อแคลเรนซ์” ผู้ช่วยชีวิตของเขาบอก “เรียกผมว่าแคลเรนซ์ก็แล้วกัน นามสกุลของผมออกเสียงยากเกินไปสำหรับคนอเมริกัน”
“ถ้าคุณไม่บอก ผมคงไม่รู้ว่าจะออกเสียงยังไงถึงจะถูก” จัสตินแย้ง แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่าตัวเองปากไวและพูดตรงกับใจตัวเองเกินไป และนิสัยอย่างนี้ทำให้เขาต้องประสบปัญหามานับครั้งไม่ถ้วน “ขอโทษนะ ผมไม่ควรพูดแบบนั้นกับคุณ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก คุณพูดถูก” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเขา และเขาค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าเป็นเจ้าของสถานที่ที่เขานอนอยู่ ดูจากความคุ้นเคยกับสถานที่และภาษากายบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าของบ้าน
“ผมชื่อแคลเรนซ์ ชเว... ออกเสียงว่า ‘ชเว’ แต่สะกดด้วย C-H-O-I ซึ่งคนส่วนใหญ่ออกเสียงว่า ‘ชอย’ ... แต่ช่างมันเถอะ มีคนน้อยมากที่พยายามจะออกเสียงนามสกุลของผมให้ถูกต้อง”
มีอะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั้นที่ทำให้จัสตินอยากยื่นมือออกไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้
เขาลังเลนิดหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจทำอย่างที่คิด และทำให้คนที่กดรีโมทเปิดสวิตช์ไฟในห้องให้สว่างขึ้นหันกลับมาหา
ดวงตายาวรีคู่นั้นกะพริบด้วยความประหลาดใจก่อนจับนิ่งที่ใบหน้าของเขา มือที่อยู่ในมือของเขาพลิกหงายขึ้นจับมือของเขาบีบหนัก ๆ ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้าที่สวยงามละม้ายหญิงสาวมากกว่าชายหนุ่ม รอยยิ้มและแววตาของแคลเรนซ์ทำให้รู้สึกสงบและปลอดภัยมากกว่าชวนให้ใจสั่น
เป็นความมั่นคงทางอารมณ์ที่เขาไม่เคยได้สัมผัสตั้งแต่พ้นจากห้องครูใหญ่ พ้นไปจากโรงเรียนสำหรับเด็กที่มีพัฒนาการด้านการเรียนรู้สูงเป็นพิเศษ และจากห้องแล็บในมหาวิทยาลัยที่เขาทำงานอยู่ เป็นความมั่นคงทางความรู้สึกที่เขาได้รับจากมนุษย์คนอื่น และเป็นความมั่นคงทางจิตใจที่ห่างหายไปนานและเขาไม่เคยคิดว่าจะคิดถึงความรู้สึกดังกล่าวได้มากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
“มีใครเคยบอกคุณไหม จัสติน ว่าคุณเป็นคนน่ารักมาก”
นั่นเป็นสิ่งที่จัสติน เคลย์มอร์ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้ยินจากปากของคนแปลกหน้า และสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ ณ เวลานั้น คือ ส่ายหน้าแทนคำตอบ
แคลเรนซ์มองปฏิกิริยาของเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ ค่อย ๆ ปล่อยมือจากเขา แล้วลุกขึ้นยืน
“ผมรู้ว่า คุณมีหลายเรื่องที่อยากถาม เกี่ยวกับผม เกี่ยวกับ ‘โร้ค’ และเหตุผลที่คุณมีความสำคัญกับเรา— โอเมก้า” เจ้าของบ้านเอ่ย
“ผมจะหาอะไรมาให้คุณกิน ทำความสะอาดแผลให้คุณ ระหว่างนั้นผมจะเล่าสิ่งที่คุณอยากรู้ให้คุณฟัง”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in