Day 12
ในที่สุดอีกหนึ่งวันฉันก็จะได้ออกจาก hospitel นี่แล้ว!
วันนี้ฉันตื่นมาพร้อมกับเสียงพูดคุยของพี่น้อยกับพี่โอ๋ ทั้งๆ ที่กำลังหลับสบายๆ ฝันอะไรสนุกๆ อยู่แท้ๆ กลับโดนปลุกแต่เช้าเพราะเสียงพูดคุยของพี่น้อยกับพี่โอ๋ซะงั้น เอาจริงๆ ฉันโมโหเหมือนกันนะที่โดนปลุกเช้าขนาดนี้ พอจะนอนต่อก็นอนไม่หลับด้วย พอมาดูนาฬิกาสรุปคือฉันโดนปลุกขึ้นมาตอนตี 5 เกือบ 6 โมง! ก็คือ 1 ชั่วโมงก่อนเวลาตื่นปกติของฉัน! คือนี่เข้าใจว่าพี่น้อยกับพี่โอ๋ตื่นเต้นที่จะได้ออกจาก hospitel วันนี้ แต่ฉันก็ไม่ควรตอนปลุกมาด้วยไหม แถมพูดคุยกันแบบไม่ได้สนใจฉันเลยยย (เอาจริงๆ มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้แหละเพราะฉันนอนตรงกลางระหว่างพี่น้อยกับพี่โอ๋) อย่างที่บอกไปว่าฉันโมโหมาก ที่โดนรบกวนการนอนครั้งนี้ แต่ฉันก็จะพยายามลืมมันไปแล้วกันเพราะอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่พี่น้อยกับพี่โอ๋จะอยู่แล้ว เมื่อไรที่พี่น้อยกับพี่โอ๋ลงไปด้านล่าง ห้องนี้ก็จะเป็นห้องของฉันโดนสมบูรณ์แล้วฉันก็จะทำอะไรก็ได้!
ตัดภาพมาที่ฉันฝันเมื่อคืนนิดนึง เอาจริงๆ อย่างที่บอกไปฉันว่ามันเป็นฝันที่พีคแต่ก็สนุกมากเลยนะ เรื่องมีอยู่ว่า ฉันกำลังอยู่ที่บ้านที่ห้องตรงชั้นสาม ตอนนั้นฉันกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง บานใหญ่ในห้องที่กำลังเปิดอยู่ ภาพที่ฉันเห็นคือหลังคาของบ้านอื่นๆ และน้ำทะเล แต่ไม่ทันไรฉันก็เห็นคลื่นน้ำทะเลทำท่ากำลังพัดมาที่บ้านฉัน ฉันในฝันก็กำลังตะลึงอยู่ว่าช่างเป็นคลื่นน้ำที่สูงอะไรแบบนี้ (เหมือนสึนามิเลย) ซึ่งผลก็คือคลื่นน้ำนั้นซัดมาถึงห้องที่ฉันอยู่ พอฉันพยายามจะมองออกไปนอกหน้าต่าวงอีกครั้งฉันก็ต้องตกใจเพราะสิ่งที่ฉันเห็นคือมีเรือสีดำขนาดใหญ่กำลังลอยขึ้นมาเหนือน้ำ ฉันรู้โดยสัญชาตญาณว่าเรือลำนั้นคือ ‘เรือโนอาห์’
ภาพตัดไปตอนนี้สัตว์ และมนุษย์คนอื่นๆ รวมถึงฉันกำลังต่อคิวเพื่อขึ้นไปบนเรื่องโนอาห์ คนหรือสัตว์ตนไหนที่ริอาจจะแซงคิวจะโดนลงโทษไม่ให้ขึ้นเรือ พอขึ้นเรือไปได้ แต่คนละคนจะได้กระดาษสีขาวคนละหนึ่งใบ โดยในกระดาษแผ่นนั้นจะมีเขียนประโยคเช่น ‘บุคคลธรรมดา’ ‘บุคคลพิเศษ’ ‘อวตาร’ และ ‘อัปสร’ เป็นต้น (เอาจริงๆ คือมีมากกว่านี้แต่ฉันจำไม่ได้แล้ว) อย่างตัวฉันได้ใบที่เขียนว่า ‘บุคคลพิเศษ’
ข้างในเรือจะมีพี่นั่งที่นั่งได้สามคนแล้วก็จะเป็บเบาะให้หันหน้าหากัน แต่สิ่งที่ทำให้ฉํนตกใจคือเรือที่ว่าบางคนบนเรือดันมีหน้าตาคล้ายกันเป๊ะ ต่างกันเพียงแค่ลักษณะนิสัยที่ดูจะตรงข้ามกันเท่านั้นเอง ในรู้ได้ด้วยตัวเองว่าทั้งสองคนนั้นเป็นตัวตนใน parallel world ของแต่ละคนนั้นเอง
พอฉันเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ ก็มีคนที่เป็นพิธีกรขึ้นมาพูดบนเวที ฉันถามพิธีกรไปว่าความหมายของ ‘บุคคลพิเศษ’ ที่ฉันได้หมายความว่าอย่างไรกัน พิธีกรตอบฉันว่าสัญลักษณืนั้นหมายถึงบุคคลที่ชาติที่แล้วได้สิทธิ์ขอพรจากพระเจ้า โดยสิ่งที่คนเหล่านั้นจะได้คือ ‘Gifted’ หรือพรสวรรค์นั่นเอง ตอนแรกที่ฉันได้ยินฉันก็คิดไปว่าพรสวรรค์ที่ฉันขอคืออะไรกันนะ ตอนแรกฉันก็คิดว่าฉันต้องได้พรสวรรค์ในการอ่านไวมาแน่เลย แต่สุดท้ายก็มาเฉลยว่าฉันได้พรวรรค์ในการเข้าใจกลไกของหุ่นยนต์มา ตอนฟังคือฉัน งง เลยเพราะฉันเป็นเด็กที่สายศิลป์มาก ไม่ใชาสายวิทย์เลย แต่พิธีกรก็บอกฉันว่ามีหลายคนเหมือนกันที่มีพรสวรรค์แต่ดันไม่รู้ว่าพรสวรรค์ของตัวเองคืออะไรจนสุดท้ายก็เดินทางและใช้ชีวิตไปในอีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ที่ตัวเองมีเลย
หลังจากที่พิธีกรพูดเรื่องของฉันจบ พิธีกรคนนั้นก็ประกาศเรื่องที่น่าตกใจอีกเรื่อง ว่าด้วยเรื่องของคนที่มีคู่ที่มาจาก parallel world พิธีกรบอกว่าหากบุคคลนั้นอยากขึ้นเรือโนอาห์ คนคนนั้นต้องสังหารตัวตนที่มาจาก parallel world ของตัวเองซะ! คือตอนแรกที่ได้ยินฉันนี้ตกใจเลยว่าจากฝันแนวแฟนตาซี อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นแนว thriller แบบนี้เลยหรอ 555 แต่ก็คงเป็นโชคดีของฉันที่คนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘บุคคลพิเศษ’ จะไม่มีอีกตัวตนใน parallel world ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่เป็น ‘บุคคลธรรมดา’ ที่จะมีคู่ที่มาจาก parallel world
เอาจริงๆ ฝันฉันก็จบลงเพียงแค่นี้แหละ เพราะโดนเสียงของพี่น้อยกับพี่โอ๋ปลุกเสียก่อน ไม่รู้ว่าฉันควรจะดีใจที่ไม่ต้องเห็นฉากนองเลือด หรือเสียใจที่โดนปลุกจากฝันที่กำลังสนุกดีเหมือนกัน จะว่าไปแล้วฉันไม่ได้ฝันอะไร savage แบบนี้มานานแล้วเหมือนกันนะเนี่ย 555 ฉันว่าที่ฉันฝันแบบนี้เพราะตอนเย็นก่อนนอนฉันดูเกมโชว์ตอบปัญหาเกี่ยวกับคำอ้างของชายที่บอกว่าตนมาจากอนาคตแน่ๆ เลย ฉันเลยคิดถึงตำนานน้ำท่วมโลกกับเรือโนอาห์ขึ้นมา 5555 (แต่เอาจริงเรือโนอาห์ในฝันมันก็แปลกๆ นะ ตามตำนานแล้วเรือโนอาห์เป็นเรือที่พระเจ้าประทานมา ดังนั้นมันควรจะมีสีที่ soft กว่านี้อย่างสีน้ำตาลของไม้อะไรแบบนี้ไม่ใช่หรอ แต่เรือโนอาห์ในฝันของฉันกลับเป็นสีดำสนิทซะงั้น หรือความจริงแล้วเรือโนอาห์ในฝันของฉันจะไม่ใช่เรือจากพระเจ้า แต่เป็นเรือจากปีศาจกันแน่นะ)
กลับมาที่ความเป็นจริงกันสักหน่อย หลังจากที่ตื่นแล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เอาเป็นว่าข้ามไปตอนที่พี่น้อยกับพี่โอ๋ออกจากห้องเลยแล้วกัน เอาจริงๆ ตอนที่ต้องลาพี่น้อยกับพี่โอ๋ฉันก็เศร้าๆ เหมือนกันนะ แต่พอพี่น้อยกับพี่โอ๋ออกจากห้องจริงๆ ฉันนี้ร้อง ‘เย้!’ เลย 5555 ในที่สุดห้องนี้ก็เหลือแค่ฉันคนเดียวแล้ว! สิ่งแรกที่ฉันทำคือการเดินไปปิดทีวี ลาก่อนทีวี สวัสดีความสงบสุข ถัดจากนั้นฉันก็เดินไปดึงสายหูฟังออกจาก notebook ต่อจากนี้ไปฉันก็ไม่ต้องใส่หูฟังแล้ว เพราะฉันสามารถเปิดเพลงหรือเปิดคลิปดังเท่าไรก็ได้! เอาจริงๆ การที่ตลอด 11 วันที่ผ่านมาฉันต้องใส่หูฟังเนี่ยมันก็ทำร้ายหูฉันเหมือนกันนะ จำได้เลยว่าเมื่อไม่น่ามานี้ (น่าจะวันที่ 11) ฉันตื่นมาพร้อมอาการหูอื้อ 1 ข้างด้วย ซึ่งฉันคาดว่าน่าจะเกิดจากการที่ฉันใส่หูฟังเป็นเวลานาน (แต่ก็โชคดีที่สุดท้ายมันก็หาย) การใช้ชีวิตอยู่ในห้องคนเดียวมันสบายมากจริงๆ นะ ทำเอาฉันลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้ยังดราม่าพูดถึงเรื่องที่ว่าฉันจะต้องคิดถึงพี่น้อยกับพี่โอ๋แน่ๆ ไปเลย 5555 ปัจจุบันสิ่งที่ฉันคิดก็คือ แม่ง! ทำไมก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้อยู่ห้องคนเดียววะ 555 คือฉันสามารถเรียนได้อย่างสงบสุขโดยปราศจากเสียงละครที่มาเป็น backgroud noise นอกจากนี้ฉันยังได้อ่านหนังสือดีๆ โดยไม่ต้องมีเสียงรบกวนอีกด้วย นี่ยังไม่รวมความจริงที่ว่าในที่สุดฉันก็สามารถกลับมาถ่ายคลิปรีวิวหนังสือได้แล้วด้วยนะ (คือก่อนหน้านี้ถ่ายไม่ได้เพราะไม่มีที่ให้ถ่าย ถ้าถ่ายแล้วก็กลัวว่าจะรบกวนพี่น้อยกับพี่โอ๋) อีกสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการอยู่ห้องคนเดียวก็คือความจริงที่ว่าทีวีที่ห้องความจริงแล้วมีหลายช่องให้เลือกดูมาก! มีทั้งช่องของจีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย รัสเซีย การ์ตูน สารคดี และ True TV อะไรแบบนี้ คือก่อนหน้านี้ฉันหลงคิดไปว่าทีวีในห้องคนมีแค่ช่อง 3, 7, แล้วก็ Amarin ไปแล้วเพราะวันๆ พี่น้อยเปิดดูแต่ข่าวแล้วก็ละครจากช่องนี้ โห้ รู้แบบนี้แล้วรู้สึกเสียดายเวลาที่นั่งดูวนิดากับเงาอโศกชะมัด หลังเรียนเสร็จแล้วฉันก็เลยมานั่งดูโฆษณาแล้วก็ข่าวของช่องอื่นๆ อย่างของจีนกับอินเดียอะไรแบบนี้ ซึ่งมันก็ทำให้ฉันรู้ว่าอย่างเพลงของอินเดียงี้คือเขาจะเต้นกันแรงมากก แรงแบบที่ว่าฉันเห็นคนเต้นแล้วฉันปวดเอว ปวดหลังแทนเลย 555 ส่วนโฆษณาของอินเดียก็มีที่ขำๆ ด้ยอย่างโฆษณาหมากฝรั่งฟันขาวงี้ที่คนเคี้ยวปุ๊ป ฟันขาวแบบที่ว่าพอยีฟันแล้วมีแสงสว่างออกมาจากฟันอะไรแบบนี้ 555 นอกจากนี้จากที่ฉันสังเกตฉันก็พบว่าโฆษณาอนเดียมีขายพวกครีมรักษาแผลที่มือเย็นมาก เช่นยารักษาแผลที่เกิดจากการโรคผิวหนังที่มืองี้ หรือไม่ก็ยาที่ใช้ทาแก้แผลผุพองที่เกิดจากการทำงานหนัก ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและสังคมของคนอินเดียเหมือนกัน ส่วนของจีน เบื้องต้นฉันประทับใจการรายงานข่าวของจีนมากเลยนะ ปกติคือเราจะชินกับภาพที่คนที่ยืนพูดเกี่ยวกับข่าว แล้วก็มีรูป popup เด้งขึ้นมาให้เราดูใช่ไหม แต่รายการข่าวของจีนเนี่ย ระหว่างที่รายงานข่าวไป อีกมือหนึ่งของผู้อ่านข่าวก็จะถือ iPad ไม่ก็ taplet เอาไว้ ซึ่งผู้รายงานข่าวสามารถขีดเขียนลง taplet ได้โดยสิ่งที่เขาเขียนจะขึ้นไปปรากฏในภาพที่ฉํนแสดงข่าว ซึ่งเท่าที่เห็นผู้รายงานข่าวก็จะมีวงกลมหรือขีดเส้นใต้จุดที่สำคัญอะไรแบบนี้ ฉันว่าการรายงานข่าวแบบนี้ก็น่าสนใจดี ไม่แปลกใจเลยที่ ว. เล่าให้ฟังว่าคนจีนทุกวันนี้ internet-based กันหมดแล้ว ถือว่าเป็นการใช้ tecnology มาช่วยในการรายงานข่าวได้น่าสนใจมาก อีกเรื่องที่ฉันว่ามันน่าสนใจไม่แพ้กันก็คือโฆษณาที่พูดเกี่ยวกับคำรวจใจจีนและเบอร์โทรฉุกเฉิน 110 เอาจริงๆ คือนี่ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า purpose ของโฆษณาคือคลิปนี้คืออะไรเพราะนี่ฟังจีนไม่ออกเลย แต่ฉันว่ามันน่าสนใจตรงที่ว่าภาพในคลิปเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่าตำรวจจีนมีความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนมากๆ ซึ่งฉันว่ามันก็เป็น soft power แบบนึง แล้วก็เป็นวิธีที่ดีในการสร้างภาพจำที่ดีของตำรวจต่อประชาชนด้วย แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะมาเปรียบเทียบกับตำรวจไทยอะนะ เอาจริงๆ คือแค่คิดถึงตำรวจไทยตอนนี้ก็จะอ้วกแหละ ฉันเชื่อเลยว่าถ้าที่ไทยมีโฆษณาแบบนี้รับรองเลยว่าต้องมีคนออกมาประท้วงถึงความปลอมของโฆษณาแน่ๆ (ซึ่งฉันก็จะเป็นหนึ่งในคนที่ออกมาประท้วงแน่นอน)
พอใช้ชีวิตในห้องคนเดียวไปเรื่อยๆ เอาจริงๆ มันก็มีบางช่วงเหมือนกันนะที่ฉันรู้สึกว่าห้องมันเงียบๆ แปลกๆ เพราะปกติฉันจะได้ยินเสียงทีวีตลอด สุดท้ายหลายครั้งฉันก็เผลอหยิบรีโมทมาเปิดทีวีจนได้ ทั้งๆ ที่คิดเอสไว้ว่าถ้าพี่น้อยกับพี่โอ๋ไปเมื่อไรฉันจะไม่เปิดทีวีอีกเลยแท้ๆ
จะว่าไปแล้ววันนี้ฉันมีเรื่องที่ปวดหัวด้วยแหละ เอาจริงๆ ก็ปวดหัวมานานแล้ว ฉันรู้สึกว่างานตอนนี้มันเยอะมากๆ ฉันแทบไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้พักอย่างเต็มอิ่มเลย เอาจริงๆ ปิดเทอมที่ผ่านมาก็เป็นปิดเทอมที่ไม่เหมือนปิดเทอมด้วยซ้ำ เพราะฉันมีเรียน summer ตั้งสองวิชา แถมพอเรียน summer เสร็จ ฉันก็ถูกส่งตัวมา hospitel อีก แล้วพี่น้อยก็เล่นเปิดทีวี 24/7 ขนาดนั้น เอาจริงๆ คือที่ผ่านมาแทบจะเรียกว่าฉันไม่ได้พักเลยมากกว่า ให้ตายสิ เหนื่อยจังเลยนะ อยากพักจังเลย ฉันแค่อยากนั่งโง่ๆ แบบไม่ต้องทำอะไร แต่ทำไมมันมีแต่งานมาลงที่ฉันกันนะ วันศุกร์เสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ก็คือมีประชุมเต็มไปหมด นี่ยังไม่นับรวมความจริงที่ฉันต้องไปนั่งย้อนดูคลิปของแต่ละวิชาอีกนะ แล้วคิดดูสิว่าฉันต้องย้อนดูตั้ง 5 วิชา ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ แล้วคาบนึงก็ปาไปแล้ว 3 ชั่วโมง เท่ากันว่าฉันต้องเรียนย้อนหลังทั้งหมดตั้ง 15 ชั่วโมง! แค่คิดฉันอยากอยากลาตายแล้ว นอกจากนี้ฉันยังเจอปัญหาในวันพฤหัสกับศุกร์หน้าอีกด้วย คือตามตารางปกติฉันจะมีเรียนตอน 9.00-12.00 ของทั้งวันพฤหัวและศุกร์ แต่ว่าสัปดาห์หน้าพ่อฉันให้ฉันลงสมัครคอร์สเรียนผู้ควบคุมน้ำอะไรสักอย่าง ซึ่งถ้าเรียนเสร็จจะได้ใบประกาศนียบัตรซึ่งจำเป็นต่อโรงงาน แล้วคอร์สนี้มันดันเรียน 9.00-16.00 ในวันพฤหัสและ 9.00-12.00 ในวันศุกร์นี่สิ ยิ่งไปกว่านั้นวันพฤหัสหน้า กลุ่มฉันดันมี present case ของวิชา bus strategy อีก ก็คือโดดไม่ได้แน่ๆ แต่จะโดดคอร์สผู้ควบคุมน้ำก็ไม่ได้เพราะเขามีตรวจสอบยืนยันตัวตนโดยให้โชว์บัตรประชาชน แถมยังมีให้เปิดกล้อง เพื่อเป็นคพแนน participation อีก และที่บ้าไปกว่านี้คือคอร์สนี้มันมีโจทย์หรือแบบฝึกหัดด้วยทุกคนคือบ้าไปแล้ว แล้วถ้าเราตอบไม่ได้งี้ก็คือข้อนั้นเราได้ศูนย์คะแนนไปเลย คือโคตรโหดโคตรบ้า ฝั่งหนึ่งก็เป็นวิชาที่ต้องเรียนแถมเป็นงานของตัวเองอีก ส่วนอีกฝั่งก็คือต้องทำเรียนเพื่อพ่อเรียนเพื่อโรงงาน จะทางไหนก็เหนื่อย ก็ลำบากกันทั้งนั้น ฉันก็เลยตัดสินใจเมลไปบอก อจ. คาบวัน พฤ ว่าฉันจะอยู่ได้แค่ 9.00-10.00 พอ present เสร็จเท่านั้นเพราะหลังจากนั้นฉันต้องทำเรื่องออกจาก hospitel แล้วก็ไลน์ไปบอกคนที่เป็น staff ของคอร์สผู้ควบคุมน้ำว่าฉันจะขอหายไปช่วง 9.00-10.00 นะเพราะจะทำเรื่องออกจาก hospitel (ก็คือใช้เหตุผลเดียวกันไปเลยจะได้ง่ายๆ โดยฉันก็ได้แต่หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจถือความจำเป็นของฉันและไม่ถือโทษโกรธฉันนะ) ล่าสุดคือเมลบอก อจ ไปแล้วแต่ อจ ยังไม่ตอบ ส่วน staff ของคอร์สเขาก็ตอบมาว่ารับทราบแล้วแต่ถ้าช่วงที่ฉันไม่อยู่ดันมี quiz มีแบบฝึกหัดขึ้นมา ฉันก็จะไม่ได้คะแนนนะ (ก็คือไม่คิดจะช่วยฉันเลยอีเวง) คือแบบโอ้ยย สงสารกันหน่อยได้ไหมม แม่ง ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ไม่เอาไม่อยากทำงานแล้ว ขออยู่แบบสบายๆ ไม่ได้หรอ TT นี่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคาบวันศุกร์จะเป็นอย่างไง อจ จะโหดไหม แล้วฉันจะโดนหักคะแนนไหมถ้าไม่โผล่หน้าไปที่คลาสในสัปดาห์หน้าเนี่ย แต่ขออย่าให้มีปัญหาเลยนะ ฮืออ ไม่งั้นฉันจะให้พี่สาวไปเรียนแทนแล้วนะ
หลังจากเคลียร์เรื่องตารางชีวิตเสร็จ อจ bus strategy ก็ส่ง case มาให้อ่านเลยจ้า เพราะกลุ่มฉันจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้ present เคสในสัปดาห์หน้าวันพฤหัส สรุปคือเคสที่ส่งมาแม่งมี 22 หน้าจ้าาา แค่เห็นก็คืออยากยอมแพ้แล้ว ไม่ทำแล้วได้ไหมขี้เกียจอะ ฮือออ แค่เห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นพรืดๆ ก็จะอ้วกแล้ว แถมยังต้อง present สัปดาห์หน้าอีก ฉันลาออกจากคณะนี้ทันไหมเนี่ย ฮืออ ตอนแรกฉันก็คิดว่าเดี๋ยวค่อยอ่านเคสแล้วกัน แต่ด้วยความที่ฉันขี้เกลียดไปนั่งอ่านตอนใกล้ๆ วันคุยก็เลยตัดสินใจอ่านมันตอนนี้ซะเลย โดยเอาสั้นๆ ก็เป็นเคสของบริษัท Pepsi ที่พยายามจะเปลี่ยนมาทำพวกอาการ healthy ตาม trend เนี่ยแหละ เอาจริงเนื้อหามาจุดก็คือวนไปวนมาจน งง ว่าจะเอามาใส่ซ้ำอีกทำไม แล้วด้วยความที่ฉันพอจะเดาได้ว่าเพื่อนกลุ่มฉันต้องไม่อ่านเคสกันแน่ๆ เพราะจำนวนหน้ามันเยอะ ฉันก็เลยตัดสินใจเขียนสรุปแม่งเลย แล้วก็วงให้ด้วยว่าบรรทัดไหนเขียนเกี่ยวกับอะไร พร้อม highlight ให้เสร็จสรรพ บอกเลยว่าทำให้ขนาดนี้แล้วถ้าไม่อ่านเคสกัน ฉันจะโมโหและหัวร้อนมากๆ เลย (เอาจริงๆ นี่ว่าตัวเองเก่งมากเลยนะที่อดทนอ่านจนจบ 22 หน้าได้ ฮืออ เก่งมากตัวฉัน เอาจริงๆ นี่ต้องให้ credit การที่ฉันอยู่ห้องคนเดียวด้วยนะเนี่ยเพราะถ้าพี่น้อยกับพี่โอ๋ยังอยู่อย่าหวังเลยว่าฉันได้มีสมาธิอ่าน แค่อ่านหนังสือนิยายภาษาไทยธรรมดายังต้องหาเวลาอ่านตอนพี่น้อยนอนแล้วต้องย่องไปปิดไม่ก็เบาเสียงทีวีตลอดเลย)
เอาจริงๆ วันนี้เขียนยาวมากๆ because there is a lot of things that happen today จริงๆ อย่างบรรทัดที่ฉันเขียนอยู่ก็คือฉันเขียนตอนเที่ยงคืนสิบนาทีไปแล้ว เอาจริงๆ นี่ก็เป็นข้อเสียของการอยู่ห้องคนเดียวเหมือนกันนะ เพราะตอนที่ฉันอยู่กับพี่น้อยกับพี่โอ๋อะ พอฉันเห็นพี่น้อยกับพี่โอ๋นอนแล้ว (ซึ่งปกติพี่เขานอนไวกันมาก บางทีสามทุ่มก็นอนแล้ว) ฉันก็คือต้องนอนตาม แต่พออยู่คนเดียวไม่มีคนมาห้ามอะไรงี้ก็กลายเป็นว่านอนดึกไปเลยแม่ แต่ไม่เป็นไรหรอกมั้งเพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยตื่นสายก็ได้ พรุ่งนี้ฉันน่าจะได้นอนเต็มอิ่มสักทีแหละ เพราะไม่ต้องมาตื่นเพราะเสียงทีวีหรือเสียงคุยกับพี่น้อยกับพี่โอ๋อีกแล้ว เอาหละสำหรับวันนี้ก็จบเถอะ ไปนอนแหละ บรัยๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in