เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อฉันติดโควิดเมื่อฉันรีวิวหนังสือ
Day 13 ออกจาก hospitel แล้วจ้า
  • Day 13

    วันนี้ฉันตื่นมาด้วยตัวของตัวเอง แต่เอาจริงคือตอนไวกว่าที่คิดนะ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนนอนดึกแท้ๆ สรุปวันนี้กลับตอนมาตอน 6 โมงครึ่งซะงั้น แต่ก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไรเพราะก่อนหน้านี้ก็ตื่นประมาณนี้อยู่แล้ว จะบอกว่าเมื่อคืนมันพีคมากตรงที่ว่าพอฉันจะนอน ปรากฏว่ามันมีแมลงอะไรไม่รู้สีดำไต่ขึ้นมาบนหมอนด้วย คือฉันตกใจมากๆ ก็เลยเอามันไปวางตรงเตียงพี่น้อยแล้วก็จัดการใช้หมอนของพี่น้อยทับมันเลย เอาจริงๆ ก็ไม่แน่ใจว่ามันตายหรือเปล่า แต่ว่าช่วยตายเถอะ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว คือ งง ว่ามันมาจากไหน หรือเป็นเพราะว่าฉันกินขนมบนเตียงวะ ถถถ (คือไม่เข้าใจว่าทำไมก่อนออกมันจะเจอปัญหาตลอดเลย อย่างของพี่โอ๋งี้ก่อนออกก็โดนแก้วบาด ส่วนฉันก็เจอแมลง) 

    พอตื่นขึ้นมาก็เลยทำการเก็บกระเป๋า ซึ่งบอกเลยว่ากระเป๋าเต็มมากๆ แต่ก็พร้อมออกมากๆ เช่นกัน หลังนั่งเล่นไปได้สักพักฉันก็เริ่มผิดสังเกตแหละ เอ๊ะ? ทำไมข้าวเช้ายังไม่มาวะ คือปกติข้าวเช้าจะมาส่งประมาณ 8 โมง แต่วันนี้คือออกไปดูแล้วก็ยังไม่มีข้าวมา จะมีก็แต่ข้าวในส่วนของพี่น้อยกับพี่โอ๋ที่เขามาส่งผิด แต่มันก็เป็นข้าวที่ค้างคืนแล้วก็เลยอย่างเสี่ยงกินเลยดีกว่า ตอนนี้ในห้องก็คือไม่มีอาหารอะไรเลย มีแต่ขนมชิ้นเล็กๆ สองชิ้นที่พี่โอ๋เหลือไว้ให้ ไม่เป็นไร รออีกสักแปปข้าวก็คงมาแหละ 

    ตัดภาพมาตอน 9 โมงครึ่ง ข้าวก็ยังไม่มา … คือจะเรียกว่าข้าวยังไม่มาก็ไม่ถูกเพราะรถที่ขนข้าวอะ มันจอดอยู่ประมาณไม่ถึง 3 เมตรจากห้องฉัน ก็คือเปิดประตูไปก็เห็นรถส่งข้าวแล้วเพียงแต่ยังไม่มีข้าวมาวางไว้ที่หน้าห้องฉันแค่นั้นเอง จะให้เดินออกไปเอาเลยก็แปลกๆ ในใจตอนนั้นคือคิดแล้วว่า เอาแล้ววว hospitel เล่นกูอีกแล้วว ฉันจะได้กินข้าวไหมนะวันนี้ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจกินขนมที่มีอยู่ก่อนแล้วกัน อย่างน้อยก็มีอะไรรองท้อง หลังจากนั้นไม่นานก็ถึงเวลาเรียนอีกแล้วจ้าา เอาจริงคือตอนแรกก็คิดแค่ว่าขอให้อาจารย์คาบนี้เป็นอาจารย์แบบชิวๆ เพราะว่าสัปดาห์หน้าที่เรียนฉันอาจจะเข้าคาบไม่ได้ดังนั้นอยากได้อาจารย์สายชิวที่ไม่ check ชื่อ เพราะอย่างน้อยฉันจะได้โดดเรียนได้อย่างสบายใจ แต่สิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงก็คือตัวตนจริงๆ ของอาจารย์เนี่ยแหละ

    ‘อร้ายยย เฮลโลล นิสิตตตตต’ - เสียงอาจารย์

    ก็คืออาจารย์คาบนี้ดีดมากค่ะแม่ คือแบบ energy 1000% จากตอนแรกยังง่วงๆ งงๆ อยู่ เจอเสียงอาจารย์ไปเนี่ยตื่นเลย

    ‘นิสิตใน major นี่มีกี่คนอะ’ อาจารย์ถาม ในขณะที่ฉันกำลังนั่ง check สมาชิกในไลน์กลุ่มอยู่เพราะจำไม่ได้ว่า major มีกี่คน

    ‘โห้ นิสิตไม่ตอบกันเลย เฮลโลล ใครก็ได้ตอบอาจารย์ที’ ในใจฉันคือแบบจารย์ใจเย็นนน จารย์พึ่งถามไปเมื่อประมาณ 10 วินาทีที่แล้วเองนะ หนูขอหาคำตอบแป๊ปนึง เอาจริงคือมันก็ดีที่อาจารย์ energetic ดีเพราะมันทำให้ทุกคนในคลาสรวมถึงฉันตื่นตัวมากๆ แต่ประเด็นคือฉันว่า energy ของอาจารย์มันมากเกินไปจนทำให้ฉันปวดหัวเลย ถถถ (อ้อแล้วก็หลังจากเรียนไปประมาณสิบกว่านาทีข้าวก็มาส่งแล้วแหละ เป็นข้าวที่มีหมูยอกับไก้ผัดอะไรสักอย่างมาให้ เอาจริงๆ ถ้าถามว่าอาหารที่ hospitel เป็นอย่างไงฉันขอตอบเลยว่า เป็นอาหารที่จืดมากกก รสชาติอย่างเดียวที่ฉันจะได้รับคือรสเค็มจากน้ำปลาพริกที่เขาใส่มาให้ในกล่องข้าว.. นอกจากนี้อาหารยังจำเจสุดๆ โดยเฉพาะ ‘ไก่’ เอาจริงๆ ปะ ตลอด 13 วันที่ฉันอยู่ hospitel และต้องกินข้าว 3 มื้อที่นั้น ข้าวทุกวันจะต้องมีไก่ ถ้าจำไม่ผิดบางวันก็คือ 2 ใน 3 มื้อเป็นไก่ไปแล้ว คือออกจาก hospitel แล้วเป็นเก๊าได้เลยอะ นี่ยังคุยกับพี่น้อยกับพี่โอ๋ก่อนหน้านี้อยู่เลยว่าถ้าออกจาก hospitel แล้วจะไม่กินไก่ไปอีกระยะเลย อ้อแล้วก็อีกเรื่องคือเรื่องความจืดของอาหาร เอาจริงปะ คือตลอดตอนอยู่ hospitel มีหลายครั้งมาก ที่ฉํนสงสัยกับตัวเองว่านอกจากที่ฉํนไม่ได้กลิ่นแล้ว ลิ้นฉันก็ไม่ได้รับรสด้วยหรือเปล่าวะ ทำไมรู้สึกว่าแทบจะไม่ได้รับรสชาติเลย โดยเฉพาะรสอูมามิ แต่สรุปหลังจากออกจาก hospitel แล้วสั่งอาหารข้างนอกมากิน ฉันก็พบว่าลิ้นฉันยังทำงานปกติแต่อาหารที่ hospitel มันแค่ไม่อร่อยเฉยๆ ถถถ) โอเคกลับมาที่เรื่องต่อ ความจริงพยาบาลจะเรียกให้ฉันลงไปต่อคิวออกจาก hospitel ตอน 10 โมง แต่พี่สาวนี่บอกว่าลงไปประมาณ 10 ครึ่งดีที่สุดเพราะมันจะเลท ตอนแรกก็วางแพลนว่าจะไป 10 ครึ่งเนี่ยแหละแต่สรุปคือตอนประมาณ 10 โมงนิดๆ มีพยาบาลมาเคาะประตูเตือนให้ฉันลงไปรอตั้ง 2 คน แหม่ กดดันกันขนาดนี้ ฉันไปก็ได้วะ! สรุปก็คือไปนั่งรอจริงๆ ด้วยจ้าา นัด 10 โมง แต่หมอมา 11 โมงสุดปังงง ไอ้เราก็นั่งรอกันไปสิคะ (เอาจริงๆ ก็คือต้องรอหมอแล้วก็รอแม่บ้านมาเช็คห้องด้วยแหละ ก็เลยช้า) ระหว่างที่รอก็มีบางคนโดนทางโรงแรมเก็บเงินค่าทำผ้าเช็ดเท้าสกปรกด้วยแหละ คนที่โดนเก็บเงินเป็นคุณลุงคนนึง คุณลุงได้ยินแบบนั้นก็คือหัวร้อนมาก พูดกับพยาบาลซะเสียงดังเลยว่าตัวเองไม่ได้ทำสกปรกทำไมต้องจ่าย (คือคาดว่า roommate ของคุณลุง 2 คนที่ก่อนไปก่อนหน้านี้จะเป็นคนทำสกปรก แต่ตอน 2 คนนั้นออกมันไม่ได้มีการ check ห้องไง หวยเลยมาตกที่คุณลุงที่เป็นคนที่อยู่ในห้องคนสุดท้าย - เอาจริงฟังมาถึงตรงนี้ก็แอบเสียวเหมือนกันนะว่าตัวเองจะโดนเก็บตังไหมวะเพราะเมื่อคืนเอาหมอนไปทับแมลงตาย ถ้าแมลงมันตายแล้วมีเลือดออกมาเลอะหมอนกับผ้าปูเตียงฉันจะโดนเก็บตังไหมวะ หรือฉันควรทำโวยเหมือนคุณลุงพร้อมบอกว่าฉันไม่ได้เป็นคนทำดี ฉันนั่งคิดพลางหยิบเงินสดขึ้นมานั่งนับดูว่าถ้าฉันโดนเก็บเงินจริงๆ ฉันจะมีเงินพอจ่ายไหมนะ) แต่สุดท้ายฉันก็ไม่โดนเก็บเงินนาจาา (อันนี้ก็โชคดีไป) ส่วนคุณลุงแกก็พูดประมาณว่าโรงแรมกล่าวหาจะเก็บเงินกับคุณลุงแล้วก็บอกว่านี่คือแผนของโรงแรมที่จะหารายได้เข้ากระเป๋า คือเอาจริงนี่ว่าก็เกินไป เพราะ 30 คนที่นั่งรอ check out เนี่ยก็มีแค่ห้องคุณลุงนะคะที่โดนเก็บเงิน ถถถ ส่วนพยาบาลก็พยายามให้คุณลุงใจเย็นโดยการบอกว่าให้ลองไปติดต่อกับโรงแรมดูดีไหม แต่สุดท้ายคุณลุงก็จ่ายเงิน 300 บาทไปเพราะบอกว่าจ่ายๆ ไปจะได้จบ พร้อมทิ้งท้ายเสียงดังประมาณว่าโรงแรมสมัยนี้ก็หากินแบบนี้เนี่ยแหละ หลังจากนั้นสักพักคุณหมอก็มาฟังเสียงปอดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วพยาบาลก็ปล่อยทุกคนกลับบ้าน เย้! ฉันก็เลยเรียก Grab ให้ไปส่งที่หอ เอาจริงๆ ฉันยังไม่ได้กลับบ้านหรอก เพราะมีหมอแนะนำมาว่าถ้าจะให้ sure หลังกักตัวที่ hospitel 14 วันก็ให้กักตัวต่ออีก 10 วันแล้วเพื่อให้ safe ที่สุด ฉันก็เลยต้องกักตัวต่อโดยปริยาย เอาจริงๆ คืออยากกลับบ้านแล้ว คิดถึงบ้าน แต่ก็นะ เพื่อความปลอดภัยของพ่อแม่ ฉันก็เลยต้องกลับไปกักตัวที่หอต่อ (อีกแล้ว) แต่ข่าวดีคือเน็ตที่หอคือดีกว่าเน็ตที่ hospitel แน่นอน แค่นี้ฉันก็จะสามารถเรียน online หรือใช้เน็ตตามที่อยากใช้ได้แล้ว /ปาดน้ำตา/ พอถึงหอ จากตอนแรกที่ว่าฉันสบายแล้ว ฉันก็ต้องมาค้นพบกับความจริงว่า ‘นรกมันเริ่มจากตรงนี้ตังหาก!’ เพราะฉันต้องไปนั่งเรียนคลิปย้อนหลังทั้งหมด 5 วิชาโดยมีความยาววิชาละประมาณ 3 ชั่วโมง นอกจากนี้ฉันยังมีงานชมรม แล้วก็มีประชุมอีกต่างๆ มากมาย ก็คือไม่ได้หยุดเลยจ้า ทั้งๆ ที่มีหนังสือที่อยากอ่านอยู่ตรงหน้าแต่ก็อ่านไม่ได้เพราะคำว่าภาระหน้าที่มันค้ำคอ ถ้าถามว่ายุ่งขนาดไหนก็จะบอกว่าอย่างบันทึกของ day 13 นี่อะ ก็ไม่ได้พิมพ์วันที่ 13 จริงๆ นะ แต่มาพิมพ์วันที่ 14 เพราะวันที่ 13 ก็คือยุ่งมาก เหนื่อย หมดแรง 

    เอาจริงๆ ชีวิตฉันตอนอยู่ hospitel ก็ประมาณนี้แหละ คือก็ งง เหมือนกันนะว่าความจริงมันควรจะกักตัวที่ hospitel 14 วันไม่ใช่หรอ แล้วฉันเข้า hospitel วันที่ 1 แสดงว่าเอาจริงๆ ฉันก็ควรจะออกวันที่ 14 ไม่ใช่หรอวะ แต่หลังจากถามคนอื่นไปมา ก็คือ hospitel เขานับวันที่ผลออกว่าติดเป็นวันแรก (ซึ่งฉันรู้ผลว่าตัวเองติดวันที่ 31 ก.ค) เอาจริงๆ ประสบการณ์การอยู่ที่ hospitel มันก็สอนแล้วก็ให้ประสบการณ์ฉันหลายอบ่างมากเลยนะ ฉันได้มิตรภาพจากคนที่อยู่ห้องเดียวกัน ได้กลับไปดูละครอีกครั้ง (ถึงจะดูไปด่าไปก็ตาม แต่ก็ถือว่าได้ฝึก critical thinking skill 555) ได้รู้ว่าอินเตอร์เน็ตที่ดีนั้นสำคัญไฉนทั้งต่อการดำเนินชีวิตและการเรียนออนไลน์ (จากเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันเข้าใจเลยว่าการเรียน online มันแย่ขนาดไหนสำหรับคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แย่ เราทุกคนควรได้กลับไปเรียน onsite เร็วๆ สักทีจริงๆ) แล้วก็มีประสบการณ์หัวร้อนโคตรๆ กับ service ของ hospitel (คือพูดแล้วอยากนั่งทำ service gap analysis พร้อม suggestion ส่งให้ผู้บริหารอ่านเลยจ้าา) นอกจากนี้เพราะการอยู่ hospitel ในครั้งนี้ฉันจึงตัดสินใจเขียนบันทึกนี้ขึ้นมา ซึ่งเอาจริงๆ ไม่คิดว่าจะมีเรื่องให้เขียนเยอะขนาดนี้ แล้วก็ไม่คิดว่าเราจะเขียนได้ทุกวันจริงๆ ด้วย แต่คือฉันทำได้ค่ะทุกคน จากตอนแรกที่คิดว่าคงไม่มีอะไรให้เขียน สรุปคือปัจจุบันบันทึก 13 วันนี้เอามารวมกันคือมีจำนวนหน้านับเป็น 31 หน้าแล้วอะ อมก มาก 

    ขอบคุณทุกคนที่ทักมาอวยพรขอให้เราหายโควิดไวๆ

    ขอบคุณทุกคนต้องตามอ่าน story IG เราตอนเราอยู่ hospitel (คือคนดู sty IG เราเยอะมากๆ คือ งง 555 บางคนก็ทักมาบอกด้วยว่าชอบที่เราโพสต์ใน sty IG เพราะรู้สึกเหมือนกำลังตามติดชีวิตเราจริงๆ แล้วก็ได้รู้ insight ของคนที่ติดโควิดด้วย)

    ขอบคุณพี่น้อยกับพี่โอ๋ที่เป็น roommate ที่น่ารักเสมอมาแม้พี่จะชอบเปิด TV แบบ 24/7 ก็ตามแต่เพราะมีพี่ๆ อยู่ทำให้หนูไม่รู้สึกเหงาเกินไปตลอดการอยู่ hospitel ในครั้งนี้ แล้วก็ขอบคุณที่แบ่งขนมแล้วก็มาม่าให้หนูกิน พร้อม introduce หนูให้รู้จักกับอาหารใต้ด้วยนะคะ (คือพึ่งมากินอาหารใต้เป็นตอนอยู่ hospitel เนี่ยแหละ)

    ขอบคุณเงาอโศกและวนิดา ที่ทำให้ฉันเข้าใจว่าบทละครสมัยก่อนมันบ้งได้ขนาดไหน และทำให้ฉันรู้ว่าเอาจริงวงการละครเรามันก็ดีขึ้นนะ อย่างน้อย scene ที่เกี่ยวกับเรื่องชายเป็นใหญ่ก็ลดลง แล้วพระเอกนางเอกในปัจจุบันก็คือไม่โง่เป็นควายเหมือนละครสมัยก่อนด้วย (คือ งง มากว่าละครสมัยก่อนชอบวาง plot ให้พระเอกปากเสียกับนางเอกทำไม แล้วนางเอกก็จะแบบไม่ค่อยสู้คน หรือถ้าจะเถียงมาสุดก็จะแบบ ‘คุณจะพูดแบบนี้ไม่ได้นะ!’ ซึ่งลองมาดูละครปัจจุบันสิคะ พระเอกด่ามานางเอกด่ากลับไม่โกง เผลอๆ ก็คือจะโดดถีบพระเอกด้วย) 

    ขอบคุณพี่ลี่ที่คอยส่งข้าวส่งขนมมาให้ตลอด ฮืออ แต่พี่ซื้อของมาให้ทีคือมันแพงอะค่ะ หนูเกรงใจแงง แต่ข่าวดีคือในที่สุดหนังสือที่ส่งไปให้พี่ลี่ก็คือถึงมือพี่ลี่โดยสวัสดีภาพแล้ว พี่ลี่บอกด้วยแหละว่าปกติพี่เขาก็อ่านหนังสืออยู่แล้ว เล่มที่ส่งไปก็ดูจะถูกใจพี่ลี่มากๆ ได้ฟังแบบนี้ฉันก็ค่อยโล่งใจหน่อย ดีใจที่พี่ลี่ชอบนะคะ

    ขอบคุณป๊าม๊าและเจ้พั้นและวงศ์คณาญาติทั้งหลายของฉันที่พอรู้ว่าฉันติดโควิดก็คือโทรมา follow up อาการตลอด พร้อมกับส่งของต่างๆ มาให้กิน 

    ขอบคุณพี่พยาบาลคนที่มาเอาเศษแก้วออกให้ ถ้าไม่มีพี่เผลอๆ หนูอาจจะต้องอยู่ใน hospitel ไม่ก็โรงพยาบาลต่อเพราะเท้าอักเสบจากการมีเศษแก้วปักที่เท้า (ตอนนี้แผลหายดีแล้วนะคะ เดินเหินได้ปกติไม่เจ็บแล้ว)

    ขอบคุณหนังสือทุกเล่มที่ได้อ่านที่ hospitel ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เชื่อมเน็ตไม่ได้เลย สิ่งเดียวที่จรรโลงใจของฉันได้ก็คือหนังสือจริงๆ ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาอ่านหนังสือมากกว่าเวลาปกติก็ตาม (บางเล่มคือให้เวลาอ่าน 3-4 วันเลย แต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะเสียงทีวีที่ทำให้ไม่มีสมาธิอ่านหนังสืออะนะ (ไม่ขอนับละครเป็นสิ่งจรรโลงใจนะคะ เพราะดูไปเครียดไป) 

    ขอบคุณพ่อครัวแม่ครัวที่ทำอาหารใส่กล่องข้าวสีดำ คือจะบอกว่ากับข้าวที่ใส่กล่องข้าวสีดำคือมันอร่อยมาก อย่างน้อยก็อร่อยกว่ากล่องข้าวสีขาวที่มาทีไรก็มีแต่ไก่ ไก่ แล้วก็ไก่ พี่คงจินตนาการไม่ออกถึงความรู้สึกของหนูที่ต้องมานั่งลุ้นทุกวัน ทุกมื้อว่าอาหารวันนี้จะมา serve ในกล่องข้าวสีอะไร TT และสุดท้ายก็ขอบคุณตัวเองที่ทนอยู่ที่ hospitel มาได้ ทนทั้งเสียงของทีวีที่เปิดแทบจะ 24/7 ทนที่ตอนกลางคืนแอร์ชอบอยู่ดีๆ ก็ร้อนขึ้นมาแล้วไม่บอกไม่กล่าว ทนกินข้าวกล่องข้าวติดต่อกันได้ ทนเล่นโทรศัพท์ทั้งๆ ที่เน็ตพร้อมหลุดทุกเวลา ทนที่เกือบทุกวันจะโดนปลุกตอนประมาณ 7 โมงโดยเสียงของพี่น้อยกับพี่โอ๋หรือไม่ก็เสียงทีวี ทนกับบริการแย่ๆ ของ hospitel ทนอยู่แต่ในห้องเดิมๆ เป็นเวลา 13 วันโดนออกไปไหนไม่ได้ (ไกลสุดที่ออกไปได้ก็คือลงไปชั้น G เพื่อไปตรวจร่างกายกับ X-Ray ปอด) เอาจริง มานั่ง list สิ่งที่ต้องทนแบบนี้แล้วรู้สึกว่าชีวิตที่ hospitel ฉัน ก็ต้องทนกับอะไรหลายอย่างเหมือนกันนะ แต่ฉันก็รู้แหละว่าเทียบกับคนอื่นๆ แล้วการที่ฉันได้มาอยู่ hospitel ในระดับนี้ ก็ดีกว่าบางคนที่ไม่ต้องไปนอน รพ. สนาม หรือรอเตียงโดยไร้จุดหมาย 

    สุดท้ายนี้อยากบอกว่าถ้ารัฐบาลทำงานดีกว่านี้ ฉันจะไม่ต้องติดโควิด ไม่ต้องเป็นห่วงว่าคนที่บ้านจะติดหรือเปล่าเพราะถ้ารัฐบาลดี เราจะได้วัคซีนที่ทั้งดีและเร็ว และเราทุกคนจะได้ฉีดวัคซีนกันอย่างเท่าเทียบไม่มีใครโดน VIP แซงคิว บุคลากรหน้าด่านจะได้ฉีดกันทุกคน แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็จะได้ฉีดวัคซีน เราจะไม่ต้องใส่แมสอีกต่อไป เราจะไม่ต้องกลัวว่าจะมี lock down ตอนไหน เราจะไปเที่ยวได้ เราจะไปกินข้าวที่ร้านอาหาร นัดเจอเพื่อน พูดคุนเม้ามอยด้วยกันได้ เราจะไปเรียนมหาลัยเหมือนเดิม เศรษฐกิจไทยจะเดินหน้าต่อไปได้และร้านค้าต่างๆ ก็จะมีรายได้เหมือนเดิม แต่ที่ตอนนี้เรายังต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความหวาดกลัวว่าเมื่อไรฉันจะติดโควิด ฉันติดหรือยังนะ เป็นเพราะรัฐบาลชุดนี้มันห่วย ทำงานไม่เป็น มัวแต่ใช้เส้นใช้สายให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องไปฉีดก่อนทั้งๆ ที่ควรจะฉีดให้บุคลากรหน้าด่านก่อนด้วยซ้ำ แถมแทนที่จะเร่งทำงานเพื่อให้เปิดประเทศไวๆ กลับมาใช้เวลากับการไล่ม็อบ สั่งยิงคน อุ้มคน หาเรื่องฟ้องร้องหรือจับคนที่ไปม็อบ ใครที่บอกว่ารัฐบาลชุดนี้ดี ฉันจะบอกเลยว่า เออ ดีจริง ดีแต่จะสร้างความชิบหายให้กับประเทศเนี่ย คนในประเทศจะตายห่าอยู่แล้วเคยสนใจบ้างไหม ไปแหกตาดูบ้างนะว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง อีควาย ถ้าโง่แล้วบริหารประเทศไม่เป็นแบบนี้ก็ไปตายสักทีเถอะมันรกโลก

    -จบ-


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in